ตอนที่ 1092 หวนกลับมิได้

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1092 หวนกลับมิได้

ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดสีเขียวอ่อนย่างกรายออกไปจากพระราชวังด้วยท่าทีหลบ ๆ ซ่อน ๆ ราวกับนักโทษก็มิปาน เขาวิ่งไปขึ้นรถม้าที่จ้าวโฮ่วเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า จ้าวโฮ่วขับรถม้าฝ่าหิมะ มุ่งหน้าไปทางหอซื่อฟาง

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก ราวกับนกที่ได้ออกจากกรงขังมิผิดเพี้ยน เขาแทบจะอดใจรอมิไหวที่จะได้พบกับสหายวัยเยาว์ซึ่งเคยร่วมดื่มสุราด้วยกันจนมึนเมา ไม่สิ ! บัดนี้ทุกคนมิใช่เยาวชนแล้ว แต่ละคนกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว โดยมากก็มีครอบครัวแล้ว บัดนี้พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่เปรียบเสมือนกระดูกอันแข็งแกร่งของต้าเซี่ย

ยังจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนในอดีตได้อยู่หรือไม่ ?

เขาเองก็มิรู้เช่นกัน แต่ก็คาดหวังและรอคอยมากยิ่งนัก

คนเหล่านั้นล้วนเป็นสหายในโลกนี้ของเขา เขามิอยากให้ตำแหน่งของเขาทำให้สหายเหล่านี้เปลี่ยนไปจากเดิม เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาเหล่านั้นจะยังเป็นดังเดิม สามารถโอบบ่าร่วมดื่มสุราด้วยกันได้ สามารถสนทนาได้ทุกเรื่องและนอนหลับไปด้วยกัน

มิตรภาพเช่นนั้นจึงจะบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และควรค่าแก่การนึกถึง

ในไม่ช้า รถม้าก็ได้ดำเนินมาถึงหอซื่อฟาง ฟู่เสี่ยวกวนได้ลงจากรถม้าแล้วตรงขึ้นไปยังชั้นสอง

ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ อีกแปดคนได้เข้าประจำที่แล้ว แต่ละคนได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ นานาที่พบเจอออกมา เมื่อฟู่เสี่ยวกวนผลักประตูเข้าไปด้านใน ทุกคนล้วนมองมาที่เขา จากนั้นก็ลุกขึ้นโค้งคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท ! ”

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนจางหายไปทันใด เขารู้สึกผิดหวังมากยิ่งนัก “พวกเจ้าทั้งหลาย ช่างน่าเบื่อเสียจริง ! ”

เขาเดินตรงเข้าไป “ฝ่าบาทอันใดกันเล่า ! ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน พ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง ! ”

“ในวันนี้ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามาดื่มสุราที่นี่ มิใช่เพราะต้องการจะสนทนาเรื่องราชการ มิต้องแบ่งแยกชนชั้นหรอก หากพวกเจ้ายังคิดว่าข้าเป็นสหายล่ะก็ จงอย่าทำเช่นนั้นกับข้าอีก พวกเราเรียบง่ายกันสักหน่อยมิดีกว่าหรือ ? ”

นี่มัน…

หยุนซีเหยียนจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านฟู่เอ่ยได้มีเหตุผลมากยิ่งนัก นึกถึงตอนนั้นที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยแห่งจินหลิง พวกเราได้กอดคอกันขึ้นรถม้าและได้ไปกินหม้อไฟด้วยกัน”

“นั่นสิ ! ข้าต้องการรำลึกถึงมิตรภาพในตอนนั้น มัวยืนทำอันใดกันอยู่เล่า ? นั่ง ๆ ๆ เสี่ยวเอ้อ นำสุรามา ! ”

เมื่อทุกคนเข้าประจำที่แล้ว เนื่องจากหยุนซีเหยียนอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างนาน ดังนั้นเขาจึงเป็นกันเองมากยิ่งนัก

เยี่ยนซีเหวินเองก็รู้ถึงนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มเป็นกันเองขึ้นมา

ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนก็เคยร่วมดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคราที่อยู่ในเมืองจินหลิงด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศเช่นนี้ช่างดีมากยิ่งนัก

ทว่าฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ กลับรู้สึกว่านี่มิถูกมิควร ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้มีจักรพรรดิที่ไร้กฎระเบียบเช่นนี้ด้วยหรือ ?

ควรมีการแบ่งแยกตามอายุและยศถา อีกอย่าง…ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เป็นจักรพรรดินี่ !

ต่อให้เขาได้เป็นขุนนางขั้นหนึ่งเซิ่งกั๋วกง ทว่าเขาก็ยังมิใช่จักรพรรดิ เขายังสามารถใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนทั่วไปได้ตามอำเภอใจ

ทว่าบัดนี้เขาเป็นถึงจักรพรรดิ !

อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเซี่ย !

พวกเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นราษฎรของเขา !

ฟ้าดินจักรพรรดิญาติและอาจารย์ ได้เรียงลำดับความสำคัญมาแต่โบราณ การที่เขาใช้วิธีนี้เพื่อใกล้ชิดกับราษฎร มันเหมาะสมแล้วหรือ ?

ดังนั้น…บรรยากาศจึงดูแปลกไปเล็กน้อย

หยุนซีเหยียนและคนอื่น ๆ ได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ นานา ทว่าฝานเทียนหนิง กงซุนเซ่อและที่เหลือมิกล้าทำเช่นนั้น นอกจากดื่มสุราแล้ว พวกเขาก็แทบมิได้เอ่ยอันใด ช่างน่าอึดอัดมากยิ่งนัก

ในทางกลับกัน จัวหลิวหวินรู้สึกเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่าจักรพรรดิผู้นี้ช่างเข้าถึงง่ายเสียจริง ดังนั้นจึงได้ร่วมชนจอกสุรากับฟู่เสี่ยวกวนไปถึงสามจอก จากนั้นก็เริ่มเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา

เมื่อสุราตกลงไปถึงท้อง ฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมา เขาหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วเดินไปข้าง ๆ ฝานเทียนหนิง “น้องฝาน อย่าหาว่าข้าตำหนิเจ้าเลยนะ ในตอนนั้นที่พวกเราได้เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่เมืองกวนหยุนด้วยเจ้า เจ้าลืมไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จงดื่มสุราในจอกของเจ้าลงไปให้หมด แล้วข้าจะรินให้เจ้าใหม่ สหายร่วมดื่มกันเถิด ! ”

ฝานเทียนหนิงดื่มสุราในจอกจนหมด จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รินให้เขาจนเต็มจอกอีกครา พลางยกจอกสุราของตนขึ้นมา เอ่ยอย่างจริงจังว่า

“เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า การรู้จักกันสำคัญที่เข้าใจ การที่เข้าใจกันสำคัญที่รู้ใจ”

“ข้าฟู่เสี่ยวกวน พ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง ขอเอ่ยคำที่กลั่นออกมาจากอกไว้ ณ ที่นี้ว่า ข้ารู้ดีว่าข้าคือจักรพรรดิ ทว่าข้านั้นมิเคยมองว่าตนเองเป็นจักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย”

“จักรพรรดิคือผู้ที่โดดเดี่ยว แท้จริงแล้วเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุดในใต้หล้า ข้ามิต้องการเป็นเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงมิค่อยใช้คำแทนตนเองว่าจักพรรดิ สิ่งที่ข้าหวังคืออันใดน่ะหรือ ? ข้าหวังว่าทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้จะยังคงเป็นสหายของข้า เป็นสหายของฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม ! เป็นสหายที่หลังจากข้าลงจากบัลลังก์แล้วยังสามารถไปนั่งตกปลา ท่องเที่ยว ดื่มสุราด้วยกันได้ดังเดิม ! ”

“เดิมทีข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนล้วนรู้จักข้าดี แต่ดูพวกเจ้าสิ ! เจ้ากลับมิเข้าใจข้าเอาเสียเลย ท่าทางของเจ้าเช่นนี้ เมื่อข้าเกษียณแล้ว ข้าจะกล้าเดินทางไปเที่ยวเล่นกับเจ้าที่เมืองฉางจินได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“พวกเจ้าเองก็เช่นกัน กงซุนเซ่อ ในตอนนั้นยามที่อยู่ในราชวงศ์หยู ข้าให้เจ้าเข้าไปในกรมการค้า จะว่าไปเจ้าก็ถือเป็นลูกน้องเก่าแก่ของข้า ทว่าข้าหาได้เคยเห็นพวกเจ้าคนใดเป็นลูกน้องไม่ พวกเจ้าทุกคนคือสหายของข้า”

“สหาย…เข้าใจหรือไม่ ? มองดูแล้วพวกเจ้าน่าจะยังมิเข้าใจสักเท่าใด เอ้า มา ๆ ๆ ! ฝานเทียนหนิง พวกเรามาดื่มด้วยกันสักสามจอก ! ”

ฝานเทียนหนิงดื่มสุราสามจอกนั้นลงไปทั้งน้ำตา เขาเพิ่งจะรู้ว่าจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้านี้ แตกต่างไปจากจักรพรรดิองค์อื่น ๆ อย่างแท้จริง !

เขามิได้สนใจอำนาจเหล่านั้นเลยสักนิด สิ่งที่เขาสนใจคือมิตรสหายและความจริงใจต่างหากเล่า !

“พี่ฟู่ ข้าผิดไปแล้ว ! มา ๆ ๆ ๆ ข้าขอลงโทษตนเองสามจอก ! ”

“เมื่อท่านเกษียณแล้ว ข้าเองก็มิรู้หรอกว่าท่านจะอาศัยอยู่ที่ใด ทว่าข้าจะพาภรรยากับบุตรหลานไปเยี่ยมเยียนท่านอย่างแน่นอน ! ”

“อืม…เช่นนี้สิถึงจะเป็นสหายที่ดีของข้า ! ”

เมื่อสุราทั้งสามจอกนั้น ไหลลงไปสู่กระเพาะ ฝานเทียนหนิงก็เริ่มมึนเมาขึ้นมา “จะว่าไปแล้ว งานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ในตอนนั้น ท่านคือผู้ที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้า บัดนี้ท่านประพันธ์กวีให้แก่พวกข้าสักบทสิ พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”

“ดี ! ” ทุกคนพากันโห่ร้องขึ้นมา

เยี่ยนซีเหวินยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะฝานเทียนหนิงเอ่ยขึ้นมา พวกข้าคงลืมไปแล้วว่าเจ้านั้นประพันธ์กวีได้ดียิ่ง”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเสียงดัง “ข้าเคยเอ่ยไว้แล้วมิใช่หรือว่า เรื่องการประพันธ์กวีนี้เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้า จงนำพู่กัน กระดาษและหมึกมา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกมาเสียงดัง หลิวจิ่นที่ยืนอยู่นอกประตูรีบวิ่งเข้ามา “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพิ่งเดินทางมาถึง จะจัดเตรียมเครื่องเขียนให้ประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เจ้าหมอนี่ เจ้ามาทำไมกัน ? ”

หลิวจิ่นยิ้มแหยพลางตอบว่า “แหะ ๆ กระหม่อมเดินทางมาเพื่อเตรียมเครื่องเขียนให้แก่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เช่นนั้นก็เร็ว ๆ เข้า ! ”

หลิวจิ่นหยิบอุปกรณ์เหล่านั้นออกมา จากนั้นก็ทำการฝนหมึกด้วยแท่นฝนหมึก

ฟู่เสี่ยวกวนยกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เขายืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะหนังสือ “ในวันนี้มิตรสหายเก่าแก่ได้เดินทางมารวมตัวกัน ข้าจะเขียนในหัวข้อสหายกับกวีที่มีชื่อว่า มัวยวี๋เอ๋อร์ วันเวลาผ่านไปทุกคนอยู่หนใด”

ทุกคนในห้องนั้นนิ่งเงียบพลางจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังนำพู่กันจุ่มน้ำหมึก เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิมาหลายปีแล้ว จะยังสามารถประพันธ์กวีได้อยู่หรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนนำพู่กันจรดลงสู่กระดาษ มันยังคงเป็นตัวอักษรที่มิน่ามองดังเดิม เขาเขียนพลางเอ่ยออกมาว่า

“เมื่อวันเวลาหมุนเวียน ทุกคนอยู่ที่ใด ศาลาฉางถิงที่เคยร่วมดื่ม

เมื่อดื่มสุราเสร็จสิ้น ต่างก็จากไป แต่กิ่งก้านต้นหลิวมิได้ถูกหักลงตาม

ผมเริ่มหงอกขาว

รอมอบสุราให้ท่าน คงต้องเป็นหลังเชงเม้ง

กิ่งไผ่ดูเก่าแก่ เอ่ยถามทั้งเจียงเป่ยเจียงหนาน ผู้ทุกข์ใจเยี่ยงข้า ยังมีอีกหรือ

หากมิอาจรั้ง ก็จงฝืนต้มมันไปเสีย

……

ชีวิตนี้พบผู้คนมามากมาย แต่เสียงหัวเราะดังก้องนับร้อยปี จะมีสักกี่ครา”

เมื่อวางพู่กันลงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันกลับมาเอ่ยว่า “กวีบทนี้ ข้าประพันธ์ให้กับมิตรภาพของพวกเรา”

“สิ่งที่ข้าหวังก็คือเสียงหัวเราะที่ดังก้องนับร้อยปี มิตรภาพยืนยาวนับร้อยปี ! ”

“มา ๆ ๆ หมดจอก ! ”