ตอนที่ 665 เงาหลังสีดำอมทองของเขา คมกริบดุจใบมีด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สาเหตุที่ตี้ซินต้องทำเช่นนี้ จะอย่างไรนางก็ไม่มีทางเข้าใจได้ 

 

 

“เจ้าอายุยังน้อย ย่อมไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า เกินกำลังและสามารถ อยู่” 

 

 

ตี้ซินถอนใจยาวอีกครั้ง เรื่องของเขาและต๋าจี่ เขาไม่อยากจะเอ่ยให้มากความ 

 

 

ต่อให้ตู๋กูซิงหลันถามออกไป เขาก็คงไม่ยินยอมตอบออกมา นางจึงมิได้ถามอีก 

 

 

แต่เปลี่ยนเรื่องเป็นว่า “ตอนนี้ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเรื่องหนึ่ง” 

 

 

ตี้ซิน “เจ้าบอกออกมา หากว่าข้าทำได้ ย่อมต้องช่วยเหลือเจ้า” 

 

 

แม้ว่าหน้าต่างของตำหนักบรรทมจะถูกปิดเอาไว้ แต่ว่ากระจกหลังคากลับโปร่งใสจนส่องประกาย จากมุมที่นางอยู่สามารถมองออกไปเห็นเจดีย์กำราบเทพมารได้พอดี 

 

 

“ตัวน้อยที่น่ารักในเจดีย์กำราบเทพมารเหล่านั้น ขอรบกวนเทียนสี่ซิงจุนโปรดปล่อยพวกมันออกมาได้หรือไม่?” 

 

 

ตี้ซินไม่ค่อยจะเข้าใจวิธีการของนาง “สัตว์อสูรที่ถูกขังเอาไว้ในเจดีย์กำราบเทพมารหลังนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพวกโหดเหี้ยม ทั้งยังไม่ยอมเชื่อฟังมาก่อน หากว่าปล่อยออกมา ผลลัพธ์คงไม่อาจคาดการณ์ได้” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยิ้มบางๆ “ใช่แล้ว หากว่าเจ้าตัวน้อยที่น่ารักเหล่านั้นออกอาละวาดบนแดนสวรรค์อย่างถล่มทลาย ตี้เสียย่อมไม่มีแก่ใจจะมาคิดรวบหัวรวบหางข้าไง” 

 

 

ตี้ซิน “…..” 

 

 

สาวน้อยผู้นี้ เปิดปากมาก็พูดเรื่องงาบ ช่างหยาบคายสิ้นดี 

 

 

พอคิดถึงตี้เสียที่เป็นหลานชายของเขา …. ในสมองก็รู้ได้ทันทีว่า คนผู้นั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า 

 

 

หากแม่นางน้อยจากโลกเบื้องล่างจะเดินหมากเช่นนี้ ก็ต้องนับว่าชาญฉลาดอยู่เหมือนกัน 

 

 

ครู่ต่อมา ตี้ซินถึงได้พยักหน้าให้ “นอกเสียจากชั้นเก้าแล้ว สัตว์อสูรในชั้นอื่นๆ ข้าล้วนสามารถปล่อยออกมาได้หมด” 

 

 

พอพูดถึงสัตว์อสูรในชั้นเก้า ตู๋กูซิงหลันก็เกิดความสนใจขึ้นมาในทันที 

 

 

เจ้านกยักษ์ในเจดีย์ชั้นเก้า โหดเหี้ยม อำมหิตอย่างที่สุด ทำเอานางชักจะสงสัยแล้วว่า ตกลงแล้วในชั้นเก้านั่นกักขังสิ่งใดเอาไว้กันแน่ 

 

 

ไม่รอให้นางถามออกไป ก็ได้ยินเสียงตี้ซินบอกว่า “อาคมสกัดกั้นของชั้นที่เก้า แม้แต่เทียนตี้เองก็ไม่แน่ว่าจะเปิดออกได้ สัตว์อสูรที่อยู่ในนั้นโหดเหี้ยมอย่างที่สุด หากว่าตอนนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ก็น่ากังวลมากแล้ว“ดังนั้นตกลงแล้วในนั้นมีอะไรกันแน่? ไม่แน่ว่าจะปล่อยออกมาได้” 

 

 

ความสงสัยของตู๋กูซิงหลัน ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว ในใจมีแต่ข้อสงสัยเต็มไปหมด 

 

 

“ก็แค่สัตว์อสูรตั้งแต่ยุคบรรพกาลตัวหนึ่ง นับตั้งแต่ที่แดนสวรรค์ถูกสร้างขึ้นมา มันก็ถูกผนึกเอาไว้แล้ว แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาของมันมาก่อนเลย” 

 

 

นับตั้งแต่ยุคบรรพกาล….. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั่งลงใต้หลังคากระจก สายตามองจ้องไปที่เจดีย์กำราบมารหลังนั้น แล้วในทันใดนั้น ในใจของนางก็บังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา 

 

 

………….. 

 

 

หุบเขาหมื่นปีศาจแดนจิ่วโจว 

 

 

วิญญาณทมิฬเฝ้าพิทักษ์ร่างของตู๋กูซิงหลันมาสามวันเต็มๆแล้ว 

 

 

ตลอดสามวันนี้ล้วนปิดประตูเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริงๆ มันคิดถึงช่วงเวลาที่ได้เป็นลูกหมาน้อยที่มีอิสระไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ แง! 

 

 

หุบเขาหมื่นปีศาจมีหิมะขาวโปรยปรายไม่ละลายตลอดทั้งปี หนาวบรื๋อ ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย 

 

 

มันอยากกินเนื้อเหลือเกิน! 

 

 

แต่ว่าพวกปีศาจต่างๆในหุบเขาหมื่นปีศาจแห่งนี้….พวกมันต่างก็เป็นพวกกินเจ! 

 

 

ทำไม ไม่เชื่อรึ? 

 

 

ทุกวันยามส่งอาหารมา ล้วนมีแต่พวกผักกาดขาว ไชเท้าหัวโต แตงกวา….. 

 

 

วิญญาณทมิฬมองดูหัวผักกาดขาวและไชเท้าที่วางอยู่ตรงหน้า ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก 

 

 

ได้แต่มองดูร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันด้วยความแค้นอย่างเนิ่นนาน ดูนางสิ สองข้ามแก้มแดงเปล่งปลั่ง แสดงว่ายามอยู่ในแดนสวรรค์ทุกอย่างคงจะราบรื่นดี….. 

 

 

“หากว่าตัวน้อยอย่างข้าลงเขาไปหาเนื้อกินแวบหนึ่งแล้วค่อยกลับมา เจ้าจะเกิดปัญหาหรือไม่?” 

 

 

มันกระโดดไปเกาะที่หัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน ค่อยๆยื่นนิ้วมือเล็กๆออกไปอย่างช้าๆ เขย่าใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน 

 

 

“หากไม่พูดก็แสดงว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แนะ เจ้าอนุญาตให้ตัวน้อยอย่างข้าไปหาเนื้อกินแล้วนะ พอกลับมาห้ามมาตีข้าละ!” 

 

 

วิญญาณทมิฬว่าพลาง ก็ยื่นมือเล็กๆออกมา ประคองศีรษะของนางเอาไว้ บังคับให้นางพยักหน้า 

 

 

พอตู๋กูซิงหลัน ‘พยักหน้าให้หน่อย’ มันก็ลิงโลดขึ้นมา กระโดดลงไปจากตัวนาง เกลือกกลิ้งไปมาจนรอบห้อง พริบตาเดียวก็กระโดดสูงถึงสามจั้ง พุ่งออกนอกหน้าต่างไป กลิ้งลงบันไดไปด้วยความรวดเร็วราวกับว่าเป็นลูกบอลลูกหนึ่งเลยทีเดียว จนมองไม่เห็นแม้แต่เงา  

 

 

ลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่าง ความหนาวเย็นที่ผ่านเข้ามาเกาะกุมร่างของตู๋กูซิงหลันจนเกิดเกล็ดหิมะเกาะเป็นชั้นบางๆ 

 

 

ยามที่ซูจี่มาถึง ก็เห็นว่าร่างของนางใกล้จะกลายเป็นน้ำแข็งแท่งโตไปแล้ว 

 

 

นางเข้าไปในห้อง ปิดหน้าต่างลง พลางยื่นมือไปอังกับหน้าผากของนางเล็กน้อย 

 

 

เย็นเสียดกระดูก! 

 

 

นับตั้งแต่วันที่ตู๋กูซิงหลันไปขอถุงเฉียนคุนจากนาง นางก็รู้แล้วว่าตู๋กูซิงหลันคิดจะทำอะไร 

 

 

ซูจี่นับถือในความกล้าหาญของนาง ทั้งยังเป็นห่วงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ตลอดหลายวันนี้ นางจึงคอยเฝ้าจับตาดูห้องของตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอดเวลา เจ้าถวนจื่อตัวดำนั่นพึ่งพาไม่ได้จริงๆ 

 

 

คราวนี้ หางจิ้งจอกที่ด้านหลังของต๋าจี่ก็ค่อยๆปรากฏออกมา หางทั้งเก้าพวงที่มีเส้นขนอ่อนนุ่มคลุมลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลัน ความอบอุ่นจากหางจิ้งจอกค่อยๆละลายความหนาวเย็นบนร่างของนางออกไป 

 

 

ที่ด้านนอกหน้าต่าง ซูเยายืนตัวตรงดุจพู่กัน 

 

 

เขารู้มาตลอดเวลา ว่าตู๋กูซิงหลันคิดจะทำสิ่งใด และเขาก็ไม่อาจห้ามได้ 

 

 

ในเมื่อนางต้องการจะปิดบังเขา ไม่ให้เขาต้องกังวลใจ เขาก็ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง….. 

 

 

จากช่องว่างที่ขอบหน้าต่าง ทำให้เห็นว่าพี่สาวใช้หางจิ้งจอกคลายความหนาวให้กับนาง อยู่ๆซูเยาก็ใจหายวาบขึ้นมา 

 

 

เขายกนิ้วมือขึ้นมานับนิ้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ศัตรูความรักตัวฉกาจของเขาก็คือจีเฉวียน ศัตรูความรักหมายเลขสองก็คือซื่อมั่ว ศัตรูความรักหมายเลยสามคือเจ้าสำนักที่ตายไปแล้วผู้นั้น ส่วนพวกที่หลงใหลอาหลันที่เหลือนั้น ไม่ได้รับการจัดอันดับ 

 

 

ขนาดตัวเขาเองยังเป็นได้เพียงแค่ตัวสำรอง! 

 

 

เขาครุ่นคิดอย่างละเอียด ป้องกันอย่างรอบคอบ กลับมิทันได้ระวังป้องกันโจรในบ้าน! 

 

 

ใครจะไปรู้ว่า…. พี่สาวจะถูกตู๋กูซิงหลันล่อลวงเข้าแล้วเช่นกัน! 

 

 

หากเป็นศัตรูความรักคนอื่น อย่างน้อยๆก็ยังจะพอต่อยตีกันสักยก …. แต่ว่าพี่สาวของตนเอง ….. 

 

 

คราวนี้ซูเยาได้แต่ร้องไห้อย่างไร้น้ำตาเสียแล้ว 

 

 

เขาก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง 

 

 

พึ่งจะถอยเท้าไปได้เพียงก้าวเดียว ที่ด้านหลังก็มีขุมพลังที่แฝงความกดดันอย่างน่ากลัวพุ่งเข้ามา 

 

 

ท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย ความมืดมิดไร้สิ้นสุดนี้คล้ายจะกลืนกินยอดเขาของหุบเขาหมื่นปีศาจเข้าไปทั้งลูก 

 

 

แม้แต่ซูเยาที่เป็นถึงระดับจอมปีศาจ ก็ยังรู้สึกขนลุกจนร่างชา หนาวลึกเข้าไปถึงในกระดูก 

 

 

ความหยาวเย็นเช่นนี้ ราวกับว่าผุดขึ้นมาจากขุมนรก เพื่อลากผู้คนกลับลงไปอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เขายืนอยู่ที่เดิม ร่างกายหนักอึ้งราวกับถูกตอกเอาไว้ 

 

 

แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองก็ยังทำไม่ได้ 

 

 

ได้แต่ลืมตามองดูเงามืดนั้นคืบคลานเข้ามา 

 

 

ได้ยินเสียงฝีเท้า ……ที่หนักแน่น ดังมาจากด้านหลัง 

 

 

เสียงฝีเท้านั้นยิ่งทีก็ยิ่งใกล้เข้ามา จนกระทั่งมาถึงข้างกายของเขาในที่สุด ซูเยารู้สึกเลยว่า เสียงนั้นบีบคั้นจนทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมครามจนว้าวุ่นไปหมด 

 

 

เขาลืมตาโต จ้องมองออกไป 

 

 

กระทั่งเมื่อร่างของคนผู้นั้นเดินผ่านข้างกายของเขาไป ถึงได้เห็นว่าเงาหลังสีดำอมทองนั้น คมกริบดุจมีใบมีดมาตัด 

 

 

เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาพลิ้วออกไป แรงกดดันจากทุกย่างก้าวหนักแน่นราวสายฟ้าที่ฟาดลงมา 

 

 

ทั้งที่ยังไม่ทันได้สัมผัสเลยแท้ๆ เพียงแค่ได้เห็นเงาหลัง ก็สามารถทำให้คนใจผวาได้แล้ว 

 

 

ภายในห้อง ซูจี่เองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่น่าหวาดกลัว นัยตาของนางวาววาบ ตระเตรียมการเผชิญหน้าในทันที 

 

 

ด้านนอกของหุบเขาหมื่นปิศาจมีเขตอาคม หากว่ามีผู้ใดบุกเข้ามา นางย่อมรู้สึกได้เป็นคนแรก 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ เมื่อคนผู้นั้นบุกเข้ามาถึงประตูแล้ว นางถึงพึ่งจะรู้ตัว 

 

 

แรงกดดันอันมหาศาลนี้ บีบคั้นจนผู้คนปวดเข้าไปในกระดูก 

 

 

ประตูเปิดออก ลมและหมิะพัดโหมเข้าไปในห้อง แต่ลมและหิมะเหล่านั้นพัดเข้าไปไม่ทันถึงตู๋กูซิงหลัน ก็ถูกผนึกเอาไว้ 

 

 

ใช่แล้ว แม้แต่สายลมก็ยังถูกผนึกจนแน่นิ่ง! 

 

 

ด้วยฝีมือของบุรุษในชุดสีดำอมทองผู้นี้ 

 

 

ดวงตาหงส์ที่งดงามอย่างยิ่งคู่นั้น หยุดลงบนร่างของตู๋กูซิงหลันที่ถูกหางจิ้งจอกปกคลุมเอาไว้ แววตาของเขา ทั้งเข้มข้นและลึกล้ำ 

 

 

………………..