ตอนที่ 1090 งานเลี้ยงต้อนรับ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1090 งานเลี้ยงต้อนรับ

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา ท้องนภาก็ราวกับจ้องมองดูเขาอยู่เช่นกัน ทั้งยังส่งหิมะตกลงมาเต็มหน้าเขา

อยู่ ๆ เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า ท่ามกลางเวลาที่ผันเปลี่ยนไปโดยมิรู้ตัว ตนได้ขยับออกห่างจากพวกเขามากขึ้นทุกที !

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกถึงความเหน็บหนาว อีกทั้งยังรู้สึกลังเลมากยิ่งนัก ข้ามายังโลกใบนี้เพื่อสั่งสมความสุข มาเสพความสนุกและมิตรภาพเหล่านั้นต่างหากเล่า !

ข้าหาได้อยากเป็นจักรพรรดิไม่ ! เหตุการณ์แปรเปลี่ยนจนต้องเดินไปบนเส้นทางจักรพรรดิซึ่งนับวันยิ่งห่างไกลจากมิตรภาพไปเรื่อย ๆ เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ?

มิได้การล่ะ !

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสามถึงห้าปี ข้าและจักรพรรดิในรัชสมัยอื่น ๆ ก็คงมิแตกต่างกันมากนัก แต่ละวันถูกกักขังเอาไว้ในกำแพงสี่เหลี่ยมซึ่งทำได้เพียงเงยหน้ามองดูท้องนภาทรงสี่เหลี่ยมนี้ !

ข้าแทบจะมิเหลือมิตรภาพแล้วด้วยซ้ำ !

นอกจากภรรยาและลูก ๆ ที่เหลือ…ที่เหลือก็มีเพียงเหล่าขุนนางที่เป็นแรงสนับสนุน เขามิมีสหายที่สามารถดื่มสุราเมามายในหอนางโลมด้วยกันได้ !

นี่มันมิใช่ชีวิตอย่างที่ข้าต้องการเลยสักนิด !

“หลิวจิ่น ! ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

“จงไปยังหอซื่อฟางแล้วจองโต๊ะไว้ให้ข้าหนึ่งโต๊ะ คืนนี้ข้าจะเลี้ยงพวกฝานเทียนหนิงที่หอซื่อฟาง”

หลิวจิ่นชะงักงันลงทันใด เดิมทีเขาคิดว่าฝ่าบาทได้ลืมไป จึงเอ่ยเตือนขึ้นมาด้วยความนอบน้อมว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงได้จัดเตรียมงานเลี้ยงค่ำนี้ไว้ที่หอโบตั๋นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ไม่ ๆ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จัดที่หอซื่อฟางดีกว่า อย่าได้เอะอะโวยวายไป จงอย่าให้ไทเฮาและเหนียงเหนียงรู้เป็นอันขาด เอาเป็นว่า…เรื่องนี้เจ้าจงเก็บไว้ในใจ เพราะข้าจะไปเพียงลำพัง”

หลิวจิ่นเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด ผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้สติกลับคืนมา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หากพบเข้ากับอันตราย ต่อให้กระหม่อมมีศีรษะเป็นหมื่นศีรษะก็มิเพียงพอให้ตัดหรอกพ่ะย่ะค่ะ ! ”

จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงท่ามกลางหิมะ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจทำตามพระประสงค์ของพระองค์ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของพระองค์ ฝ่าบาทคือจักรพรรดิของต้าเซี่ยนะพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวมิถูกขึ้นมาทันใด การเป็นจักรพรรดินี่ช่าง…หากมิใช่เพราะต้าเซี่ยเพิ่งเริ่มก่อตั้งและอยู่ในช่วงสำคัญล่ะก็ ข้าคงจะหนีไปนานแล้ว

เพียงจะออกไปสังสรรค์ดื่มสุราก็ยากมากยิ่งนัก แล้วความสำราญที่เคยเอ่ยไว้เล่า ?

ฮึ ๆ สำราญบ้าบออันใดเล่า

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปที่หลิวจิ่นตาเขม็ง ทว่าอยู่ ๆ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม น้ำเสียงก็อ่อนโยนขึ้นมาทันใด “เอาเถิด ๆ ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ เช่นนั้นก็ดำเนินการตามที่เจ้าได้จัดเตรียมเอาไว้ตามเดิมเถิด รีบลุกขึ้นเถิด คุกเข่าท่ามกลางหิมะเช่นนี้ระวังจะปวดกระดูกล่ะ เมื่อชราไปจะปวดเข่าเอาได้ง่าย ๆ ”

หลิวจิ่นจึงรีบลุกขึ้นยืนทันใด “กระหม่อมขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงกรุณาพ่ะย่ะค่ะ”

“เอาเถิด…เจ้าจงไปที่ครัวหลวงแล้วกำชับให้พ่อครัวจัดทำอาหารให้ละเอียดมากขึ้น”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมจะรีบไปประเดี๋ยวนี้ ! ”

หลิวจิ่นวิ่งออกไปอย่างช้า ๆ ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เรียกจ้าวโฮ่วขันทีฝึกหัดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา

“เสี่ยวจ้าว”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”

“ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนของขันทีเจี่ย เจ้าย่อมรู้ดีว่าขันทีเจี่ยและข้านั้นมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร บัดนี้ข้าเลือกเจ้ามาอยู่ข้างกายแล้ว นั่นก็เพราะว่าข้าต้องการให้เจ้าเป็นคนที่รู้ใจข้ามากที่สุด ! ”

เมื่อจ้าวโฮ่วได้ยินดังนั้น เขาก็ตกตะลึงเสียจนสะดุ้งโหยง เขาเพิ่งจะมาอยู่ข้างกายฝ่าบาทได้มินาน ก่อนหน้านี้ได้แต่คอยทำตามคำสั่งของขันทีหลิว บัดนี้ฝ่าบาททรงหมายความว่า…จะมอบหน้าที่สำคัญให้แก่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

จ้าวโฮ่วรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวนทันที “กระหม่อมจะเป็นผู้ที่รู้ใจฝ่าบาทตลอดไปพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“อืม…ข้ามองเห็นความจงรักภักดีของเจ้า จงลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”

จ้าวโฮ่วดีใจมากยิ่งนัก หลายวันมานี้ในที่สุดฝ่าบาทก็เอ่ยปากสนทนากับเขาแล้ว พระองค์ตรัสว่าจะให้ตนเป็นคนสนิท… ท่านขันทีเจี่ย ท่านได้รับรู้หรือไม่ !

ทว่าต่อจากนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้จ้องมองไปทางจ้าวโฮ่วแล้วเอ่ยออกมาว่า “เจ้าจงจำเอาไว้ว่า…หากต้องการจะเป็นคนสนิทของข้า ก็จงอย่ามีความคิดขัดแย้งใด ๆ ข้าให้เจ้าทำสิ่งใด เจ้าเพียงแค่ทำตามก็พอ เข้าใจหรือไม่ ? ”

จ้าวโฮ่วกำมือขึ้นคารวะ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ฝ่าบาทสั่งให้กระหม่อมไปสังหารคน กระหม่อมก็จะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ฮ่า ๆ มิต้องถึงขั้นฆ่าคนหรอก บัดนี้เจ้าจงเดินทางออกจากวังไปจองโต๊ะที่หอซื่อฟางหนึ่งโต๊ะ อีกอย่างจงไปหารถม้ามาเตรียมไว้ที่นอกวัง เมื่อเจ้าสั่งจองโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จงรอข้าอยู่ที่รถม้า ประเดี๋ยวข้าจะออกไปพบเจ้าที่นั่น เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? ”

จ้าวโฮ่วอ้าปากค้าง จ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้เมื่อครู่ฝ่าบาทเพิ่งสั่งให้ขันทีหลิวไปจัดการ ทว่าขันทีหลิวมิยินยอม จึงให้ข้าไปทำแทนเยี่ยงนั้นหรือ นี่มันเหมาะสมแล้วหรือ ?

“มัวตกตะลึงอันใดอยู่กัน ? ยังอยากจะเป็นคนสนิทของข้าอยู่หรือไม่ ? ”

“เอ่อ…อยากพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่…”

“รีบไปเร็วเข้า ! ”

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

จ้าวโฮ่วเดินจากไปด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย เขารู้สึกว่าตนหลงกลฝ่าบาทเข้าแล้วใช่หรือไม่ ?

ทว่าฝ่าบาทก็คือฝ่าบาท ต่อให้นี่คือหลุมพราง หากเป็นรับสั่งจากฝ่าบาท ตนก็ควรจะทำตามจึงจะถูก แม้จะต้องกระโดดลงไปในเปลวไฟก็ตาม !

เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวโฮ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมามากเลยทีเดียว เมื่อคราที่ขันทีเจี่ยยังอยู่ เขามักจะเอ่ยเสมอว่า เพียงแค่เป็นรับสั่งจากฝ่าบาท เจ้าจงไปทำตามที่ฝ่าบาทรับสั่งมาก็พอ

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกจากห้องทรงพระอักษรด้วยสีหน้าเบิกบาน เขามิได้กลับไปวังหลัง และมิได้เดินทางไปยังสามสำนัก ทว่าเขามุ่งไปทางค่ายทหารองครักษ์หลวง เพราะเขาต้องการเดินทางไปพบหนิงซือเหยียนหัวหน้าองครักษ์หลวง

หนิงซือเหยียนกำลังย่างไก่อยู่หนึ่งตัว เขาจะคาดคิดได้เยี่ยงไรเล่าว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาตรวจงานในสถานที่เช่นนี้ !

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหน้าเขา หนิงซือเหยียนก็สั่นเทาไปทั้งร่างจนไก่ในมือแทบจะหล่นลงไปในกองไฟ

“ฝ่าบาท…เหตุใดถึงเสด็จมายังสถานที่สกปรกเยี่ยงนี้ ? ”

“ฮึ ๆ เจ้าอย่าได้กังวลใจไป ย่างไก่ต่อเถิด ประเดี๋ยวจะไหม้เอา”

หนิงซือเหยียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีตกตะลึง เขารู้สึกว่าวันนี้องค์จักรพรรดิดูแปลกตาไป ทว่าก็บอกมิถูกว่าแปลกไปเยี่ยงไร

เขาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาฉงน “มิได้มาตรวจงานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ตรวจงานอันใดกันเล่า ข้าอยู่ที่ห้องทรงพระอักษรแล้วได้กลิ่นไก่ย่างของเจ้าลอยไปไกลถึงที่นั่น มา ๆ ๆ ๆ ย่างต่ออีกสักหน่อยประเดี๋ยวมากินด้วยกันเถิด”

หนิงซือเหยียนสงสัยว่าตนกำลังถูกองค์จักรพรรดิเล่นงานอยู่หรือไม่ รอให้ย่างไก่จนสุกและรอให้เขากินไก่ลงไป แล้วค่อยลงโทษตนในข้อหาละเลยต่อหน้าที่ใช่หรือไม่ ? ทว่าดูจากท่าทางของฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กองไฟก็เหมือนมิได้เป็นเช่นนั้น เขาคิดอันใดอยู่กันแน่ ?

ได้ยินมาว่าการประชุมสรุปประจำปียังมิเสร็จสิ้นมิใช่หรือ ? ปีหน้ายังมีงานอีกมากมายรอให้เขาไปจัดการ บัดนี้เขาควรจะยุ่งสิถึงจะถูก ทว่าเหตุใดวันนี้เขาถึงได้เดินทางมาที่นี่กันเล่า ?

หนิงซือเหยียนคิดเท่าใดก็มิเข้าใจ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนแล้วย่างไก่ของตนต่อไป

“ประเดี๋ยวพอเรากินไก่หมดแล้ว ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ จงส่งคนไปแจ้งขุนนางทั้งหลายที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงเพื่อประชุมในวันนี้ว่า ให้พวกเขาเดินทางไปรอข้าที่หอซื่อฟาง ส่วนเจ้าก็ต้องไปด้วย”

มือของหนิงซือเหยียนชะงักลงทันพลัน “ไปที่หอซื่อฟางเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”

“ข้าจะเลี้ยงต้อนรับพวกเขาที่หอซื่อฟางน่ะสิ ! ”

“อ้อ…ประเดี๋ยวข้าจะให้องครักษ์หลวงไปล้อมหอซื่อฟางเอาไว้”

“มิได้ ! เจ้าอย่าคิดว่าข้าเป็นจักรพรรดิสิ ยามที่พวกเราพบกันที่คฤหาสน์จิ้งหู เจ้าเป็นยามเฝ้าประตูของข้ามิใช่หรือ อย่าคิดมากไปเลย จงอย่าทำให้ราษฎรแตกตื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้ทำให้ขุนนางคนอื่น ๆ สงสัย เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? ”

หนิงซือเหยียนชะงักงันอีกครา จากนั้นก็จ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกว่าความคิดของจักรพรรดิผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง หรือว่า…หรือว่าบรรดาขุนนางที่เดินทางมาครานี้จะมีผู้ใดพาหญิงสาวมาให้ฝ่าบาทด้วยกัน ?

ก็มิน่าใช่ ! พระองค์เสด็จประพาสในครานี้ก็มิได้มีเรื่องอื้อฉาวแต่อย่างใด

จริงสิ ! เมื่อตอนที่เขาเดินทางไปยังหงซิ่วจาว ณ เมืองจินหลิง หลังจากนั้นหงซิ่วจาวก็ปิดให้บริการ ในวันนั้นเขาก็มิได้ให้ตนอยู่เป็นเพื่อน…หนิงซือเหยียนจึงยกยิ้มออกมา

“เข้าใจแล้ว”

“เข้าใจแน่นะ ? ”

“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้อย่างดี ข้าจะให้ขุนนางเหล่านั้นพักที่คฤหาสน์จิ้งหูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

“อืม…มิเลวเลยทีเดียว ขุนนางหลายคน มิมีที่พักอาศัยในเมืองกวนหยุน จะให้พวกเขาพักในหงหลูซื่อก็มิเหมาะสม เจ้าจัดการให้พวกเขาพักอาศัยในคฤหาสน์จิ้งหูเถิด ! ”