โลกกำเนิดบ้านเกิด
ภายในเรือนแห่งหนึ่งของตนและจิ้งชิวผู้เป็นภรรยา เขากำลังนั่งบำเพ็ญอย่างตั้งใจอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งเพียงลำพัง เตรียมตัวจะสำเร็จเป็น ‘เจ้าดินแดน’ ให้ได้ในรวดเดียวภายในสองชั่วยาม
เรื่องที่เขาสำเร็จเป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่น สังหารจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในอากาศอันสับสนอลหม่าน…ทั้งหมดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้บอกพวกบรรพชนเทียนอวี๋ จอมกระบี่ ราชันย์มีดหรือบรรพชนทิพย์เลย เพราะถึงอย่างไรทั้งหมดนี้ก็เกี่ยวพันและส่งผลกระทบมากมายเกินไป! เขาตั้งใจหาสักเวลาหนึ่งที่เหมาะๆ ค่อยเล่าให้พวกเขาฟังโดยละเอียดจะดีกว่า
ส่วนตอนนี้น่ะหรือ การบำเพ็ญเร่งด่วนกว่า!
“ฟิ้ว” เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นบนทุ่งหญ้า
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นแล้วก็ยืดกายขึ้น “เจ้าเมืองหลัว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งบรรลุ ต้องทำให้พลังแข็งแกร่ง เดิมทีก็ไม่คิดจะรบกวนเจ้า แต่มีเรื่องที่อยากให้เจ้าช่วยเหลือจริงๆ” เจ้าเมืองหลัวกล่าว
“เจ้าเมืองหลัวเชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นทันที
“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะสังหารเจ้าทะเลหุบเหวลึกผู้นั้น ทำได้ไม่เลวเลย” เจ้าเมืองหลัวกล่าว “เขาสามารถอยู่ภายใต้สถานการณ์อันเลวร้ายอย่างการจองจำ การกดดันพันธนาการต่างๆ โดยมิกล้าบรรลุเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับสูงครบสมบูรณ์ ได้แต่อดทนมาตลอด ถึงขั้นเตรียมพร้อมจะบรรลุขั้นครบสมบูรณ์ให้สำเร็จในรวดเดียว ถึงขั้นบรรลุถึงคละถิ่นระดับโลก ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเขานั้นสูงมาก ความหวังที่จะบรรลุคละถิ่นระดับโลกาขั้นครบสมบูรณ์จึงสูงมากทีเดียว ถึงขั้นไม่แน่ว่าภายหน้า อาจจะมีสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดขั้นปฐมบรรพชนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เจ้าสังหารเขา ก็นับว่าขจัดภัยร้ายอย่างหนึ่งไปได้แล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังดู
“ปฐมบรรพชนก็คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดระดับเจ้าดินแดน” เจ้าเมืองหลัวอธิบาย “แม้พวกเขาจะมิได้เข้าถึงแก่นแท้ของวิถี แต่ก็เข้าถึงพลังสายเลือดจนถึงขีดสุดแล้ว แต่ละคนล้วนรับมือได้ยากนัก พวกเจ้าดินแดนต้องร่วมมือกันจึงมีหวังจะสังหารปฐมบรรพชนคนหนึ่งได้ อย่างหุบเขาเขี้ยวหักในดินแดนจิตโลกาที่เจ้าเคยไปมา สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดสองตนนั้นก็คือปฐมบรรพชนสองตน”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา
“มิติคละถิ่นนี้กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต เต็มไปด้วยความลี้ลับมากมาย สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดระดับปฐมบรรพชนทั้งหลายเป็นเพียงศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราเท่านั้น ยังมีอันตรายอื่นๆ อีกมาก” เจ้าเมืองหลัวกล่าว “แม้จะกล่าวได้ว่าพวกเราเจ้าดินแดนแต่ละคนแข็งแกร่งเป็นที่สุดในมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด แต่ถึงอย่างไรก็มีจำนวนน้อยยิ่งนัก มีเพียงแปดคนเท่านั้น”
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ให้มากความ ในภายหน้าเจ้าจะรู้ทั้งหมดเอง” เจ้าเมืองหลัวเอ่ย “ความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเจ้าทะเลหุบเหวลึกผู้นั้นได้ดึงดูดให้พวกสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดระดับปฐมบรรพชนให้ความสำคัญกับเขา พวกเขาเพิ่มการโจมตีต่อพวกเรา เจ้าดินแดนทั้งแปดรวมทั้งตัวข้าถึงขั้นถูกชักจูงเป็นครั้งคราว พวกเขาส่งสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาหลายตนมุ่งหน้าไปช่วยเหลือเจ้าทะเลหุบเหวลึก แม้เจ้าทะเลหุบเหวลึกจะถูกเจ้าสังหารไปแล้ว แต่ปฐมบรรพชนเหล่านั้นก็จะมีแต่เดือดดาลยิ่งขึ้นเท่านั้น สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาที่กำลังจะไปถึงพวกนั้นก็จะทำลายล้างตามอำเภอใจ โลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญที่พวกเราเคยสร้างขึ้นอย่างยากลำบากแห่งนั้น พวกเขาจะต้องทำลายด้วยเช่นกัน และจะต้องทำลายสถานที่สำคัญแห่งอื่นๆ ของเราด้วยเป็นแน่ ข้าอยากให้เจ้าช่วยไปถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้! ผู้แกร่งกล้าของพวกเราก็กำลังเร่งเดินทางไป”
“ได้ขอรับ ข้าจะพยายามยื้อพวกเขาเอาไว้ให้สุดกำลัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัญญาทันที
ยามนี้เขาเพิ่งเข้าใจ
เมื่ออยู่ในมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญเหมือนจะใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย! มิน่าเล่า มิน่าเล่า พวกเจ้าเมืองหลัวและหยวนจึงพยายามบ่มเพาะผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอทั้งหลายอย่างสุดกำลัง ด้วยหวังว่าจะมีผู้แกร่งกล้าคละถิ่นถือกำเนิดขึ้นมา ที่แท้เพราะพลังทางฝ่ายตนไม่เพียงพอนั่นเอง!
……
ภายในอุโมงค์อันลึกล้ำแห่งหนึ่งของมิติคละถิ่นไร้ขีดจำกัด เป็นอุโมงค์อากาศซึ่งทะลุอุปสรรคต่างๆ ที่ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญวางเอาไว้อย่างเงียบเชียบ ช่วยไม่ได้ มิติคละถิ่นกว้างขวางเกินไปแล้ว! อุปสรรคต่างๆ ที่ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญวางเอาไว้ก็ไม่มีทางขัดขวางมิติคละถิ่นอันกว้างใหญ่ทั้งหมดได้ อย่างมากที่สุดก็มีประโยชน์แค่เตรียมพร้อมเอาไว้เท่านั้น
กลางอุโมงค์อันลึกล้ำ ลำแสงสายหนึ่งกำลังทะยานไป
ทั้งร่างของเขามีเกล็ดสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมอยู่ บนศีรษะมีเขาสีทองสิบสองอัน นัยน์ตาทั้งคู่กลับเป็นสีเหลืองอำพัน! เขามีแขนใหญ่โตกำยำอยู่แปดข้าง แต่ละข้างล้วนมีเกล็ดสีทองปกคลุม อักขระลับจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเหนือแผ่นเกล็ด แผ่ไปทั่วทั้งร่าง
เขาก็คือเหยียนนั่นเอง!
ผู้แกร่งกล้าระดับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาช่วงท้ายผู้หนึ่ง เนื่องจากอยู่ใกล้ที่สุด จึงถูกสั่งให้เข้าไปช่วยเหลือ
“อะไรนะ สิ้นใจแล้วหรือ” เหยียนโมโหขึ้นมา
“เป็นผู้แกร่งกล้าคละถิ่นระดับโลกาหน้าใหม่คนหนึ่งนามจ้าวหิมะเหินทีสังหารอย่างนั้นหรือ เข้าเพิ่งจะบรรลุ ก็เป็นคละถิ่นระดับโลกาช่วงกลางแล้วรึ” นัยน์ตาของเหยียนฉายแววดุร้าย “เขาขัดขวางข้ามิได้หรอก”
เขามั่นใจในตนเองมาก
เพราะถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ห่างกันหนึ่งระดับย่อย เขาสามารถสังหารเจ้าคนที่ชื่อจ้าวหิมะเหินนั่นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นค่อยทำลายสถานที่สำคัญต่างๆ ของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญ นอกจากนี้ด้านหลังเขาก็ยังมีกองกำลังเสริมตามมาด้วย
“ปฐมบรรพชนมีบัญชา ให้ทำลายโลกทั้งสิบห้าแห่งที่เหล่าเจ้าดินแดนสร้างขึ้นในแถบนี้ราบคาบ” เหยียนเร่งเดินทางสุดกำลังต่อไป เขาเข้าใจว่า บรรดาปฐมบรรพชนเดือดดาล จึงจะเพิ่มแรงโจมตีอีกครั้ง การทำลายโลกทั้งสิบห้าแห่งนี้เป็นเพียงเป้าหมายของแถบนี้เท่านั้น
******
ณ โลกทิพย์แห่งการบำเพ็ญ
ร่างกายของตงป๋อเสวี่ยอิงหดเล็กลงและฟื้นฟูจนกลับสู่สภาพปกติ เขาโบกมือเพื่อเก็บเลือดเนื้อของเจ้าทะเลหุบเหวลึกที่หลงเหลืออยู่บางส่วนลงไป โซ่ตรวนทั้งหลายที่อยู่กลางอากาศกลับอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว
“กำจัดทิ้งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูเมืองเมฆาแดงที่กลายเป็นซากปรักหักพังตรงหน้า แล้วก็รู้สึกสะท้อนใจนัก
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่กระโดดออกจากกรงขังและสำเร็จขั้นคละถิ่น
บัดนี้เขาได้สังหารสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับโลกาไปตนหนึ่ง ทว่าอีกราวสองชั่วยามให้หลัง ตนก็จะสำเร็จเป็นเจ้าดินแดนแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรเลย
“จ้าวหิมะเหิน” เสียงหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สัมผัสได้จึงหันไปมอง
ชายชราจมูกแดงคนหนึ่งซึ่งมีน้ำเต้าสุราห้อยไว้ตรงหว่างเอวทะลุเข้ามาจากโลกภายนอก ทะบานมุ่งหน้าเข้ามาหาตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าคือ ‘นักพรตฉื้อเฟิง’ ผู้ลาดตระเวนเขตที่เจ็ดใต้บังคับบัญชาของเจ้าดินแดน ก่อนหน้านี้ระหว่างเร่งเดินทางมาได้เห็นทุกสิ่งที่จ้าวหิมะเหินทำกับตาตนเอง เพิ่งจะบรรลุก็เป็นคละถิ่นระดับโลกาช่วงกลางแล้ว นับถือๆ”
“เขาถูกค่ายกลโซ่ตรวนกดดันและพันธนาการเอาไว้ สังหารเขาก็ไม่นับเป็นอะไรได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“เจ้าดินแดนเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังแล้วกระมัง” นักพรตฉื้อเฟิงพูดอีก
“เจ้าเมืองหลัวบอกแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดขั้นปฐมบรรพชนเหล่านั้น จะต้องอยากช่วยเหลือเจ้าทะเลหุบเหวลึกผู้นั้นอย่างแน่นอน บัดนี้ล้มเหลวเสียแล้ว จะเดือดดาลจนเพิ่มการโจมตีรอบด้านก็เป็นเรื่องปกตินัก” นักพรตฉื้อเฟิงกล่าว “ร่างแยกอันอ่อนแอของข้าซึ่งแค่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรอบๆ และระวังภัยนี้ ยังมีพลังไม่ถึงหนึ่งในพันส่วนของพลังระดับยอดของข้าเลย จึงมิอาจเข้าร่วมการต่อสู้ระดับนี้ได้ ได้แต่อาศัยจ้าวหิมะเหินแล้ว”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม
ร่างแยกพลังรบหลักก็มีเพียงร่างเดียวเท่านั้น
ร่างแยกอื่นๆ ล้วนอ่อนแอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบริเวณที่ลาดตระเวนใหญ่พอสมควรแล้ว ก็ต้องแบ่งร่างแยกออกเป็นหลายร่างเพื่อลาดตระเวนบริเวณต่างๆ
“จ้าวหิมะเหิน” นักพรตฉื้อเฟิงเอ่ย “ข้าต้องขอเตือนจ้าวท่าน ผู้ที่กล้าบุกเข้ามาหาพวกเรา หรือผู้ที่เดิมทีถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือเจ้าทะเลหุบเหวลึกนั้น พลังจะต้องเยี่ยมยอดอย่างมากแน่นอน เป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นคละถิ่นระดับโลกาครบสมบูรณ์” นักพรตฉื้อเฟิงกล่าว “หากท่านสามารถถ่วงเวลาได้ก็ถ่วงเวลาไปก่อน แต่หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ถ่วงเอาไว้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ถูกพวกเขาทำลายโลกไปสักสามแห่งห้าแห่ง ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เวลาผ่านไปนานอีกหน่อย ผู้แกร่งกล้าของพวกเราก็จะมาถึง”
เพราะถึงอย่างไรสำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นผู้แกร่งกล้าหน้าใหม่แล้ว ก็มิอาจเรียกร้องมากเกินไปได้
จะให้คละถิ่นระดับโลกาช่วงกลางคนหนึ่ง…ไปลงมือกับคละถิ่นระดับโลกาครบสมบูรณ์น่ะหรือ ก็เท่ากับบังคับคนให้ไปลำบากแล้ว
…………………