ภาค 8 ทะยานฟ้า โอบกอดจันทร์ บทที่ 731 ที่อยู่ของหยวนเจิ้งเฟิง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ฝ่ามือนภากว่างเฉิง เป็นวรยุทธ์ที่บรมครูผู้ก่อตั้งเขากว่างเฉิงสร้างขึ้นจากมรดกของบรรพบุรุษก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่

หากพูดจากต้นตอ มันคือการกลายพันธ์ที่ค่อนข้างบกพร่องของรอยตราพลิกนภา

ถ้าหากว่ามีวรยุทธ์อื่นเกิดขึ้นเพราะรอยตราพลิกนาเช่นกัน เช่นนั้นก็อาจจะคล้ายๆ กับฝ่ามือนภากว่างเฉิงก็ได้

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้กลับอดคิดมากกว่าเดิมไม่ได้

ไป๋จื่อหมิงไม่น่าจะเคยไปโลกแปดพิภพมาก่อน คนที่ใช้ฝ่ามือนภากว่างเฉิงบนโลกซ้อนโลก มีแค่เขา เยี่ยนจ้าวเกอเพียงคนเดียว

เช่นนั้นไป๋จื่อหมิงไปเห็นใครใช้ฝ่ามือนภากว่างเฉิงกัน?

เยี่ยนจ้าวเกอสายตาเคร่งขรึม มองไป๋จื่อหมิงอย่างตั้งใจ “กลับไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสไป๋เห็นคนใช้วิชาฝ่ามือของข้าจากที่ใดหรือ”

ไป๋จื่อหมิงสัมผัสได้ถึงท่าทีของเยี่ยนจ้าวเกอ จึงเปลี่ยนจากการสงวนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นมา

เขาพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “สหายน้อยเยี่ยนน่าจะรู้แล้ว ว่าข้าไม่ใช่คนของโลกซ้อนโลก”

“โลกที่ข้าเคยอยู่ มีชื่อว่าโลกยมทะยาน หลังจากข้าหลอมจุดลมปราณเป็นเทวะ จึงลอยขึ้นจากโลกยมทะยาน ค่อยมาถึงโลกซ้อนโลก”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าช้าๆ เป็นเพราะว่ารู้ถึงข้อนี้ เขาจึงมีการคาดการณ์ในใจ

จากนั้นก็ได้ยินไป๋จื่อหมิงเล่าว่า “ในตอนที่อยู่ในโลกยมทะยาน ข้าเคยพบเจอคนผู้หนึ่ง ใช้มือเดียวพลิกฟ้า สภาวะมือครอบคลุมสี่ทิศ ยิ่งใหญ่ทรงพลัง และไม่ธรรมดา”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอพลางกล่าวว่า “คนผู้นี้เรียกตัวเองว่าหยวนเจิ้งเฟิง มีแขนเดียว จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่โลกยมทะยานของข้าเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ คนเดากันว่าเขามาจากโลกใบอื่น”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยิน พลันถอนใจคำหนึ่ง

เป็นหยวนเจิ้งเฟิง อาจารย์ปู่ของตน เจ้าสำนักเขากว่างเฉิงคนเก่าที่หายสาปสูญไปนาน

ในสงครามเพื่อสะกดร่องแยกของนพยมโลกที่ปฐพีพิภพในอดีต หยวนเจิ้งเฟิงสาปสูญไปในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา ร่องรอยของเขาหายไป ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

เรื่องนี้กลายเป็นความเจ็บปวดของทุกคนทั่วทั้งเขากว่างเฉิง รวมถึงเยี่ยนจ้าวเกอด้วย

ถึงแม้ว่าทุกคนจะปลอมประโลมซึ่งกันและกัน ว่าเจ้าสำนักคนเก่าจะต้องปลอดภัย แต่เพราะไร้ข่าวคราวโดยสิ้นเชิง สุดท้ายก็ทำให้คนเป็นห่วงอยู่ดี

โดยเฉพาะยังไม่มีเบาะแส คิดจะตามหา ก็ทำอะไรไม่ได้ เยี่ยนจ้าวเกอได้แต่หวั่นวิตก

วันนี้ในที่สุดก็มีข่าวคราวแล้ว ในที่สุดความเป็นห่วงของเยี่ยนจ้าวเกอก็หายไปครึ่งหนึ่ง

เขามองไป๋จื่อหมิงพลางพูดว่า “ขอบอกให้ท่านผู้อาวุโสไป๋ทราบว่า คนที่ท่านพูดถึง ก็คือผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักของข้า ก่อนหน้านี้หายสาปสูญไป ไม่มีเบาะแสให้ตามหามาโดยตลอด”

ไป๋จื่อหมิงว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย สหายน้อยเยี่ยนวางใจเถอะ ท่านหยวนแม้จะแขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่นั่นเป็นเรื่องก่อนที่จะมาถึงโลกยมทะยานของข้า”

“ในโลกยมทะยาน เขาไม่มีปัญหาอะไร ต่อมากลายเป็นแขกของสำนักใหญ่สำนักหนึ่งบนโลกยมทะยาน อย่างน้อยก่อนที่ข้าจะลอยขึ้นมา เขาก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นดี”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ประเสริฐ”

ชายชราพูดพลางถอนใจ “จะว่าไป ท่านหยวนผู้นี้ต่อให้แขนขาดไปข้างหนึ่ง แต่ความสามารถและพลังฝึกปรือของเขาก็ไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ”

“ข้าเคยมีวาสนาพบเขามาก่อน เพราะเคยเห็นเขาประมือกับผู้อื่น จึงรู้จักสภาวะฝ่ามือของสหายน้อยเยี่ยน”

เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือคำนับไป๋จื่อหมิง “กลับไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสไป๋มีวิธียืนยันตำแหน่งของโลกยมทะยานที่ท่านเคยอยู่หรือไม่? ข้าคิดจะไปยังโลกยมทะยาน ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่?”

ไป๋จื่อหมิงตอบว่า “ลำบากอยู่บ้าง แต่สามารถลองได้”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ เอ่ยว่า “สหายน้อยเยี่ยนจะรีบไปหาท่านหยวนหรือ?”

ชายหนุ่มถอนใจกล่าวว่า “ขอไม่ปิดบัง เป็นเช่นนั้นเอง”

“สหายน้อยเยี่ยนไม่ต้องรีบร้อน ไม่แน่ว่าพวกท่านอาจจะพบเจอกันบนโลกซ้อนโลกได้สักวัน” ไป๋จื่อหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ในตอนที่ข้าลอยขึ้นมา ได้เชิญให้สหายร่วมเส้นทางในโลกยมทะยานมาเข้าร่วมพิธี ท่านหยวนผู้นี้ก็มาด้วยเช่นกัน ข้าเห็นเขาอยู่ห่างจากการหลอมจุดลมปราณเป็นเทวะแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น”

“ในตอนนั้นยังกล่าวกันเล่นๆ ว่า หลังจากข้า คนถัดไปในโลกยมทะยานที่จะลอยขึ้นมา สมควรเป็นเขาแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินกลับชะงัก “โอ้?”

หลังจากใคร่ครวญครู่หนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ขอให้ไป๋จื่อหมิงเปรียบเทียบความเร็วของเวลาในโลกยมทะยาน และโลกซ้อนโลก จากนั้นก็อิงตามความเร็วของเวลาในโลกแปดพิภพอีกครั้ง

หลังจากเทียบกันแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็อดคร่ำครวญไม่ได้ว่า ‘อาจารย์ปู่เลื่อนไปถึงระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้ายเร็วขนาดนี้เลยหรือนี่?’

ถึงแม้ว่าเยี่ยนตี๋บิดาของตนจะเป็นคลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้า แต่ว่าพลังพรสวรรค์ของหยวนเจิ้งเฟิงผู้เป็นอาจารย์ปู่ก็โดดเด่นเช่นกัน

เพราะว่าแผลเก่า หยวนเจิ้งเฟิงจึงติดอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมอยู่นาน

นั่นเป็นเรื่องจนปัญญาอย่างหนึ่ง แต่กลับทำให้เขามีการสั่งสมอย่างเต็มเปี่ยม หลังเลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ เส้นทางจึงราบรื่น

เยี่ยนจ้าวเกอไม่สงสัยแม้แต่น้อยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะที่ทะเลตะวันออกและปฐพีพิภพในตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน ขอแค่ให้เวลาหยวนเจิ้งเฟิงอีกสักพัก เขาก็มั่นใจว่าจะเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง ขั้นรวมรูประยะกลางได้ในอีกไม่นานแน่นอน

ความยากในช่วงเวลานั้นจะมีน้อยยิ่งกว่าหวงกวงเลี่ยในอดีตเสียอีก

ถึงอย่างไรพลังและพรสวรรค์ของหยวนเจิ้งเฟิงก็เหนือกว่าหวงกวงเลี่ยอยู่แล้ว

แต่หากจะบอกว่าหยวนเจิ้งเฟิงเลื่อนไปอยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม หรือสามารถเลื่อนไปอยู่ในขั้นเทวะสำแดงในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ ก็เร็วจนเหนือความคาดหมายเกินไปกระมัง?

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ได้เท่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอเสียหน่อย

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสามารถก้าวกระโดดสามครั้ง ทำลายนภาเห็นเทวะสำแดงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเพราะผลสำเร็จร่วมกันจากปัจจัยทุกด้าน ทั้งยังมีวาสนาหลายอย่างรวมอยู่ในนั้นด้วย

พูดอีกอย่างก็คือ เป็นตัวอย่างของความบังเอิญ ไม่อาจนับเป็นมาตรฐานในการตัดสินคนส่วนใหญ่ได้

การหลอมจุดลมปราณให้กลายเป็นเทวะยากลำบากขนาดไหน ดูจากจางเชา จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ม่วงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในโลกแปดพิภพเมื่อครั้งอดีตก็รู้แล้ว

หรือจะดูจากผู้สืบทอดของผู้วิเศษเซิงที่รับผิดชอบขนส่งเครื่องหอมบรรุจฟ้า ผลึกปอดแดนทะเลซึ่งเป็นของวิเศษชนิดต่างๆ แต่สุดท้ายถูกเยี่ยนจ้าวเกอสังหารผู้นั้นก็ได้

ชายชราผู้นั้น คังผิง และคังฮูหยินเป็นคนรุ่นเดียวกัน อายุ ศักดิ์ฐานะต่างสูงกว่าคังเม่าเซิง คังจิ่นหยวนสองพี่น้อง แต่ก็มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้ายเหมือนกับสองพี่น้องตระกูลคัง

ต่อให้อยู่ในโลกซ้อนโลก จอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น มีพลังแข็งแกร่งคนหนึ่ง หากจะเลื่อนจากระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้น ไปถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ไป๋จื่อหมิงประเมินว่าหยวนเจิ้งเฟิงอาจจะเลื่อนสู่ขั้นเทวะสำแดงได้ในระยะเวลาอันสั้น ความหมายในคำพูดของเขาก็คือ หยวนเจิ้งเฟิงมิใด้อยู่ในขั้นรวมรูประยะท้ายธรรมดาๆ แล้ว แต่ยืนอยู่บนเส้นแบ่ง

‘บางทีอาจจะมีสาเหตุพิเศษอยู่ก็ได้?’ ขณะที่คิดในใจเช่นนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็พูดกับไป๋จื่อหมิงว่า “หลังจากลอยขึ้นมาแล้ว ที่พักพิงอยู่ที่ใดใช่ว่าจะยืนยันไม่ได้ ขอให้ท่านผู้อาวุโสไป๋ชี้แนะเส้นทางสักเล็กน้อย หากข้าไปโลกยมทะยานจะได้สะดวกขึ้น”

ไป๋จื่อหมิงค้อมศีรษะ เอ่ยว่า “ไม่มีสิ่งใดไม่ได้ เพียงแต่ข้าไม่อาจยืนยันได้อย่างแม่นยำ ถ้าข้าสามารถกลับโลกยมทะยานด้วยตัวเองได้ จะสร้างเครื่องหมายไว้ทันที แต่ตอนนี้ขึ้นอยู่กับตัวของสหายน้อยเยี่ยนเองแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอพ่นลมหายใจยาว “รบกวนท่านผู้อาวุโสไป๋แล้ว”

ไป๋จื่อหมิงหยิบหยกแขวนชิ้นหนึ่งออกมาจากอก มอบให้เยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากชายหนุ่มรับไว้แล้ว ก็ถ่ายเทญาณจริงแท้ของตนลงไปตามการชี้แนะของไป๋จื่อหมิง

บนหยกแขวนพลันมีเมฆสีเขียวมรกตหลายก้อนลอยขึ้นมา

………………..