บทที่ 1279 ยึดค่ายกล

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1279 ยึดค่ายกล

เสียงราบเรียบของมู่เฉินก้องไปทั่ว

สะท้อนในเกาะหัวใจหยกเป็นเวลานาน

เมื่อได้ยินคำพูดหยิ่งยโสของมู่เฉิน กู้ซือหวงก็ขมวดคิ้วขณะที่มองเงาร่างที่ยืนอยู่บนเกลียวคลื่นด้วยรอยยิ้มบาง “จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายกล้าใช้คำพูดเช่นนี้กับข้า แกช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ”

ตู้ม!

ขณะที่คำพูดสุดท้ายระเบิดออกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่มองเห็นด้วยตาเปล่ากวาดตัวรุนแรงเข้าหามู่เฉิน

คลื่นเสียงนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะเข้าละก็ พวกเขาอาจเลือดสาดกระจายหรือไม่ก็รับบาดเจ็บหนัก

แต่สำหรับมู่เฉินที่สามารถครอบครองสนามรบระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายด้วยขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น เห็นได้ชัดคนอย่างเขาเอาไปรวมกับคำว่า ‘สามัญ’ ไม่ได้

ดังนั้นเผชิญกับการโจมตีเช่นนี้ มู่เฉินจึงก้าวออกไปพร้อมกับอ้าปาก เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าดังกึกก้อง

โฮก!

คลื่นเสียงรุนแรงพร้อมด้วยแรงกดดันของมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงกวาดปะทะกับคลื่นเสียงของกู้ซือหวง ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อกระแทกกัน

คลื่นขนาดใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของมู่เฉินและลั่วหลีแตกออก กลายเป็นพายุฝนปกคลุมเกาะหัวใจหยกไว้

พอเห็นว่าคลื่นเสียงของตนถูกปิดกั้นง่ายดายเพียงใด ดวงตาของกู้ซือหวงก็หดลง แม้ว่านี่จะเป็นการหยั่งเชิงมู่เฉิน แต่ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นเพียงคลื่นเสียงก็ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถปิดกั้นได้

ทว่ามู่เฉินกลับทำสำเร็จ

“หึ เจ้ามีความสามารถเหมือนกันนี่ ไม่น่าแปลกใจที่กล้าทำหยิ่งยโสมาชิงคนที่เกาะหัวใจหยกของข้า” กู้ซือหวงเค้นเสียงขึ้นจมูก

“ไม่ว่ามันจะมีความสามารถแค่ไหนก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลาย”

เหลียงเสียหยูแสยะยิ้มขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยแววตามืดมนลง “เฮ้ ไอ้หนูกาลกิณีนั่นใช่ไหม? แม้ว่าพรสวรรค์จะใช้ได้ แต่ก็ยังยังด้อยกว่าประมุขน้อย ผู้อาวุโสกู้ ท่านไม่ระวังมากไปหน่อยเหรอ?”

ในเผ่าฝูถู เขาและกู้ซือหวงเป็นกลุ่มผู้สนับสนุนประมุขน้อย เมื่อไม่นานมานี้เขาได้รับข่าวจากกู้ซือหวงว่าไอ้กาลกิณีตัวนี้อาจจะเป็นภัยคุกคามของประมุขน้อย ดังนั้นเขาจึงดั้นด้นมาไกลและตั้งใจจะกำจัดภัยนี้ให้สิ้นซาก

เมื่อกู้ซือหวงได้ยินคำพูดนั่น เขาก็ยิ้มบาง “ไม่ว่าอย่างไรก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาสร้างเจดีย์พุทธะได้ ความจริงเพียงอย่างเดียวนี้เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเติบโตได้ เขาอาจเป็นปัจจัยไม่แน่นอนในอนาคต”

แม้ว่าในสายตาเขาจะไม่มีใครสามารถเทียบได้กับประมุขน้อย แต่กู้ซือหวงที่ระมัดระวังเสมอก็ไม่ต้องการทิ้งเสี้ยนหนามเอาไว้รอบตัว ดังนั้นหากมีโอกาสก็เป็นการดีที่สุดที่จะกำจัดภัยคุกคามนี้

เหลียงเสียหยูเบ้ปาก แตก็ไม่ได้หักล้างอะไร เพราะนี่ก็สมเหตุสมผลที่กู้ซือหวงจะต้องระวัง

พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนประมุขน้อยของพวกเขาให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขคนต่อไปของเผ่า แต่ถ้าพวกเขาวางเดิมพันผิดก็อาจจะส่งผลให้ถูกปราบปรามเสียเอง ดังนั้นพวกเขาจะต้องช่วยประมุขน้อยกำจัดอุปสรรคบางอย่าง

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ปล่อยให้ไอ้กาลกิณีนี่หนีรอดไปไม่ได้แล้ว”

เหลียงเสียหยูหยุดพูดไปอึดใจก่อนที่จะพูดต่อ “ถึงแม้ผู้อาวุโสใหญ่จะพูดว่าให้จับเป็นไอ้เด็กนี่ แต่อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสใหญ่ก็คงเข้าใจได้”

กู้ซือหวงพยักหน้า ฝั่งเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มถึงสามคน ดังนั้นไม่ว่ามู่เฉินจะมีกลยุทธ์แบบไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีไปจากพวกเขา

หลงเซี่ยงถอยกลับไปในเวลานี้ ก่อนที่จะปรากฏตัวข้างมู่เฉินและลั่วหลีด้วยสีหน้าน่าเกลียด “ระวังให้ดีกู้ซือหวงเชิญพรรคพวกมาอีกสองคน ตอนนี้ฝั่งพวกเขามีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนเลยทีเดียว!”

เผชิญหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้สามคน แม้แต่หลงเซี่ยงก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด

ด้วยพลังที่มี ถ้าลองเสี่ยงดูเขาอาจจะสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มคนเดียวได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ถ้าเขาต้องการชัยชนะก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงว่าอีกฝ่ายมีตั้งสามคน!

นี่คือสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขา

แต่เมื่อเทียบกับหลงเซี่ยงแล้ว มู่เฉินค่อนข้างสงบ เนื่องจากเขาคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าเกาะหัวใจหยก อาจไม่ได้มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มเพียงคนเดียว

“ไอ้กาลกิณีมู่เฉิน วันนี้แกหนีไม่พ้นแน่ ยอมแพ้ซะดีๆ ข้าสามารถปล่อยคนที่เหลือไปได้” กู้ซือหวงกล่าวขึ้น

“โอ้? งั้นแกมาลองดูก่อนสิ?”

มู่เฉินยิ้มไม่มีความอบอุ่นในดวงตาสักริ้ว แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน แต่เขาก็ไม่ได้หมดปัญญา

ทั้งสามคนตกใจ คิดว่าทำไมมู่เฉินถึงไร้ความกลัวเช่นนี้ พวกเขาเป็นผีเฒ่าที่มีประสบการณ์มายาวนาน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถบอกได้เลยมู่เฉินไม่ได้แกล้งทำ

ทว่าพวกเขาคิดไม่ออกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายจะสามารถรับมือกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคนได้อย่างไร

“ดื้อด้านซะจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะโยนความสิ้นหวังใส่แกเอง”

สายตาของกู้ซือหวงวูบไหว จากนั้นเขาก็ยิ้มน่าขนพองสยองเกล้า เมื่อเขาโบกมือเกลียวคลื่นหลิงนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทั่วเกาะหัวใจหยก

เกลียวเหล่านั้นพันไขว้กันก่อร่างเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ล้อมรอบพื้นที่เอาไว้ รัศมีน่ากลัวเล็ดลอดออกมาจากมัน

“นี่…ค่ายกลสะเก็ดดาวไหลเวียนสวรรค์?! แกสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้ยังไง?” หลงเซี่ยงมองค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมเกาะหัวใจหยกไว้ทั้งหมด ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง

คิ้วของมู่เฉินขมวดหากันก่อนจะอุทาน เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยในค่ายกลนี้

“ฮ่าๆ ตอนแรกข้าก็ทำไม่ได้หรอก แต่ครั้งนี้พี่เสียหยูนำป้ายหมื่นค่ายกลมาจากเผ่า ทำให้ข้าสามารถบุกเข้าในจุดศูนย์กลางของค่ายกลเพื่อควบคุมได้”

กู้ซือหวงมองมู่เฉินด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยบนหน้า “ค่ายกลนี้เป็นสิ่งที่แม่ของแกชิงเหยี่ยนจิ้งทิ้งเอาไว้ บางทีนางคงไม่เคยจินตนาการว่าหลังจากผ่านไปหลายปีค่ายกลนี้จะถูกใช้เพื่อจัดการกับลูกชายตัวเอง! ฮ่าๆๆๆ สุขใจอะไรอย่างนี้”

มู่เฉินหดตาลง มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยค่ายกลนี้ ที่แท้มารดาของเขาเป็นคนสร้างนี่เอง

“กู้ซือหวงไม่อายรึไงที่ใช้ค่ายกลปกป้องพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มสามคน!” หลงเซี่ยงคำราม

“ผู้ชนะได้ทุกอย่าง ไม่มีใครสนใจวิธีการหรอก” กู้ซือหวงเค้นเสียง

แสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของมู่เฉินพร้อมกับรังสีสังหาร เขารู้สึกโกรธเคืองที่กู้ซือหวงใช้สิ่งที่มารดาของเขาทิ้งไว้มาจัดการกับเขา

“ช่างเถอะ ข้าไม่อยากคุยกับพวกแกอีกต่อไป ข้าจะจับแกมาซะก่อน!”

กู้ซือหวงสะบัดแขนเสื้อ ค่ายกลที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้ก็หมุนคว้าง ก่อนที่แสงดาวแปลกประหลาดสิบกว่าดวงจะเปล่งออกมาในช่วงเวลาต่อไป กลายเป็นอุกกาบาตยิงไปยังทิศทางของมู่เฉิน

ด้วยความระวัง กู้ซือหวงและคนอื่นๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวเองทันที กลับเลือกใช้ค่ายกลเพื่อบังคับให้มู่เฉินแสดงไพ่ตาย พวกเขาจะได้เตรียมการทันท่วงที

“ระวัง!”

หลงเซี่ยงคำรามด้วยความร้อนใจ

แต่มู่เฉินกลับเหยียดมือออกไปห้ามเขาไว้ สายตาวูบไหวขณะมองแสงดาว เขาไม่ได้ป้องกันตัวอะไรเลย

“โง่เง่า แกคิดหรือว่าค่ายกลจะแยกคนได้” กู้ซือหวงเย้ยหยันกับฉากนี้

ทว่ามู่เฉินก็ยังไม่ตอบสนอง เขามุ่งความสนใจไปที่แสงดาว ไม่เพียงแต่ไม่ได้ขัดขวางกลับยังมีประกายแสงแปลกประหลาดวาบขึ้นในนัยน์ตาของเขา

ฟิ้ว ฟิ้ว!

แสงดาวครอบคุลมลงมา ขณะที่จะสัมผัสกับร่างของมู่เฉิน แสงดาวก็หันกลับอย่างน่าพิศวง ยิงกลับไปท่ามกลางสายตาหวาดหวั่นของพวกกู้ซือหวง แสงดาวพุ่งกลับมาก่อร่างเป็นกรงขังผู้อาวุโสอสรพิษมรกตที่หลบหนีไม่ทันเอาไว้

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนประหลาดใจ นอกเหนือจากมู่เฉินแม้แต่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็ตาแทบถลน

“กู้ซือหวง แกทำอะไร?!” ผู้อาวุโสอสรพิษมรกตก็ตกใจคำรามลั่น

“ข้าไม่ได้ทำ!” ใบหน้าของกู้ซือหวงเขียวคล้ำ จากนั้นเขาก็กำมือ ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้น เขาพยายามสั่งให้ค่ายกลละลายพื้นที่ที่จับอสรพิษมรกตเอาไว้

ทว่าเขาก็พบว่ามีแรงต่อต้านที่มาจากส่วนลึกของเกาะ ยึดการควบคุมค่ายกลไว้

“เวรเอ้ย การควบคุมค่ายกลนี้ถูกยึด!”

ใบหน้าของกู้ซือหวงมืดครึ้มไป ก่อนที่เขาจะจ้องมองด้วยความโกรธฝังลึก ฟันขบแน่น

“อีนังตัวดี!”

ขณะที่เขาโกรธเกรี้ยว ความสงสัยก็โหมกระพือในใจ เขาไม่รู้ว่าหลิงซีสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไร!

แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเรื่องวันนี้ค่อยๆ หลุดจากการควบคุมของเขาทีละน้อย…