บทที่ 1284 ท่านเซียนชื่อเหยียน

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1284 ท่านเซียนชื่อเหยียน

ผลัวะ**!**

มือคล้ายกับหัตถ์เทพอัดแน่นด้วยพลังสูงล้ำไม่มีใครขวางได้

แต่เมื่อมือนั้นกำลังจะโอบล้อมพื้นที่เอาไว้ มิติที่เบื้องหน้ามู่เฉินก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ น้ำเต้าสีแดงบินฉวัดเฉวียนออกมาอย่างแปลกประหลาด

เมื่อน้ำเต้าปรากฏขึ้น ก็กำจายแสงสีแดงเข้มดูราวกับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของภูเขาไฟ เกลียวสีแดงเข้มประหนึ่งเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ทุกจุดของแสงสีแดงเข้มเหมือนเป็นมหาสมุทรเพลิง

อุณหภูมิในบริเวณนี้เพิ่มสูงขึ้นกะทันหัน กระทั่งรอบด้านยังต้มเดือด

ตู้ม!

เกลียวแสงสีแดงเข้มไม่มีที่สิ้นสุดพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ปะทะกับมือใหญ่ จังหวะนั้นทั้งบริเวณก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมฆหมอกนับไม่ถ้วนลุกโชนออกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ตึง!

ภายใต้แสงสีแดงเข้ม มือใหญ่ก็แห้งลงอย่างรวดเร็ว รอยแตกปกคลุม อึดใจต่อมาก็ถูกแสงสีแดงเข้มจนแข็งเป็นหิน

ครืน!

มือใหญ่แหลกสลาย ก่อนจะกลายเป็นเศษหินนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า ยกคลื่นที่น่าตกใจขึ้นในเวิ้งทะเลนี้

เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นมือพังทลายลง ความหวาดหวั่นก็วูบไหวในดวงตาพร้อมกับความกลัวปรากฏบนใบหน้า

เห็นได้ชัดว่าฉากนี้ทำให้พวกเขาตกใจไปหมดแล้ว

กระบวนท่านี้เป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน ทว่าการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวกลับได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย แบบนี้ฝ่ายตรงข้ามจะน่ากลัวแค่ไหนกัน?!

ต่อหน้าจอมยุทธ์ระดับนี้ จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็ราวกับเป็นแค่มดปลวกเท่านั้น

ฮา

เมื่อน้ำเต้าแดงทำลายมือนั้นก็บินกลับไปพลิ้วลงไม่ไกลจากกลุ่มมู่เฉินภายใต้สายตาตกตะลึง

ตอนนี้เองพวกเขาก็พบว่าชายชราคนหนึ่งในชุดธรรมดา ไม่รู้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร

ชายชรายิ้มตาหยีก่อนที่จะจับคว้าน้ำเต้าแดงบิออกมาคำหนึ่ง ขณะนั้นเองมู่เฉินและคนอื่นๆ ก็เห็นของเหลวสีแดงเข้มเหนียวหนืดไหลเข้าสู่ปากของชายชรา

แม้จะไม่ได้สัมผัส กลุ่มมู่เฉินก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิที่น่ากลัว พวกเขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถดื่มลาวาราวกับสุราเหมือนอย่างที่ชายชราทำแน่นอน

มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความตกใจในสายตากันและกัน ตัดสินจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ชายชราผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนตัวจริงเสียงจริงแน่!

ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจทำไมจอมยุทธ์ระดับนี้ที่ไม่รู้จักกันถึงช่วยเหลือพวกเขา

อย่างไรก็ตามชายชราไม่ได้ใส่ใจกับความตกใจของพวกเขา หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองอุโมงค์มิติด้านหลังกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูด้วยรอยยิ้ม “ยังไงก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเผ่าฝูถู ทำไมต้องลดสถานะตนเองมากลั่นแกล้งคนรุ่นใหม่ด้วย?”

กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูใบ้กินจากความกลัว อุโมงค์ที่อยู่ข้างหลังยังคงนิ่งสงบก่อนที่จะมีเสียงพูดเปล่งออกมา “ที่แท้ก็เซียนเฒ่าชื่อเหยียนเผ่าไท่หลิง แต่เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง ต่างคนต่างอยู่ไม่แส่เรื่องกันเละกัน ทำไมแกต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเผ่าข้าด้วย”

ชายชราที่ถูกเรียกว่าเซียนชื่อเหยียนยิ้มพลางส่ายหัว “ที่นี่มีเมล็ดพันธุ์ที่ข้าค้นหามานาน ดังนั้นข้าจะปล่อยให้เผ่าฝูถูทำลายได้ยังไง?”

“หึ ไอ้เด็กกาลกิณีนี่มีเชื้อสายของเผ่าข้า หากเผ่าไท่หลิงต้องการจะพามันไป ข้ากลัวว่าแรงกระทบจะไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่แกก็สามารถทนได้!” เสียงโกรธแค้นดังขึ้นจากอุโมงค์มิติขณะที่สะท้อนก้องออกไป

ชื่อเหยียนกลอกตาชี้ไปที่ลั่วหลีแล้วก็มู่เฉิน “เมล็ดพันธุ์ที่ข้าบอกคือนาง ไม่ใช่เขา”

เมื่อมู่เฉินเห็นสิ่งนี้ก็ได้แต่ยักไหล่อย่างเซ็งๆ เท่านั้น

อีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะพูดอีกครั้งว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เจ้าก็พานางออกไปซะ แต่ไอ้เด็กกาลกิณีต้องอยู่ที่นี่!”

เมื่อลั่วหลีได้ยินคำพูดนั่น นางก็พูดขึ้นทันที “ถ้ามู่เฉินอยู่ ข้าก็อยู่!”

จบคำพูด นางก็หันไปหาชื่อเหยียน “ขอบคุณที่ผู้อาวุโสให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”

เมื่อชื่อเหยียนได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ไม่โกรธแต่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหันไปมองอุโมงค์มิติ “ดูเหมือนว่าข้าจะปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่ไม่ได้ หากเจ้าไม่ยอมปล่อย ข้าก็คงต้องขอลองชิมพลังอำนาจของเผ่าฝูถูซะหน่อยแล้ว”

ขณะที่พูดน้ำเต้าสีแดงก็ค่อยๆ เปล่งประกายแสงสีแดงออกมา ก่อนที่อุณหภูมิน่าสะพรึงจะพัดระหว่างสวรรค์และโลก

เมื่อเห็นการตัดสินใจเด็ดขาดของชื่อเหยียน ฝั่งในอุโมงค์มิติก็เงียบไป จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูโกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด เรื่องของวันนี้เป็นสิ่งที่เขาทำภายใต้ความคิดของตนเอง หากคนในตระกูลรู้เรื่องนี้เข้าจะทำให้เขาเดือดร้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูชิงเหยี่ยนจิ้ง ด้วยนิสัยของนางคงจะอาฆาตแค้นไม่เลิกแน่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรที่แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่สามารถปราบไว้ได้ ดังนั้นเขาจะต้องเป็นคนที่รับทุกข์ทั้งหมดแน่นอน

ขณะที่ในอุโมงค์มิติยังคงเงียบสงบ ชื่อเหยียนก็หันไปมองมู่เฉิน ดวงตาวูบไหวพลางถอนหายใจ “เด็กคนนี้ก็เป็นเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยม เผ่าโบราณของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์โดยไม่เห็นคุณค่า หากเด็กคนนี้ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนในอนาคตแน่นอน แต่กระนั้นพวกเจ้าก็ยังปฏิบัติต่อเขาในฐานะตัวกาลิกิณี ตลกแท้จริง”

ได้ยินการประเมินของชื่อเหยียนเกี่ยวกับมู่เฉิน เสียงที่ไม่สามารถระบุอารมณ์ได้ก็เค้นดังออกมาจากอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์มิติ แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไร “ในเมื่อไอ้เซียนเฒ่าอย่างแกต้องการแทรกแซงเรื่องนี้ งั้นก็แล้วแต่ แค่หวังว่าแกจะรับผลที่ตามมาได้!”

“นี่เป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องสะเออะสอน” ชื่อเหยียนหัวเราะเบาๆ

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจากเผ่าฝูถูรู้ดีว่าคงไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แล้ว คลื่นหลิงก็กวาดออกดูดร่างกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเข้าไปในกระแสมิติ

ความผันผวนของห้วงมิติกระจายออกแล้วค่อยๆ หายไป

การหายไปของกระแสมิติ ทำให้ความกดดันน่าสะพรึงที่ล้อมรอบบริเวณนี้ก็ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แสงส่องลงมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง

มู่เฉิน ลั่วหลีและหลงเซี่ยงรู้สึกโล่งใจอย่างมาก เนื่องจากแรงกดดันที่มาจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทรงพลังเกินไป การดำรงอยู่แบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจัดการได้ในขณะนี้

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือท่านผู้อาวุโส”

มู่เฉินหันกลับประสานมือก้มศีรษะให้ชื่อเหยียน

ชื่อเหยียนโบกมือขณะที่เขามองมู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มแปลกประหลาด “ไอ้หนู แม้ไม่มีชายชราคนนี้ ข้าเชื่อว่าวันนี้ก็ไม่มีใครทำอะไรกับเจ้าได้”

เขาเหลือบไปที่หินสลักที่ยังอยู่ในมือของมู่เฉิน สัมผัสได้ถึงรัศมีทรงพลังที่กำจายเบาบาง แม้กระทั่งคนอย่างเขายังแขยงอยู่หน่อยๆ เลย

มู่เฉินยิ้มบางก่อนจะแลกเปลี่ยนสายตากับลั่วหลีพูดว่า “ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านตามหาตัวลั่วหลีด้วยเรื่องอะไร?”

เขายังไม่ได้เก็บหินสลัก ปล่อยให้ชื่อเหยียนสัมผัส ซึ่งนี่เป็นรูปแบบการข่มขู่อย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาไม่แน่ใจเกี่ยวกับความตั้งใจของชื่อเหยียนกับลั่วหลี ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล มู่เฉินก็จะบอกให้รู้ว่าแม้ว่าเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรไม่ได้

ในโลกนี้การยืมพลังของคนอื่นก็ถือเป็นจุดแข็งเช่นกัน

ลั่วหลีกวาดม่านตาแก้วใสไปที่ชื่อเหยียนด้วยความสงสัย เมื่อชายชรามองลั่วหลี เขายิ้มตาหยี “ที่จริงแล้วเหตุผลที่ตาแก่คนนี้มาหานางเป็นเรื่องง่าย… ข้าต้องการให้นางไปเป็นธิดาเทพของเผ่าไท่หลิงน่ะ”

“ธิดาเทพอีกแล้วเหรอ?!”

ใบหน้าของมู่เฉินและลั่วหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“อะแฮ่ม ธิดาเทพเผ่าไท่หลิงไม่เหมือนกับตำหนักซีเทียนนะ!” เมื่อชื่อเหยียนเห็นสายตาระแวดระวังของพวกเขาก็อธิบายทันที

ดูท่าเขารู้เรื่องที่จักรพรรดิสัประยุทธ์พยายามจะเกี้ยวลั่วหลีให้รับตำแหน่งธิดาเทพ

“ผู้อาวุโส ข้าเป็นจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิน นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้เป็นคนจากเผ่าไท่หลิง ดังนั้นข้าขอสำนึกบุญคุณของท่านไว้ในใจ” นางส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของชื่อเหยียน แม้ว่าเผ่าไท่หลิงจะเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณของมหาพันโลก แต่นางก็ไม่มีแผนที่จะภักดีต่อพวกเขา

เมื่อเห็นว่าลั่วหลีปฏิเสธโดยไม่ลังเล ชื่อเหยียนก็ตะลึงงัน เผ่าไม่หลิงมีชื่อเสียงเลื่องลื่อในมหาพันภพ ไม่มีใครที่ไม่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขาในทางปฏิบัติ แต่ในสายตาของลั่วหลีไม่ได้สนใจสักนิด

เผชิญกับผลลัพธ์นี้ ชื่อเหยียนก็มีใบหน้าเปรี้ยวฝาดไป

มู่เฉินและลั่วหลีแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะเลิกสนใจชายชรา

มู่เฉินหันไปมองที่ส่วนลึกของเกาะหัวใจหยกพูดกับลั่วหลีว่า “ไปช่วยพี่หลิงซีกันก่อนเถอะ”

ลั่วหลีพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่ยังส่วนลึกของเกาะ ปล่อยชื่อเหยียนให้ยืนทึ่มทื่อตรงนั้นด้วยสีหน้าขมขื่น

เวลาเดียวกันที่เผ่าฝูถู

ชายชราชุดดำมองไปที่กู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูที่กำลังตัวสั่นเทาพูดด้วยเสียงเย็น “เจ้าสองคนช่างกล้า เครื่องรางของข้าไม่ได้ให้ไว้เพื่อจัดการกับไอ้ตัวกาลกิณี!”

ใบหน้าของกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูดิ่งลง ไม่กล้าแก้ตัวอะไร

เมื่อเห็นท่าทางทั้งสองไร้ประโยชน์ ชายชราสวมชุดดำก็เค้นเสียงดวงตากะพริบวูบไหว “เจ้าสองคนติดตามข้าไปเยี่ยมเยียนประมุขน้อย รายงานทุกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับไอ้กาลกิณีนั่น เพื่อให้เขาตัดสินใจ”

เมื่อพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป เมื่อกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูเห็นก็รีบติดตามไปด้วยเช่นกัน

ทั้งสามเดินผ่านอาคารหลายหลัง ก่อนจะมาถึงลานหินที่สร้างขึ้นบนหน้าผาสูงชันเมฆล้อมรอบลาน ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวนั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น รัศมีของเขาลึกพอกับก้นบึ้งไม่อาจหยั่งรู้ เจดีย์ผลึกใสสามารถมองเห็นผ่านดวงตาที่เปิดออก

ชายชราชุดดำมายืนที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ส่วนกู้ซือหวงและเหลียงเสียหยูก็คุกเข่าทำความเคารพ

“คารวะประมุขน้อย!”

ชายหนุ่มชุดสีฟ้าอมเขียวเปิดตาอย่างช้าๆ มองทะเลเมฆผ่านรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่เสียงจะดังก้องเนิบนาบโดยไม่มีอารมณ์ใดๆ

“เจ้าสองคนเจอไอ้กาลกิณีคนนั้นแล้วใช่ไหม?”