ตอนที่ 1066 จะไม่หายโกรธ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ออกกระบวนท่า เฟิงอวิ๋นซิวก็พุ่งมาป้องกันด้านหน้าของมู่เฉียนซีเอาไว้

“ปรมาจารย์จาง ที่นี่คือตำหนักของข้าหาใช่ตำหนักโอสถของเจ้าไม่ และเจ้าก็ไม่อาจที่จะทำอะไรคนบางคนได้ตามใจชอบ”

มู่เฉียนซีเองก็สงสัยเช่นกัน ดูแล้วนักปรุงยาผู้นี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะไปยุ่งย่ามเรื่องของผู้อื่นนัก นางมิใช่ว่าแค่วางยาพิษไป๋เหยียนเอ๋อร์ไปนิดเดียวเองหรือ?

ทำไมเขาถึงได้โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ราวกับว่านางไปฆ่าล้างคนทั้งบ้านเขาก็มิปาน

ช่างประหลาดนัก!

เมื่อเฟิงอวิ๋นซิวแข็งกร้าวขึ้นมาก็ทำให้น้ำเสียงของปรมาจารย์จางอ่อนลง

เขากล่าว “ข้าก็แค่อยากจะเชิญเขาไปที่นั่นสักครา ไม่ได้จะกินเขาเข้าไปเสียหน่อย”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าปฏิเสธ!”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าใดที่อยากไปตำหนักโอสถของข้า? ข้าเชิญเจ้าไปนั่นถือว่าเป็นบุญของเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าที่จะมาปฏิเสธ!”

ปรมาจารย์จางไม่สามารถทนรับคำปฏิเสธจากผู้อื่นได้

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ไปก็คือไม่ไป ตอนนี้เจ้าจงรีบไปให้พ้นจากหน้าข้าให้ไว! ได้ยินเจ้าตะโกนเสียงดังโวยวาย หูของข้านั้นเจ็บไปหมดแล้ว”

มู่เฉียนซีไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ซวนอี ส่งแขก!”

ซวนอีเดินออกมาแล้วกล่าว “ปรมาจารย์จาง เชิญเถิด!”

“หากมิได้พาเจ้าเด็กนี่ไปด้วย วันนี้ข้าจะไม่ยอมไป”

ซวนอีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ปรมาจารย์จาง เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงแต่ต้องใช้กำลังส่งท่านออกไปเสียแล้ว”

เมื่อเห็นว่าซวนอีกำลังจะลงมือแล้ว ปรมาจารย์จางก็กัดฟันแล้วถลึงตาใส่มู่เฉียนซีอย่างดุดันไปหนึ่งคราแล้วเดินจากไป!

มู่เฉียนซีมองตามเงาหลังปรมาจารย์จางแล้วถามขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิวเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าเฒ่านี่เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา?”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เฉียนเยี่ย ยาพิษที่เจ้าไปวางยาไป๋เหยียนเอ๋อร์ไปนั้น ผู้อื่นคงไม่สามารถที่จะถอนได้กระมัง!”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าว “แน่นอน พิษของข้านั้นผู้อื่นไม่อาจที่จะถอนมันได้ง่ายดายเช่นนั้น”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เช่นนั้นการที่ปรมาจารย์จางมาที่นี่ก็เป็นเรื่องปกติยิ่งนักแล้ว!”

เขากล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าปรมาจารย์จางจะเป็นหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ แต่เขามีจิตริษยาที่รุนแรงนัก เมื่อเห็นว่ามีผู้สามารถสกัดยาที่ตนเองไม่สามารถสกัดออกมาได้ก็จะเกิดริษยาและต้องการทำลายเสีย!”

มู่เฉียนซีเบ้ปากกล่าว “ช่างเป็นตาเฒ่าประสาทผู้หนึ่งจริง ๆ”

นางโบกมือแล้วกล่าว “ซวนอี ยังไม่สั่งให้คนมาส่งอาหารอีก ข้าหิวแล้ว”

เส้นเลือดกลางหน้าผากของซวนอีปูดโปนขึ้นมา เขามิใช่สาวรับใช้หากแต่เป็นองครักษ์ใกล้ตัวของผู้เป็นนายเขา เมื่อหิวแล้วก็เรียกหาเขานี่มันอะไรกัน?

ถึงแม้ว่าจะเอ็ดบ่นแต่ซวนอีก็รับคำสั่งไปจัดหาตามที่เขาต้องการมาให้

เมื่อคืนนี้ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้าเด็กนี่ บางทีนายน้อยอาจจะเสร็จไปเสียแล้ว

นายน้อยดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่ไม่มีความต้องการต่อสิ่งใดแต่กลับเป็นผู้คลั่งไคล้ในความรักผู้หนึ่ง เฮ้อ!

หลังจากที่อาหารมาส่งให้เสร็จสรรพ มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้น “เฟิงอวิ๋นซิว ข้ากินข้าวมื้อนี้เสร็จก็จะไปแล้ว”

“ยังเหลือเวลาอีกวันไม่ใช่หรือ?” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวถาม

“อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีเรื่องอื่นใด หากเจ้าได้ข่าวของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็จงบอกข้าก็พอแล้ว ข้าจะไม่อยู่ในตำหนักตงจี๋เป็นการชั่วคราว” มู่เฉียนซีกล่าว

“เจ้าโกรธหรือ?”

มู่เฉียนซีชำเลืองมองไปทางเขาแล้วกล่าว “แน่นอนว่าข้าโกรธ อีกทั้งจะไม่หายโกรธด้วย! ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้นะเฟิงอวิ๋นซิว เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อตนเองตั้งแต่เมื่อไร เรื่องเมื่อคืนก็ให้มันจบลงไปเช่นนั้นเสีย”

“มิเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันแล้ว” แล้วมู่เฉียนซีก็เดินออกไป

มู่เฉียนซีหวังว่าเขาจะปล่อยวางมันลงได้!

ดวงตาสีเหลืองอำพันของเฟิงอวิ๋นซิวหรี่ลงแล้วกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากที่มู่เฉียนซีกินอาหารเสร็จสิ้น เฟิงอวิ๋นซิวก็กล่าวขึ้น “ซวนอี ส่งเฉียนเยี่ยออกจากตำหนักตงจี๋ แล้วก็ถือโอกาสพาเขาไปทำความคุ้นเคยกับเมืองตงจี๋เสียหน่อย หากเขาต้องการสิ่งใดเจ้าจงทำให้เขาพอใจก็พอแล้ว นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ติดค้างกันไว้ที่เมืองโอสถเมื่อตอนนั้น”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าพูดเองนะเฟิงอวิ๋นซิว เมื่อถึงตอนนั้นแล้วเจ้าถังแตกก็อย่ามาร้องไห้เล่า ที่นี่เป็นถิ่นที่ของเจ้า ข้าใช้จ่ายขึ้นมาจะไม่เกรงใจอย่างแน่นอน”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “จงเลือกซื้อได้ตามใจเจ้า!”

ดังนั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงได้ออกจากตำหนักตงจี๋ไปซื้อสิ่งของนานาชนิดที่เมืองตงจี๋ นี่เป็นครั้งแรกที่ซวนอีผู้นี้ที่เป็นองครักษ์ข้างกายของนายน้อยอวิ๋นซิวได้ลิ้มรสของการจ่ายเงินเสียจนมืออ่อนยวบ

ซวนอีขบฟันมองไปยังมู่เฉียนซี เจ้าเด็กนี่ช่างเป็นพวกมือเติบอย่างสุดยอดเสียจริง!

“เจ้าซื้อเสร็จแล้วหรือยัง?” ซวนอีถาม

“ยังเลย! ที่ตรงนั้นยังมีร้านโอสถอีกแห่งหนึ่ง!”

ซวนอีควรที่จะรู้สึกโชคดีที่เจ้าเด็กนี่ชอบแต่เพียงสมุนไพรวิญญาณเท่านั้น

ถ้าหากว่าชอบสิ่งอื่น ๆ ด้วยแล้วและจับจ่ายซื้อของชนิดต่าง ๆ ด้วย เช่นนั้นเกรงว่าผู้เป็นนายที่พวกเขารักนั้นจะถังแตกเข้าจริง ๆ เสีย

หลังจากซื้อเสร็จแล้วซวนอีก็หมดแรงจนถึงขนาดที่ต้องหาโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองตงจี๋ให้แก่มู่เฉียนซี ในที่สุดเขาก็ได้จัดการเรื่องที่อยู่ของนายน้อยอีกท่านเสร็จสิ้นแล้ว

ซวนอีถามขึ้น “คุณชายมู่ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือไม่?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่มีแล้ว!”

“เช่นนั้นข้ากลับไปรายงานนายน้อยแล้วนะ!”

มู่เฉียนซีผายมือแล้วกล่าว “ไปเถอะ! ไปเถอะ!”

ซวนอีวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเพราะเกิดกลัวว่ามู่เฉียนซีจะตะโกนให้เขาหยุดเสียและให้เขาไปใช้แรงงานต่อ

หลังจากที่ได้ให้ซวนอีกลับไปแล้วมู่เฉียนซีก็ไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมต่อนานนัก แต่ได้กลับไปยังหอหมอปีศาจ

ตอนนี้หอหมอปีศาจก็มีชื่อเสียงในแดนตะวันออกไม่เบาแล้ว แต่ทว่าพื้นที่ในแดนตะวันออกนั้นกว้างขวางอีกทั้งยังมีตำหนักตงจี๋ซึ่งเป็นกองกำลังขั้นสำนักนิกายระดับสามคอยดูแลอยู่ แน่นอนว่าอิทธิพลของหอหมอปีศาจนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนในแดนใต้

มู่เฉียนซีเดินเข้าไปในหอหมอปีศาจ การตกแต่งภายในหอนั้นล้วนแต่ถูกจัดวางตามคำสั่งของนาง มู่เฉียนซีพอใจเป็นอย่างมาก

นางได้เรียกหาคนรับใช้ผู้หนึ่งแล้วกล่าวขึ้น “ข้าต้องการที่จะพบรองหัวหน้าหอโม่ของพวกเจ้า”

เด็กรับใช้ตะลึงงัน มีคนไม่น้อยที่เรียกเขาว่ารองหัวหน้าหอ แต่คนที่เรียกรองหัวหน้าโม่นั้นมีไม่มากนัก ต้องเป็นคนรู้จักแน่!

เด็กรับใช้กล่าว “รองหัวหน้าหอของพวกเราออกไปธุระข้างนอกแล้ว”

“เช่นนั้นแล้วหัวหน้านักปรุงยาจวินของพวกเจ้าเล่า?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“หัวหน้านักปรุงยาจวินกำลังพักผ่อนอยู่ พวกเราไม่กล้าไปรบกวน”

มู่เฉียนซีจึงถามขึ้น “ขอยืมห้องครัวของพวกเจ้าใช้เสียหน่อยได้หรือไม่?”

เด็กรับใช้ผู้นั้นตะลึงค้าง คุณชายผู้ที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาผู้นี้จะไปทำอะไรในห้องครัว?

คงมิใช่จะไปทำอาหารหรอกกระมัง!

มู่เฉียนซียิ้มตาหยีแล้วกล่าว “สบายใจเถอะ! ข้ารู้จักกับเจ้าตะกละนั่น มันจะไม่เกิดผลเสียกับหอหมอปีศาจหรอก”

เอาเถอะ แม้แต่นิสัยที่หัวหน้านักปรุงยาจวินซ่อนเอาไว้เขายังรู้ เขาจะต้องไม่สงสัยพวกเขาแน่

คนนอกนั้นรู้สึกว่าหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจนั้นช่างเป็นผู้ที่สูงส่งเหมือนดั่งเทพ

แต่ว่านะ…

เขาไม่อยากจะพูดอะไรออกมาจริง ๆ

มู่เฉียนซีเพียงแค่ขลุกขลักอยู่ในครัวครู่หนึ่งก็ได้มีกลิ่นหอมอย่างเข้มข้นโชยมา

ด้วยการที่เป็นคนตะกละ จมูกของจวินโม่ซีจึงไวต่อความรู้สึกเป็นอย่างมาก ทันทีที่ได้กลิ่นหอมนี้เขาก็กระโดดขึ้นมาจากเตียงอย่างรวดเร็วและพุ่งไปที่ห้องครัว!

“สาวน้อย เจ้ามาแล้ว ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ข้านั้นจะบ้าอยู่แล้ว ข้าหิวจนจะบ้าแล้วเข้าใจหรือไม่…”

เด็กรับใช้ผู้นั้นที่นำมู่เฉียนซีเข้าไปยังห้องครัวก็ได้เห็นหัวหน้านักปรุงยาที่สูงส่งของพวกเขาพุ่งเข้าไปในครัว และมุ่งตรงไปหมายจะกอดเข้าที่หมาป่าเงาร่างสีขาวนั้น

บางทีก็มีคนใช้ความงามเพื่อดึงดูดหัวหน้านักปรุงยาจวิน แต่ท้ายที่สุดแล้วคนงามเหล่านั้นล้วนอนาถจนทนไม่ไหว

นึกไม่ถึงเลยว่านักปรุงยาจวินจะชอบผู้ชาย

แน่นอนว่ามู่เฉียนซีไม่ยอมให้เขาทำได้สำเร็จ นางได้หลบไปแล้วกล่าวขึ้น “ถ้าหากว่าเจ้าอยากกินละก็จงไสหัวไปทางนั้นแล้วรออยู่ให้ดี!”

หัวหน้านักปรุงยาจวินที่ไม่เคยยอมใครกลับเหมือนแมวน้อยตัวหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างคอยมองมู่เฉียนซีราวกับสัตว์เลี้ยงที่หิวโหยมาเป็นพันปีก็มิปาน

เด็กรับใช้ตกใจจนลูกตาแทบจะถลนออกมา นี่ใช่หัวหน้านักปรุงยาจวินจริงหรือ? คงจะไม่ถูกผู้อื่นสลับตัวไปหรอกกระมัง!

ไม่นานนักมู่เฉียนซีก็ทำอาหารเสร็จแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว “ยกขึ้นตึกไปเอง เตรียมกินได้!”

“ได้!” จวินโม่ตอบรับอย่างสุขใจเป็นอย่างมาก

แม้ว่าที่ตำหนักตงจี๋จะมีอาหารอันล้ำค่าจากภูเขาและทะเลอย่างมากมาย แต่ว่ามู่เฉียนซีที่มิได้ชิมฝีมือของตนเองมานานมากแล้ว ก็ยังพอใจกับฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก

แต่ทว่านางกลับถูกจวินโม่ซีแย่งอาหารไปไม่น้อย

จวินโม่ซีกล่าวอย่างพออกพอใจ “นับว่าเจ้าค่อนข้างมีความเป็นธรรมอยู่บ้างนะสาวน้อย แม้มันจะไม่คุ้มกับที่ข้าปรุงยาอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อที่จะให้เจ้าเอาไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยก็ตาม”

รอจนโม่จิ่นมาถึงและเห็นแต่เพียงเศษอาหารที่เหลือเพียงน้อยนิด มุมปากของเขาก็แสยะออก สองคนนี้ช่างเกินไปยิ่งนัก!

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเล็กคิดน้อย เขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดคุยกับผู้เป็นเจ้านาย!

โม่จิ่นกล่าวขึ้น “นายท่าน ท่านมาพอดีเลย ข้ามีเรื่องเรื่องหนึ่งต้องการให้ท่านตัดสินใจ!”

.