ตอนที่ 662 องค์รัชทายาท

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หยกสรรพชีวิตขนาดเพียงแค่เล็บมือชิ้นหนึ่ง 

 

 

ร่างเงานี้ เกิดจากพลังของหยกสรรพชีวิตสร้างขึ้นมา  

 

 

เพราะก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันมัวแต่จิตใจว้าวุ่น จึงมองข้ามไปไม่ทันได้สังเกต  

 

 

ใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ทั้งเก้า หยกสรรพชีวิตชิ้นนี้ลอยนิ่งไม่เคลื่อนไหว 

 

 

สตรีที่ไร้ใบหน้า ถูกส่องอยู่ใต้แสงสว่างจ้า ดูไปก็น่าสงสารอยู่บ้าง 

 

 

เส้นผมสีเงินยวงและชุดสีแดงลอยพลิ้ว ทั้งๆที่แสนจะงดงาม แต่พอถูกกักขังเอาไว้เช่นนี้ ก็ช่างน่าอึดอัดแทน 

 

 

“จู่ฮว๋าย….” ริมฝีปากสีแดงของตู๋กูซิงหลันขยับน้อยๆ เอ่ยชื่อนั้นออกมาอย่างอ่อนโยน 

 

 

ในใต้หล้านี้ เทพเจ้าที่อยู่มาแต่ยุคบรรพกาล ดูท่าคงจะเหลือแต่ตี้เสียเพียงผู้เดียว 

 

 

“ซีเหอ…. ตายไปแล้วจริงๆหรือ?” 

 

 

ในใจของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยข้อสงสัย การมายังแดนสวรรค์รอบนี้ ทำให้นางได้รู้อะไรขึ้นมากมาย 

 

 

……………………. 

 

 

  

 

 

พระตำหนักยวนยางกง ฮว๋ายยู่เอนอยู่บนฟูก ดวงพักตร์ที่แสนจะงดงาม ยามนี้กลับไร้สีเลือดอย่างสิ้นเชิง 

 

 

แถมใบหน้านั่นยังออกจะบิดเบี้ยวไปแล้วด้วยซ้ำ 

 

 

นางกำหมัดเอาไว้แนบแน่น แม้แต่ปลายเล็บก็ยังจิกลงไปในฝ่ามือ 

 

 

ใจกลางฝ่ามือมีเลือดสดไหลซึมออกมาจนเหนียวเหนอะหนะไปหมด 

 

 

บนพื้น คือกระจกทองแดงบานหนึ่ง กระจกแตกยับเยิน ชิ้นส่วนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง เทพธิดารับใช้ของนางกำลังคุกเข่าเก็บกวาดอย่างกุลีกุจอ 

 

 

จิ้นหยุนรอเฝ้าอยู่ที่ด้านนอก บนหน้าผากยังคงมีเหงื่อซึมออกมาไม่หยุด 

 

 

บนฟูกอ่อน ทราวอกของฮว๋ายยู่สะท้อนขึ้นๆลงๆ พระนางไม่อาจระงับโทสะนี้ลงได้ 

 

 

ใครจะไปนึกว่า สุดท้ายแล้ว นางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้น จะถูกตี้เสียช่วยเหลือไป? 

 

 

อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวแท้ๆ ซือเป่ยก็จะฆ่านังสวะผู้นั้นได้แล้ว! 

 

 

สุดท้าย…. ตี้เสียก็ยังคงปกป้องนังสวะนั่น 

 

 

มิน่าเล่า นางส่งคนไปตามสามสี่รอบ เขาก็ยังไม่มา 

 

 

แถมยังมีคนเห็นว่า เขานำนังสวะนั่นไปซุกเอาไว้ในห้องบรรทมของตำหนักไท่เหิงกง 

 

 

ตำหนักไท่เหิงกงเป็นตำหนักส่วนตัวของตี้เสีย ที่ผ่านมาห้องบรรทมของเขามีแต่นางที่สามารถเข้าไปได้ ต่อให้เป็นบรรดาพระสนมในวังหลังเหล่านั้น หรือแม้แต่ข้ารับใช้ในตำหนักไท่เหิงกงเอง ก็ยังไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว 

 

 

ยามเช้าของเมื่อสองวันก่อน นางกับตี้เสียยังพึ่งร่วมกิจของสามีภรรยาบนเตียงนั้นอยู่เลย 

 

 

ทำไมเขาถึงได้พานังสวะจากโลกเบื้องล่างนั่นไปยังรังรักของพวกเรา? 

 

 

ฮว๋ายยู่โกรธกริ้วจนปวดพระเศียร แม้แต่พระครรภ์ก็ยังเจ็บปวดไปด้วย 

 

 

นางอยู่ร่วมกับตี้เสียมานานหลายปี ให้กำเนิดพระธิดากับเขาคนหนึ่ง กว่าจะตั้งครรภ์อีกครั้งก็มิใช่เรื่องง่าย เดิมทีนางรักถนอมบุตรในครรภ์นี้ยิ่งนัก ยามปกติจะไม่อารมณ์เสียโดยง่าย แต่ว่าตอนนี้กลับขุ่นเคืองอย่างที่สุด 

 

 

และครั้งนี้ถึงกับปวดครรภ์จนยากจะทนขึ้นมาจริงๆ 

 

 

ครู่ต่อมา หนานซวง[1] ที่พึ่งจะเก็บเศษกระจกเสร็จ ก็เห็นแสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในตำหนักบรรทมอย่างกระทันหัน 

 

 

นางรีบคุกเข่าลงไป ส่งเสียงแหลมว่า “เทียนตี้เพคะ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงเสด็จมา เทียนโฮว่ทรง….” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ตี้เสียก็ทรงประทับอยู่ที่ข้างพระแท่นบรรทม ทอดพระเนตรมองดูสีพระพักตร์ที่ซีดขาวของฮว๋ายยู่ด้วยความปวดพระทัยอย่างที่สุด 

 

 

 พระองค์รีบประทับนั่งลงที่ข้างกายนาง ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตจับปลายนิ้วที่เรียวบางของนางขึ้นมา 

 

 

พอพลิกดูก็เห็นว่าฝ่ามือของนางมีแต่เลือด 

 

 

“ทำไมถึงได้กลายเป็นเช่นนี้?” น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่ง ห่วงใยอย่างที่สุด นับเป็นต้นแบบของสามีผู้ประเสริฐ 

 

 

ฮว๋ายยู่กัดริมโอษฐ์ น้ำพระเนตรคลอ 

 

 

ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของแพทย์สวรรค์จิ้นหยุนดังมาจากภายนอกว่า “กราบทูลเทียนตี้ พระครรภ์ของเทียนโฮว่ได้รับความกระทบกระเทือน ทรงเจ็บปวดรวดร้าว ได้แต่จิกลงไปบนพระหัตถ์จึงพอจะถ่ายเทความเจ็บปวด……” 

 

 

ตี้เสียรีบวางพระหัตถ์ลงไปบนบนหน้าท้องที่นูนขึ้นมาของนาง กระแสพลังในครรภ์สับสนวุ่นวายจริง พระองค์รีบถ่ายทอดพลังวิญญาณของพระองค์ให้กับฮว๋ายยู่ เพื่อช่วยให้นางคลายความเจ็บปวด 

 

 

สำหรับบุตรในครรภ์ของนางนั้น พระองค์ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งอยู่แล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่าวังหลังของพระองค์จะยังมีพระสนมอีกสามนาง แต่กลับไม่มีดอกผลอันใด 

 

 

พระองค์มีชีวิตมาเนิ่นนาน แต่ก็มีพระธิดาตี้หยูเอ๋อร์เพียงองค์เดียว 

 

 

ตอนนี้ในครรภ์ของฮว๋ายยู่ เป็นทารกชาย ถือว่าเป็นราชโอรสองค์โตของพระองค์ พระองค์ย่อมรักถนอมอย่างที่สุด แน่นอนว่าไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น 

 

 

พอพระองค์ถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป สีพระพักตร์ของฮว๋ายยู่กลับยังไม่ดีขึ้นมา ดวงเนตรของนางมีน้ำตาคลอหน่วย เงยขึ้นมองไปที่ตี้เสีย “เทียนตี้เพคะ เป็นหม่อมฉันที่ไม่ดีเอง มิอาจปกป้องพระโอรสให้ดี ทั้งยังทำให้ท่านต้องกังวลใจ หม่อมฉัน….” 

 

 

พูดแล้ว นางก็เริ่มหลั่งน้ำตาหยดใหญ่ออกมา น้ำตากลิ้งออกมาราวหยดไข่มุก หยดลงบนหลังพระหัตถ์ของตี้เสีย จนอุ่นวาบ 

 

 

ตี้เสียปวดพระทัยขึ้นมาทันที รีบโอบนางเอาไว้ในอ้อมพระอุระ ลูบไล้แผ่นหลังของนางอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของพระองค์มีแต่ความอบอุ่นอ่อนโยน “อย่ากลัวไปเลย เราอยู่ที่นี่แล้ว โอรสของพวกเราจะต้องไม่เป็นอะไร” 

 

 

ว่าแล้ว ตี้เสียก็ทรงทอดพระเนตรออกไปที่ด้านนอก ตรัสว่า “จิ้นหยุน เจ้าเข้ามารายงาน” 

 

 

ครู่ต่อมา แพทย์สวรรค์จิ้นหยุนก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังอย่างที่สุด พลางคุกเข่าลงไปอย่างสั่นเทาที่เบื้องพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ 

 

 

“พระครรภ์ของเทียนโฮว่เป็นอย่างไร ทำไมแม้แต่พลังวิญญาณของเราก็ไม่เกิดประโยชน์?” 

 

 

ทันทีที่ตรัสออกมา สีพระพักตร์ที่เดิมก็ซีดขาวของฮว๋ายยู่ยิ่งกลายเป็นซีดเซียวกว่าเดิม 

 

 

เขาเรียกนางว่า ‘เทียนโฮว่’ 

 

 

ที่ผ่านมาเขาเรียกนางว่า ‘ฮว๋ายเอ๋อร์’ อยู่ตลอดมิใช่หรือ? 

 

 

ทำไมพอนังสวะจากโลกเบื้องล่างผู้นั้นปรากฏตัว ตนก็ไม่ใช่แม้แต่กระทั่ง ‘ฮว๋ายเอ๋อร์’ อีกต่อไป? 

 

 

นังนั่นพึ่งจะถูกตี้เสียพาเข้าไปในตำหนักไท่เหิงกง ก็ล่อลวงพระทัยของตี้เสียไปกว่าครึ่งค่อนแล้วหรือ? 

 

 

ฮว๋ายยู่พิงร่างกับอ้อมอกของตี้เสีย หันสายพระเนตรไปหาจิ้นหยุน 

 

 

ร่างของจิ้นหยุนสั่นสะท้านน้อยๆ รีบกราบทูลตี้เสียว่า “ทูลเทียนตี้ กระหม่อมได้ถวายโอสถบำรุงพระครรภ์ให้กับเทียนโฮว่แล้วพะยะค่ะ แต่ว่าแม้พระองค์จะเสวยเข้าไปก็ไม่เกิดผล กระหม่อมคาดเดาว่า คงจะเป็นเพราะว่าในแดนสวรรค์มีมารปีศาจปรากฏกาย เป็นปรปักษ์กับรัชทายาทในพระครรภ์….” 

 

 

 “หากไม่กำจัดนางปีศาจ พระโอรสในครรภ์ของเทียนโฮว่ย่อมตกอยู่ในอันตราย ผู้ที่ตั้งครรภ์ ไม่อาจสัมผัสถูกสิ่งอัปมงคลชั่วร้าย ยิ่งไปกว่านั้นพระวรกายของเทียนโฮว่เดิมทีก็มิค่อยแข็งแกร่ง” 

 

 

รอจนเขากราบทูลจบแล้ว ฮว๋ายยู่ถึงได้ดุเขาไปว่า “พูดอะไรเหลวไหล บนแดนสวรรค์ไหนเลยจะมีมารปีศาจได้กัน พระโอรสของเรามีเทียนตี้คอยปกป้อง ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่อง” 

 

 

แม้จะตรัสออกมาเช่นนั้น แต่ว่าน้ำเสียงของนางกลับฟังดูอ่อนระโหยอย่างมาก ท่าทางราวกับว่าประชวรหนักจนย่ำแย่ 

 

 

จิ้นหยุนอ้าปากค้าง “แต่ว่า…..” 

 

 

หากเทียบกันเรื่องฝีมือการแสดง เขาต้องเคารพนับถือเทียนโฮว่จริงๆ 

 

 

นางที่ตอนนี้อ่อนแอไร้กำลังอย่างที่สุด กับก่อนหน้าที่ข่มขู่เขาอยู่ตลอด แตกต่างราวกับว่าเป็นคนละคน 

 

 

จิ้นหยุนเงยหน้ามองดูตี้เสีย “เทียนตี้พะยะคะ….กระหม่อมได้ยินมาว่ามีพวกมารบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ พระโอรสในครรภ์ของเทียนโฮว่เกรงว่าอาจจะถูกมารนั่น….” 

 

 

ตี้เสียขมวดพระขนง โบกพระหัตถ์ ตรัสว่า “เจ้าถอยออกไปก่อน เราย่อมมีข้อวินิจฉัยด้วยตนเอง” 

 

 

“พะยะค่ะ” จิ้นหยุนถวายคำนับเต็มพิธีการ จากนั้นล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

พอเดินออกมาจากตำหนักหยินหยาง เขาก็หลั่งเหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลัง 

 

 

นี่เป็นครั้งแรก ที่เขาโป้ปดต่อเบื้องพระพักตร์ แม้ว่าเขาจะสำนึกผิดอยู่ในใจ แต่ว่าเพื่อบุตรชายของตนเอง ก็จำต้องทูลตามที่เทียนโฮว่ตรัสเอาไว้ 

 

 

เข้ายืนอยู่หน้าตำหนักยวนยางกงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ต้องถอนหายใจออกมา พลางส่ายศีรษะและเดินจากไป 

 

 

ในตำหนักยวนยางกง ฮว๋ายยู่ยังคงพิงอยู่ในอ้อมพระอุระของตี้เสีย ด้วยท่าทางอ่อนแอน่าสงสารราวกับว่าถูกทอดทิ้ง 

 

 

“เทียนตี้เพคะ อย่าได้ทรงฟังแพทย์สวรรค์กราบทูลวุ่นวาย เป็นหม่อมฉันที่ร่างกายไม่แข็งแรงเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดทั้งสิ้น” 

 

 

ตี้เสียทรงโอบกอดนาง พลางกุมหัตถ์ของนางเอาไว้ “หากมิใช่เพราะว่าเจ้าเข้ามาบังเราเอาไว้ ร่างกายก็คงจะไม่ได้ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ …… ฮว๋ายเอ๋อร์ เราติดค้างเจ้าแล้ว” 

 

 

ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ พระองค์ถึงได้ทุ่มเทความโปรดปรานทั้งหมดไปที่นาง 

 

 

“สามารถอยู่เคียงคู่กับพระองค์ หม่อมฉันก็พอใจอย่างที่สุดแล้ว เทียนตี้มิได้ทรงติดค้างสิ่งใดกับหม่อมฉัน” ฮว๋ายยู่กอดท่อนพระกรเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของพระองค์ “หม่อมฉันได้ยินมาว่า พระองค์พาตัวแม่นางจากโลกเบื้องล่าผู้นั้นไป…..” 

 

 

…………………… 

 

 

  

 

 

[1] 南霜: น้ำค้างแดนใต้ (ชื่อผู้หญิง)