ตอนที่ 973 โอสถราชันและแกนดารา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ใต้ทะเลสาบ

ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกตะพาบมังกรกระแทกชนจนเป็นรูโบ๋ ราวกับประตูบานหนึ่งซึ่งทะลุไปสู่ด้านในของศิลาอุกกาบาตขนาดเท่าภูเขานี้

ยามนี้หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ในนั้น หรี่ตาลง ดูเหม่อลอยเล็กน้อย

ไม่ไกลจากเขา มีหินดาราที่บริสุทธิ์และลุกโชนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง ส่องแสงพร่างพราวอย่างที่สุด

เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเล็กที่เจิดจ้า พาให้ดวงตาของหลินสวินเกิดความรู้สึกแสบพร่า

จากที่เสี่ยวอิ๋นว่ามา นี่คือแกนดาราที่แท้จริง เป็นแหล่งกำเนิดชีวิตของดวงดาว ไม่อาจประเมินมูลค่าได้!

และพลังที่ถูกเสี่ยวอิ๋นมองว่าเป็น ‘แหล่งกำเนิดวิญญาณ’ นั้นบรรจุอยู่ภายในแกนดารานี้

ยามนี้ร่างสีขาวเงินขนาดเท่าเมล็ดข้าวของเสี่ยวอิ๋นนอนฟุบอยู่บนแกนดารา กำลังดูดซับพลังวิญญาณภายในแกนดาราด้วยท่าทางที่เกือบจะบ้าคลั่ง

สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว มูลค่าของแกนดาราก้อนหนึ่งเพียงพอจะทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับอริยะตาวาวน้ำลายหก เพราะมันสามารถนำมาหลอมสมบัติอริยะ!

แต่สำหรับเสี่ยวอิ๋น แหล่งกำเนิดวิญญาณบริสุทธิ์ที่บรรจุอยู่ในแกนดาราสามารถช่วยให้มันเลื่อนขั้น ก้าวสู่ขั้นตอนต่อไปของวิวัฒนาการ

เมื่อมาถึงระดับขั้นนี้ มันจะสามารถปลดพันธนาการทางร่างกาย แปลงกายเป็นมนุษย์ได้!

จิ๊กๆ! จิ๊กๆ!

เสียงแทะเล็กๆ ยังคงดังไม่หยุด สภาพของเสี่ยวอิ๋นในยามนี้สามารถใช้คำว่า ‘หิวกระหายสุดฤทธิ์’ มาอธิบายได้แล้ว ราวกับเป็นศัตรูกับแกนดารานั่นไม่อาจร่วมโลกกันได้ เห็นได้ชัดว่าบ้าเกินไป

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภนั้นพาให้หลินสวินชักเริ่มทนดูต่อไปไม่ได้ จะหลอมรวมก็ทำไปสิ ไม่มีใครไปปล้นเจ้าเสียหน่อย ทำไมมันต้องป่าเถื่อนเช่นนี้ด้วย

และดูไร้มาดเกินไปแล้ว ท่าทางราวกับว่าไม่เคยพบเคยเห็นโลก!

หลินสวินแอบดูแคลน

ขณะคิดเขาก็เริ่มมองสำรวจศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่ก้อนนี้

ประกายดาราสีเงินยวงสายแล้วสายเล่าคละคลุ้ง กลางอากาศอบอวลด้วยพลังชีวิตอันไพศาลและคลุมเครือ พาให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาเพื่อแค่สูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก

พอจะเดาได้ลางๆ ว่าหากฝึกปราณที่นี่ ต้องจะได้รับผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว

หลินสวินใช้จิตรับรู้สัมผัสอย่างถี่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ แม้ว่าศิลาอุกกาบาตนี้จะมีขนาดใหญ่เท่าภูเขา แต่กลับไม่มีกลิ่นอายพิเศษใดๆ

เขาลองเฉือนศิลาอุกกาบาตด้วยดาบหัก หยิบมันมาวิเคราะห์โดยละเอียด เศษหินลอยล่อง แต่ภายในนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย

ไม่ใช่กระมัง ดึงดูดผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งราชันให้มุ่งหน้ามามากมายขนาดนี้ ในศิลาอุกกาบาตนี่นอกจากแกนดาราก้อนเดียวก็ไม่มีอะไรเลยหรือ

หลินสวินไม่ถอดใจ ใช้ดาบหักตัดศิลาอุกกาบาตจำนวนกว่าสิบชิ้นไม่หยุดหย่อน แต่ก็ไม่ต่างกัน ล้วนไม่มีสมบัติใดๆ

เมื่อเห็นเสี่ยวอิ๋นแทะแกนดาราด้วยท่าทางหิวโหย หลินสวินก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจนัก ทุ่มแรงกายแรงใจตลอดทางมาถึงที่นี่ ผลสุดท้ายจะมีแค่เจ้าหมอนี่เท่านั้นหรือที่สมหวังดั่งใจ

‘ไม่ถูก ตอนที่ตะพาบมังกรวิ่งหนี บนหลังมันแบกโลงน้ำแข็งลึกลับไปด้วย บางทีมันอาจเอาไปจากศิลาอุกกาบาตนี้ก็เป็นได้!’

ทันใดนั้นหลินสวินก็นึกขึ้นได้ว่า ศิลาอุกกาบาตขนาดใหญ่นี้ถูกตะพาบมังกรชนจนแตก

หนำซ้ำโลงน้ำแข็งที่มันเอาออกไปนั้นลึกลับและพิเศษมาก ด้านบนประทับแผนที่ดาวอันกว้างใหญ่และลึกลับไว้ด้วย ไม่ธรรมดายิ่ง

‘คงไม่ใช่ว่า สมบัติแท้จริงที่บรรจุอยู่ในศิลาอุกกาบาตก็คือโลงน้ำแข็งนั่นกระมัง…’ หัวใจของหลินสวินหนักอึ้ง

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ การเคลื่อนไหวครั้งนี้นอกจากการได้รับแกนดาราหนึ่งชิ้นแล้ว ก็ถือเป็นการเสียเที่ยวจริงๆ

หืม?

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จู่ๆ หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ามีรอยรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนพื้น คละคลุ้งด้วยระลอกผันผวนคลุมเครือจางๆ ที่ยากสัมผัสถึง

สิ่งนี้ทำให้หัวใจของหลินสวินสั่นไหว ลอบกล่าวว่าหากวางโลงน้ำแข็งไว้ตรงนี้ มันจะตรงกับรอยทั้งหมดพอดิบพอดี!

เขาก้าวไปข้างหน้าและนั่งยองๆ บนพื้นอย่างระมัดระวัง ใช้พลังจิตรับรู้สัมผัสโดยละเอียด

ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ พื้นดินนี้ถึงกับสร้างจากศิลาอุกกาบาตด้วยเช่นกัน ทันทีที่จิตรับรู้เข้าใกล้ ก็มีคลื่นคลุมเครือโผล่ออกมาปิดกั้นการสำรวจของจิตรับรู้

หลินสวินคล้ายจะสัมผัสได้ว่าภายในศิลาอุกกาบาตนั้นฟูมฟักอะไรไว้อยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถตรวจจับได้ แต่กลับดูแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด

“แปลกจริงๆ!”

หลินสวินหัวใจไหววูบ มือกุมดาบหัก เลาะตามขอบรอยที่โลงน้ำแข็งทิ้งเอาไว้ เริ่มวิเคราะห์สันนิษฐานอย่างระมัดระวัง

ครึกๆ!

ดาบหักคมกริบ ก็เห็นเศษหินบินว่อนเชื่อมรวมเข้ากับน้ำทะเลสาบ คลุมเครือและเลือนราง

ส่วนบนพื้น ด้วยการกรีดเฉือนของดาบหัก พื้นค่อยๆ แตกขยายลงไปด้านล่าง ไม่นานก็ผ่าออกเป็นหลุมบ่อที่มุมขอบชัดเจนอย่างรวดเร็ว

วาบ!

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ตอนที่หลุมถูกขุดลึกถึงสองฉื่อ ดาบหักก็เหมือนเฉาะทะลุเปลือกไข่ ทันใดนั้นแสงวิเศษบาดตาหลากสีสันสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากพื้น

ขณะเดียวกันกลิ่นหอมเย็นเข้มข้นของสมุนไพรก็กระจายออกมา เย็นดุจน้ำแข็ง มีกลิ่นหอมเหมือนสุรา ราวกับจะแทรกเข้าไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ พาให้ผู้คนมึนเมา

โอสถวิญญาณ?

ดวงตาของหลินสวินพลันทอประกายขึ้นทันที กลิ่นสมุนไพรที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้านั้นบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เพียงแค่สูดดมคราเดียวก็พาให้เลือดลมทั่วร่างของเขาเดือดพล่าน เจือความรู้สึกสบายเหมือนจะล่องลอยก็ไม่ปาน

เขาหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตน การเคลื่อนไหวของมือยิ่งระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มวิเคราะห์ศิลาอุกกาบาตใต้ดินนี้

ไม่นานโอสถวิญญาณต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาหลินสวิน

มันเป็นต้นไม้เล็กๆ สีน้ำหมึก กิ่งก้านมีความหนาเเค่หัวแม่มือ เนื้อสัมผัสเหมือนหยก ปลายกิ่งของมันมีใบไม้เก้าใบแขวนอยู่

ใบไม้แต่ละใบมีสีเหมือนหิมะ ลักษณะคล้ายพระจันทร์เต็มดวง เส้นใบดุจลายมรรค กำจายกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ล่อลวงหาที่เปรียบ

ตัวต้นไม้เหมือนหยกดำ แต่กลับมีใบไม้เก้าใบที่ขาวราวกับหิมะ อีกทั้งใบไม้นั้นแสดงกลิ่นอายที่สมบูรณ์แบบ ศักดิ์สิทธิ์และยากจับต้อง น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

ละอองแสงสีดำและสีขาวสายแล้วสายเล่าปลิวลอยออกมาจากต้นไม้เล็กๆ ดูคล้ายไอหยินหยาง ก่อตัวเป็นวงกลมสมบูรณ์เหนือธรรมดารอบๆ ตัวมัน

อึก!

หลินสวินกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เขายังไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นภายในใจได้ เพราะว่า…

นี่คือโอสถราชันที่หายากมากต้นหนึ่ง!

ในเทศกาลโคมกถามรรค หลินสวินเคยจับโสมขาวกายสิทธิ์ได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็พบว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มานานหลายปี

แต่โอสถราชันที่อยู่ตรงหน้านั้นแตกต่างออกไป แม้ว่ามันจะไม่มีจิตวิญญาณ แต่ฤทธิ์ยาที่พวยพุ่งและประหลาดลึกลับของมันก็เผยร่องรอยของมรรคาที่สมบูรณ์แบบ!

นี่ก็คือโอสถราชัน!

หนำซ้ำยังเป็นโอสถราชันที่สมบูรณ์แบบต้นหนึ่ง ไม่เคยมีมาก่อน รูปลักษณ์ยอดเยี่ยมหายากในโลก เกรงว่าแม้แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันมาเยือน คงพากันต่อสู้แย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตก!

“สมบัติล้ำค่านัก!” น้ำลายของหลินสวินเกือบไหลย้อยออกมา เขาถือได้ว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน แต่ยามนี้กลับรู้สึกควบคุมสติไม่ได้อยู่บ้าง

เพราะ ‘ต้นหยินหยาง’ นี้น่าอัศจรรย์จริงๆ

แม้ว่าจะไม่สามารถตัดสินความอัศจรรย์ของมันได้ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมบัติที่ได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตตามธรรมชาติอย่างแน่นอน!

หลินสวินขุด ‘ต้นหยินหยาง’ นี้โดยไม่ลังเล

และเพื่อป้องกันไม่ให้มันเหี่ยวเฉา หลินสวินยังได้ขุดศิลาอุกกาบาตที่เกาะอยู่ตามรากของต้นไม้เล็กนี้ออกมาด้วย

จนกระทั่งซ่อนสมบัติไว้ในเจดีย์ไร้อักษรของตนแล้ว หลินสวินจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ

ก่อนหน้านี้หากเขาไม่สังเกตเห็นจุดผิดปกติสักนิด คงจะพลาดโอสถราชันนี่ไปแล้ว!

‘โลงน้ำแข็งนั่นปกคลุมเหนือโอสถราชันนี้ บางทีอาจจะมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดซ่อนอยู่ในโลงน้ำแข็ง และอาศัยโอสถราชันนี้บ่มเพาะก็เป็นได้…’

หลินสวินครุ่นคิด

จากนั้นโดยไม่รอช้า เขายังคงขุดพื้นดินลงไปอีก ท่าทางไม่อยากให้เหลือแม้แต่ซาก พาให้เสี่ยวอิ๋นที่กำลังแทะแกนดาราอยู่มองด้วยอาการอึ้งงัน นายท่านนี่ช่างบ้าเกินไปแล้ว…

ทันใดนั้นมันก็กัดฟันคราหนึ่ง ดูคล้ายไม่ยอมน้อยหน้า ความเร็วในการแทะแกนดาราก็เร็วขึ้นด้วย

ใบหน้าของหนึ่งคนหนึ่งแมลงในยามนี้สามารถใช้คำว่าโหดเหี้ยทารุณสี่คำนี้มาอธิบายได้เลย หากผู้ฝึกปราณคนอื่นเห็นเข้าก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร

“สมบัติล้ำค่านัก!”

หลังจากนั้นไม่นานหลินสวินได้พบโอสถราชันอีกต้นหนึ่ง พาให้ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาวยิ่งนัก

นี่คือต้นไม้สีแดงชาดราวยามสายัณห์ เหมือนกับหญ้าเกล็ดที่กำลังลุกไหม้ ขนาดเท่าฝ่ามือ ลำต้นและใบเรียวยาวราวกับแกะสลักจากหยกไฟ

มองอย่างถี่ถ้วน หญ้านี้มีลวดลายแปลกๆ ตามธรรมชาติ หลินสวินสังเกตอย่างระมัดระวังและค้นพบอย่างประหลาดใจว่า ลวดลายแปลกๆ เหล่านั้นถูกประทับไว้ด้วยแก่นอัศจรรย์ของมหามรรคธาตุไฟ!

นี่ทำให้เขาตระหนักถึงความพิเศษของสมุนไพรนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

จากนั้น ‘หญ้าเพลิง’ ที่ขุดได้ก็ถูกหลินสวินเก็บไปเช่นกัน

จากนั้นเขาก็ยิ่งขมีขมันมากขึ้นเรื่อยๆ หมายมั่นปั้นมือขุดต่อไป…

ก็เห็นว่าบนพื้นดิน อาณาเขตของหลุมบ่อขยายออกไปเรื่อยๆ เศษหินถูกตัดเฉือนออกไปทีละส่วน และอันตรธานหายไปในน้ำทะเลสาบ

“ยังมีอีกจริงๆ ด้วย!”

ไม่ทันไรหลินสวินก็อดสูดหายใจไม่ได้

โอสถวิเศษถูกขุดออกมาอีกต้น นี่คือโป่งรากสนสีทองอร่าม แวววาวราวกับสร้างขึ้นจากมันแพะ รายล้อมด้วยละอองแสงสีทอง

ฟึ่บ!

แต่ในยามนั้นเอง แสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งโฉบพุ่งเข้ามา นั่นคือลูกศรสีน้ำเงินเข้มสายหนึ่ง บาดตาสุดขีด โอบล้อมด้วยประกายอสนีน่ากลัว

หลินสวินยื่นมือคว้าออกไปและจับศรลูกนั้นเอาไว้ได้ ฝ่ามือปกคลุมด้วยพลังมรรคดับดารากลืนกิน สลายพลังทะลุทะลวงน่าสะพรึงบนศรลูกนี้อย่างเงียบงัน

พร้อมกันนั้นหลินสวินก็เห็นมือซุ่มโจมตี นั่นคือชายในชุดคลุมทองที่อาบไล้ด้วยอสนีสีน้ำเงิน บินโฉบเข้ามาจากที่ห่างไกล

เขาถือคันธนูกระดูกขนาดใหญ่ไว้ในมือ กลิ่นอายสะท้านสะเทือนผู้คน

“สหาย สถานที่นี้ถูกข้ายึดครองแล้ว จะให้โอกาสเจ้าสักหน ไปจากสายตาของข้าเดี๋ยวนี้!” ชายในชุดคลุมสีทองเย็นชาและเผด็จการ

ขณะพูดดวงตาของเขาก็กวาดไปที่โป่งรากสนสีทอง เขาไม่ได้ปิดบังความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องการครอบครองเลยสักนิด

“เจ้ามาจากเผ่าปีกอสนีหรือ” หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น

“ถือว่าเจ้ายังตาแหลมอยู่บ้าง ในเมื่อรู้ว่าข้ามาจากไหนยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” เสียงชายหนุ่มชุดคลุมทองไม่ดังนัก แต่แฝงกลิ่นอายเย่อหยิ่งและเผด็จการ

เขารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา มีปีกอสนีวายุที่ล้อมร้อบด้วยรัศมีสายฟ้าสีน้ำเงินเข้มคู่หนึ่ง ทำให้ทั้งตัวเขาลุกโชนราวกับเป็นวิญญาณอสนี

“เหอะๆ ที่แท้เจ้านายเป็นอย่างไรข้ารับใช้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย” หลินสวินยิ้ม เดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว

สิงอี่เทียน!

บุคคลชั้นแนวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งเผ่าปีกอสนี เคยได้รับคำชี้แนะจากอริยะ กล้าหาญชาญชัย ประหนึ่งนายแห่งอัสนี มีชื่อเสียงในแดนชัยบูรพา

นี่เป็นข้อมูลที่แม่นางเยวี่ยเคยบอกหลินสวิน ดังนั้นจึงเดาทุกอย่างได้ในพริบตา

“หืม?” สิงอี่เทียนอึ้งงัน ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาของเขาสะท้อนประกายสายฟ้า “ข้ารับใช้ของข้าคนนั้นถูกเจ้าฆ่าตายหรือ”

——