เฉินซงจื่อได้เริ่มฝึกฝนวิชาที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญที่เฉินโม่ได้ให้ไว้กับเขาแล้ว คาดว่าต่อไปพลังจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

แน่นอน ความสามารถของเอียนชิงเฉิงเทียบกับเขาแล้วเพิ่มขึ้นเร็วกว่า สายเลือดหงส์ฟ้าบวกกับวิชาบำเพ็ญที่แท้จริง พลังบำเพ็ญของเอียนชิงเฉิงนั้นเร็วกว่าของเฉินโม่อีก

อย่างไรก็ตามเฉินโม่ไม่ได้ต้องการให้พลังบำเพ็ญของเธอพัฒนาเร็วขนาดนั้น หนทางของการบำเพ็ญ เดิมก็คือการฝืนกฎสวรรค์ พื้นฐานนั้นสำคัญกว่า

ถ้าหากพลังบำเพ็ญของพัฒนาเร็วเกินไป ก็จะเดินไปบนเส้นทางที่เขาเคยเดินมาก่อน ต่อไปมันก็จะก้าวหน้ายากขึ้นไปอีก

หลังจากที่กำชับเอียนชิงเฉิงในสายแล้ว เฉินโม่จึงวางสาย ทีนี้เขาเองก็รู้สบายใจขึ้น

ตระกูลหยู คนที่หยูเปียวส่งไปสืบประวัติของเฉินโม่ได้กลับมาแล้ว แต่ว่าลูกน้องพวกนั้นของเขาเห็นได้ชัดว่าโง่มาก สืบได้แค่ว่าเฉินกั๋วเหลียงนั้นเป็นคนของตระกูลเฉินในหนานซู แล้วก็ไม่ได้สืบต่ออีก

สำหรับตัวตนของเฉินโม่ พวกเขาไม่ได้สืบเลย ก็กลับมารายงานหยูเปียวแล้ว

ถ้าหากสืบละเอียดหน่อย ตัวตนของเฉินโม่นั้นปิดไม่มิดอย่างแน่นอน

“ท่านผู้นำ ประวัติของทั้งสามคนได้สืบมาแล้ว พวกเขาเป็นคนของตระกูลเฉินที่อยู่ในหนานซู”

หยูเปียววางแก้วชาลง ขมวดคิ้วพูด “หนานซู ตระกูลเฉิน? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินตระกูลนี้มาก่อน?”

ลูกน้องหัวเราะพร้อมกับพูด “ท่านผู้นำ ตระกูลเฉินที่อยู่หนานซูเป็นตระกูลของโลกมนุษย์”

“อะไรนะ!” หยูเปียวผงะ รู้สึกเพียงว่าเกือบจะหายใจไม่ออก

“ตระกูลของโลกมนุษย์กลับสามารถทำร้ายตระกูลหยูของฉันจนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต มันเป็นไปได้ไง?” หยูเปียว พูดอย่างคำราม

“ท่านผู้นำ บางทีพวกเขาแค่อาจจะโชคดี ไอ้หนุ่มนั่นอาจจะมีอาจารย์ที่เก่ง ดังนั้นความสามารถจึงไม่ธรรมดา ผมสืบมาแล้ว นอกจากไอ้หนุ่มนั่น สมาชิกตระกูลเฉินคนอื่นๆล้วนเป็นคนธรรมดา”

หยูเปียวกล่าว “แบบนี้ก็เท่ากับว่าทั้งตระกูลเฉินก็มีแต่พวกเขาสามคนเท่านั้นที่เป็นนักบู๊?”

“ใช่ครับ” ลูกน้องพยักหน้ากล่าว

หยูเปียวตะคอกด้วยความโกรธ “ไร้เหตุผลสิ้นดี ตระกูลที่มีนักบู๊แค่สามคน กลับทำร้ายจนตระกูลหยูของฉันต้องร้องของชีวิต ช่างน่าอายจริงๆ!”

หยูเปียวพูดลากเสียงยาว สีหน้าบูดบึ้ง

“ท่านผู้นำใจเย็นๆ ตอนนี้เราก็สืบประวัติของพวกเขาแล้ว อยากจะแก้แค้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ต่อให้เขาจะเก่งแค่ไหน แต่การที่จะจัดการกับคนธรรมดาอย่างตระกูลเฉิน มันก็เป็นเรื่องง่ายไม่ใช่เหรอ?” ลูกน้องคนนั้นยิ้มพูดอย่างชั่วร้าย

หยูเปียวส่ายหัว พูดอย่างจริงจัง “หากไม่จำเป็นจริงๆ อยากไปแตะต้องสมาชิกในครอบครัวของเขา นอกจากฆ่านักบู๊สามคนนั้น ไม่เช่นนั้นหากเพราะเขาคิดแก้แค้นขึ้นมา ตระกูลหยูของเราคงไม่มีคนต้านได้!”

“ยังคงเป็นท่านผู้นำที่รอบคอบ ผมเข้าใจแล้ว” ลูกน้องพูดอย่างประจบสอพลอ

“ตอนนี้ก็รอเพียงคนของตระกูลตู๋กู ” ในดวงตาของหยูเปียวปรากฏขึ้นด้วยความชั่วร้าย “หนานซูตระกูลเฉิน ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริงๆ หวังว่าพวกแกสามคนจะขวางคนของตระกูลตู๋กูอยู่นะ ไม่อย่างนั้นตระกูลเฉินของพวกแกคงต้องหายสาบสูญไปจากโลกใบนี้แล้ว!”

หยูเปียวมีความคิดที่อยากจะทำลายล้างตระกูลเฉินแล้ว ถ้าหากเฉินกั๋วเหลียงรู้ความคิดของหยูเปียว ไม่รู้ว่ายังจะเมตตาใจอ่อนอีกหรือเปล่า

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ตู๋กูเยว่ได้พาผู้อาวุโสสองและลูกน้องของตระกูลตู๋กูอีกสิบกว่าคนมาถึงที่ตระกูลหยู

หยูเปียวออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ต้อนรับอย่างอบอุ่น และจัดงานเลี้ยงที่เอิกเกริกในห้องโถงของตระกูลหยู

“หลานตู๋กูสามารถมาได้ ฉันนั้นตื้นตันอย่างมาก มา ฉันขอดื่มให้หลานตู๋กูหนึ่งแก้ว!” บนโต๊ะอาหาร หยูเปียวดื่มให้กับตู๋กูเยว่ด้วยตัวเอง

ตู๋กูเยว่พูดอย่างถ่อมตัว “คุณลุงหยูเกรงใจไปแล้ว ผมกับจุนโม่เป็นเพื่อนกัน เราก็เป็นญาติกันด้วย ตระกูลหยูถูกรังแก ตระกูลตู๋กูของเรามาช่วยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว!”

“ดีๆ มาๆ ฉันขอดื่มให้หลานตู๋กูอีกหนึ่งแก้ว!” หยูเปียวพูดอย่างอารมณ์ดี

หลังจากดื่มกันได้ที่แล้ว ตู๋กูเยว่ก็ถามขึ้นในทันที “ใช่แล้วคุณลุงหยู คุณลุงหยูรู้ประวัติของคู่ต่อสู้ในครั้งนี้มั้ย? ผมมาอย่างเร่งรีบยังไม่ได้สืบเลย”