ตอนที่ 1088 พี่น้อง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1088 พี่น้อง

ณ ตำหนักฉางหมิง

ขันทีผู้น้อยนามว่าจ้าวโฮ่วคุกเข่าอยู่ต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยร่างที่สั่นเทา

เขาบอกเล่าถึงคำสั่งเสียที่เจี่ยหนานซิงได้กำชับเอาไว้เมื่อวานนี้ “เดิมทีท่านเจี่ยต้องการจะให้ฝังเขาไว้ ณ ภูเขาลั่วเหมย ทว่าก็รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นช่างห่างไกลและเงียบเหงามากเกินไป ดังนั้นเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงความคิดไป เขาหวังว่าจะให้ฝังร่างเขาไว้ ณ เขาหานซานในที่สูงสักหน่อย เขาจะได้มองเห็นเมืองกวนหยุน”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นก็มองไปยังหิมะที่โปรยปรายลงมาราวกับมันกำลังเต้นรำ ผ่านไปเนิ่นนานเลยทีเดียวกว่าเขาจะเอ่ยออกมา “เจ้าลุกขึ้นเถิด ข้าจะทำตามที่เขาปรารถนา ! ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“กระหม่อมนามว่าจ้าวโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”

“หากจัดการเรื่องท่านเจี่ยเรียบร้อยแล้ว หลิวจิ่น…” ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมองดูหลิวจิ่นที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะเอ่ยว่า “จ้าวโฮ่วผู้นี้ เจ้าจงช่วยดูแลเขาด้วย ให้เขาคอยอยู่ข้างกายข้าเถิด”

“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“จงส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้แก่โหยวเป่ยโต้ว เพราะเยี่ยงไรเสียพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน เมื่ออีกคนจากไปแล้ว ความคับแค้นในอดีตก็ควรจะยุติลงได้แล้ว”

“กระหม่อมจะรีบไปจัดการประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

……

……

เมื่อกลับมาถึงภูเขาลั่วเหมย ดูเหมือนจิตใจของโหยวเป่ยโต้วจะมิค่อยสงบสักเท่าใดนัก

เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในป่าเหมย ซึ่งต้นเหมยบนเกาะแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน บัดนี้ดอกเหมยยังมิได้เบ่งบาน มีเพียงสองสามดอกเท่านั้นที่บานสะพรั่ง

ต้นเหมยบนภูเขาแห่งนี้ เขาและน้องชายเจี่ยหนานซิงได้ร่วมกันปลูกไว้เมื่อตอนนั้น เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าสิบกว่าปีแล้ว เมื่อเขากลับไปยังเมืองกวนหยุนก็มิได้กลับมาที่ภูเขาลั่วเหมยอีก อาจจะเป็นเพราะความคับแค้นที่ท่านพ่อกับท่านแม่ทิ้งเขาไปในตอนนั้น

“เมื่อยามที่เจ้ายังเยาว์ เจ้ามีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์มากยิ่งนัก ทว่าเจ้ากลับมิยินยอมที่จะฝึกฝน ท่านพ่อขับไล่เจ้าออกไปจากภูเขาลั่วเหมย ทำให้เจ้าต้องออกไปเร่ร่อน ทว่าท่านแม่ก็ได้คอยปกป้องเจ้าอย่างลับ ๆ จนกระทั่งเจ้าได้พบกับท่านอาจารย์ของเจ้า”

“มิมีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าจะตัดตอนด้วยตนเอง วรยุทธ์ของเจ้าถึงได้ถดถอยลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเจ้ากลับมายังภูเขาลั่วเหมยอีกครา ท่านพ่อและท่านแม่ก็ได้จากไปเสียแล้ว เจ้าได้แต่ยืนอยู่หน้าสุสานของท่านทั้งสอง หาได้คุกเข่าลงไปไม่ อีกทั้งมิแม้แต่จะจุดธูปสักดอก ทว่าพี่ก็มองเห็นน้ำตาของเจ้าได้อย่างแจ่มชัด”

“เจ้าได้ต่อยพี่มาหนึ่งหมัด ทว่าพี่รู้ดีว่าเจ้าออมมือเอาไว้ ต่อมาเจ้าได้เดินทางจากไปกระทั่งไปถึงราชวงศ์หยู และได้เข้าไปเป็นขันทีในพระราชวัง”

“พี่คิดว่าชีวิตเจ้าหลังจากนั้นคงจะดำเนินอยู่ต่อไปในราชวงศ์หยูจนกระทั่งวาระสุดท้าย แต่ก็คาดมิถึงอีกเช่นกันว่าเจ้าจะได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน”

“นี่คงเป็นเรื่องที่เจ้าพึงพอใจที่สุดในชีวิตที่น่าสังเวชนี้ ราวกับดอกเหมยสีแดงสดใสท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน”

โหยวเป่ยโต้วเงยหน้าขึ้นมองหิมะที่บินว่อนในท้องนภา คราที่แล้วที่เขาได้พบกับเจี่ยหนานซิง ณ ตำหนักฉางหมิง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเวลาของเจี่ยหนานซิงเหลือมิมากแล้ว

ก่อนหน้านั้นที่ได้พบกับเจี่ยหนานซิงที่ชื่อเล่อชวน เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเทียนแห่งชีวิตของเจี่ยหนานซิงใกล้จะมอดดับแล้ว

ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดังนั้นฝ่าบาทจึงมิได้เสด็จไปยังเมืองต้าติ้ง แล้วหวนกลับมายังเมืองกวนหยุนแทน

ฤดูหนาวนี้ช่างหนาวเหน็บเสียเหลือเกิน เจ้าจะผ่านมันไปได้หรือไม่ ?

เจ้าจะมีโอกาสได้กลับมาชมหิมะโปรยปรายท่ามกลางป่าเหมยอันงดงามแห่งนี้อีกสักคราหรือไม่ ?

ทันใดนั้นเอง นกพิราบส่งสารตัวหนึ่งก็บินลงมาเกาะที่ไหล่ของโหยวเป่ยโต้ว เขาหยิบจดหมายออกมาจากขาของนกตัวพิราบนั้นแล้วเปิดอ่าน ทันใดมาใบหน้าของเขาก็ขาวซีดทันพลัน มือทั้งสองข้างอ่อนแรงและร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง พละกำลังที่มีอยู่ดูเหมือนจะสลายหายไปทั้งอย่างนั้น

“เจี่ยหนานซิงจากไปอย่างสงบ กำหนดฝังศพวันที่สิบแปดเดือนสิบเอ็ด”

โหยวเป่ยโต้วส่งเสียงแผดร้องออกมาลั่นภูเขาลั่วเหมย หิมะที่เกาะบนต้นเหมยร่วงหล่นลงสู่พื้นธรณี น้ำตาของเขาไหลนองอาบสองแก้ม เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาวออกมา “ท้ายที่สุดแล้ว…เจ้าก็จากไปก่อนพี่จริง ๆ ด้วย ! ”

……

……

นี่เป็นพิธีฝังศพที่ยิ่งใหญ่

ฝ่าบาทได้พาเหนียงเหนียงทั้งห้าคนเดินทางไปร่วมพิธีฝังศพด้วยตนเอง !

แม้แต่ไทเฮาและจักรพรรดินีก็ได้เดินทางไปร่วมพิธีด้วย ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ทั้งหลาย

พิธีในครานี้ได้จัดการตามข้อกำหนดของราชวงศ์ ผู้ที่อ่านพระคัมภีร์คืออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยแห่งวัดหานหลิง !

เช้าวันที่สิบแปด เดือนสิบเอ็ด ขบวนส่งศพได้เดินทางออกจากพระราชวัง ดำเนินไปในเมืองกวนหยุน ชาวบ้านจึงได้รับรู้ว่าพิธีฝังศพนี้จัดขึ้นให้แก่ขันทีคนสนิทของฝ่าบาท

“ฝ่าบาททรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ! ”

“ได้ยินมาว่า ท่านขันทีเจี่ยหนานซิงผู้นั้น ก่อนหน้านี้เขาเป็นถึงปรมาจารย์ เขาเป็นยามเฝ้าประตูให้แก่ฝ่าบาท ทั้งยังเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทเอาไว้ ! ”

“มิน่าเล่า…แต่ถึงเยี่ยงไรก็นับว่าฝ่าบาททรงมีพระเมตตามากยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์พันปีที่ผ่านมามีขันทีคนใดได้รับเกียรติเช่นนี้บ้างกัน ? ”

“ฝ่าบาททรงมีพระทัยกว้างขวาง พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่าฝ่าบาททรงทำประโยชน์ให้แก่ราษฎรมากมายเพียงใด ? หากพวกเจ้าลองคิดทบทวนดูดี ๆ พวกเจ้าจะมองว่านี่ก็มิใช่เรืองแปลกอันใด”

“เจ้าเอ่ยได้มีเหตุผลมากยิ่งนัก ขอทรงมีพระเมตตาเช่นนี้เสมอไป ถือเป็นบุญของพวกเรา และเป็นพรที่ยิ่งใหญ่แก่ต้าเซี่ย ! ”

ขบวนส่งศพเดินทางออกจากเมืองกวนหยุน มาถึงเขาหานซาน

บนเชิงเขาเป็นพื้นที่เปิดโล่ง และได้สร้างห้องใต้ดินเอาไว้ เพื่อใช้เป็นที่ฝังศพของเจี่ยหนานซิง

เมื่อโลงศพถูกวางลงไปในหลุมนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาเหนียงเหนียงทั้งหลายไปยืนอยู่ข้าง ๆ

หลิวจิ่นเองก็ยืนมองจากมุมหนึ่งเช่นกัน ในใจของเขาเกิดไฟลุกลามขึ้นมา มันมิใช่ความริษยา ทว่าเป็นความอิจฉาต่างหากเล่า !

ในฐานะที่เป็นขันทีเหมือนกัน นี่นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของขันทีแล้ว

ใต้หล้านี้มีขันทีอยู่มากมาย แต่จะมีขันทีคนใดบ้างที่ได้รับเกียรติจากองค์จักรพรรดิเยี่ยงเจี่ยหนานซิง !

เมื่อตนแก่ชรา ตนจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หรือไม่ ?

หลิวจิ่งเองก็มิอาจรู้ได้

เขารู้เพียงแค่ว่าหากอยากจะมีวันเช่นนี้ ก็จำต้องได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทเสียก่อน

แล้วจะทำเยี่ยงไรดีเล่า ?

หลิวจิ่นตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด

โหยวเป่ยโต้วยืนอยู่ด้านหน้าโลงศพ เขาจุดธูปหนึ่งดอกแล้วหลับตาลง น้ำตาไหลนองอาบใบหน้าที่เหี่ยวย่น

“หนานซิงน้องข้า ข้าทำผิดต่อเจ้ามาโดยตลอด เจ้าได้จากข้าไปก่อน เจ้าจงค่อย ๆ เดินไปบนถนนสายนี้เถิด ในมิช้าข้าจะตามเจ้าไปให้ทัน ชาติหน้า…ข้าขอให้พวกเราเกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก ! ”

ท่ามกลางพายุหิมะนี้ ร่างของเจี่ยหนานซิงก็ถูกฝังกลบลงไปใต้พื้นธรณี เขาได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสบายใจตลอดกาล ณ ที่แห่งนี้ แต่เขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำของฟู่เสี่ยวกวนตลอดไป

เมื่อสิ้นสุดพิธีการ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เทสุราหนึ่งจอกลงบนป้ายหน้าหลุมศพ และได้เผาเงินกระดาษสองใบ

เขาสัมผัสไปที่ป้ายหน้าหลุมศพแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ ว่า “ข้าเคยเอ่ยไว้ว่าจะเป็นคนส่งท่านเมื่อยามท่านลาลับ แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นจริงดังว่า บัดนี้ท่านได้จากไปยังสถานที่ไกลแสนไกล…แล้วผู้ใดจะมาเฝ้าประตูให้ข้าเล่า ? ! ”

“มิต้องห่วงอันใดอีกแล้ว จากไปอย่างสงบเถิด คอยมองดูต้าเซี่ยที่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุก ๆ วัน จนกระทั่งเป็นดั่งเช่นที่ข้าเคยเอ่ยไว้ พวกเขามิรู้หรอกว่ามันเป็นเยี่ยงไร แต่ท่านรู้…ท่านคอยมองดูด้วยความสุขเถิด ! ”

“ลาก่อน ! ”

……

……

นอกจากโหยวเป่ยโต้วแล้ว ทุกคนก็ได้พากันเดินทางออกจากเขาหานซานเพื่อกลับไปยังเมืองกวนหยุน

โหยวเป่ยโต้วนั่งลงเบื้องหน้าหลุมศพ เขาหยิบสุราออกมาหนึ่งขวด จากนั้นก็กรอกเข้าปาก

“ชีวิตนี้เจ้ายังนับว่าได้พบกับช่วงเวลาดี ๆ หนึ่งครา องค์จักรพรรดิและเหนียงเหนียงได้ทำพิธีฝังศพเจ้าด้วยพระองค์เอง…เจ้าเป็นขันทีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว”

“พวกเราสองพี่น้องเกิดมาชาตินี้มีความมิเข้าใจกัน หากว่าข้าเล่าเรื่องตอนนั้นให้เจ้าฟังเร็วกว่านี้ เจ้าก็คงจะเดินทางกลับไปที่ภูเขาลั่วเหมยบ้างใช่หรือไม่ ? ”

“แม้ว่าเจ้าจะจากไปแล้ว เจ้าก็ยังมิยินยอมให้ฝังร่างของเจ้าเอาไว้ที่ภูเขาลั่วเหมย นั่นหมายความว่าเจ้ายังมิให้อภัยท่านพ่อกับท่านแม่ ที่ข้าง ๆ สุสานของท่านพ่อกับท่านแม่ ข้าได้สร้างสุสานเอาไว้อีก 2 แห่ง ตั้งใจว่าเมื่อเจ้าหรือข้าจากไป…จะได้นำร่างไร้วิญญาณไปฝังไว้ข้าง ๆ พวกท่าน แต่เจ้ากลับหนีมาไกลแสนไกล เช่นนั้นพี่ก็คงต้องอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อกับท่านแม่เองเสียแล้ว”

“มาเถิด มาชนแก้วกัน… เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่พวกเรามิเคยร่วมดื่มด้วยกันเลยนี่ บัดนี้มันสายเกินไปแล้ว พี่ขอโทษ… ขอโทษเจ้าจากใจจริง”

“เจ้าชื่นชอบความครึกครื้น สถานที่แห่งนี้เหมาะสมมากเลยทีเดียว สามารถมองเห็นเมืองกวนหยุนอันรุ่งโรจน์ได้ แต่แท้จริงแล้ว เจ้าต้องการจะเฝ้ามองดูฝ่าบาทใช่หรือไม่ ? ”

“เจ้าเอ็นดูเขาเหมือนหลานชาย ส่วนเขาก็ได้เห็นเจ้าเป็นเช่นปู่…ทั้งสองปฏิบัติต่อกันด้วยใจจริง ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีมากยิ่งนัก เจ้ายังคงเก่งกว่าพี่เสมอมา”

“พี่ต้องไปแล้ว ไว้พบกัน… ! ”