ลำตัวของฉงฉีมีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปซึ่งเป็นขนาดเทียบเท่ากับช้างโตเต็มวัยและเล็กกว่าอสูรมายาทรงพลังหลายชนิดที่ฉินอวี้โม่เคยพบเจอก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ลำตัวของมันก็แผ่คลื่นพลังที่รุนแรงอย่างเหนือธรรมชาติและแรงกดดันอันทรงพลังของมันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดได้ง่าย ๆ
“ตลกชะมัดที่ฉงฉีตัวน้อย ๆ กล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้ !”
กิเลนอัคคีกลับคืนร่างเดิมของมันเช่นกันและจ้องหน้าฉงฉีด้วยแววตาเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย อึดใจต่อมา แรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่ออกมาจากตัวของมันและทำให้แรงกดดันของฉงฉีหายไปในทันที
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง !”
เมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของกิเลนอัคคี ฉงฉีก็คำรามเสียงดังสนั่นราวกับคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ใช่ ข้าเอง..ปู่ของเจ้า เมื่อนับพันปีก่อน เจ้ามิใช่คู่มือของข้า และตอนนี้เจ้าก็ยังมิใช่คู่มือของข้าอยู่ดี !”
กิเลนอัคคีไม่ปฏิเสธและเปิดเผยกับทุกคนในทันทีว่ามันเคยต่อสู้กับฉงฉีมาแล้วเมื่อนับพันปีก่อน และแน่นอนว่ากิเลนอัคคีคือผู้ที่คว้าชัยชนะมาได้
“กิเลนอัคคี ความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ด้อยกว่าในอดีตมากนัก แต่ถึงอย่างนั้น…หากข้ากลืนกินเจ้าได้สำเร็จ พลังอำนาจของข้าก็น่าจะฟื้นฟูจนกลับคืนสู่จุดสูงสุดแน่ !”
ฉงฉีแลบลิ้นและเผยแววตาหิวกระหายออกมาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะอดใจรอไม่ไหว
ร่างกายของฉงฉีมีคุณสมบัติพิเศษในการพัฒนาพลังความแข็งแกร่งด้วยการกลืนกินสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรมายา ยิ่งเหยื่อแข็งแกร่งมากเพียงใด พลังของฉงฉีก็จะพัฒนามากขึ้นเพียงนั้น ตราบใดที่กลืนกินอสูรมายาที่มีสายเลือดสูงส่งอย่างกิเลนอัคคีได้สำเร็จ พลังของมันก็อาจจะกลับคืนสู่ระดับสูงสุดในอดีตได้
“ต้องการจะกลืนกินข้างั้นรึ ? ระวังฟันจะร่วงหมดปากเสียก่อน !”
กิเลนอัคคียิ้มบาง ๆ ก่อนพุ่งตรงเข้าจู่โจมฉงฉีทันที
“อวี้โม่ เรารีบจัดการกับนังสตรีดอกบัวขาวนี้ก่อนเถอะ เราจะได้เข้าไปช่วยกิเลน”
สายตาของอวิ๋นซื่อเทียนหยุดลงที่จางซือฉีอย่างกระตือรือร้น นางชื่นชอบการสั่งสอนสตรีดอกบัวขาวเป็นที่สุดและทุกครั้งที่ได้ทำ มันจะทำให้นางมีความสุขเป็นพิเศษ
“คิดเหมือนกันไม่มีผิด”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางเองก็ชอบการสั่งสอนสตรีจอมเจ้าเล่ห์มากเช่นกัน
“ข้าจะช่วยกิเลนเอง”
หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแสดงความรักครู่หนึ่งก่อนแยกตัวออกไปรวมพลังกับกิเลนอัคคีเพื่อโจมตีฉงฉี
เขาสัมผัสได้ว่ากิเลนอัคคีในตอนนี้มิใช่คู่มือของฉงฉีและจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเขา
เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ก็เริ่มปล่อยการโจมตีเข้าใส่ฉงฉีเช่นกัน พวกเขาเข้าปิดล้อมอสูรดังกล่าวไว้รอบด้านและไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง
“เจ้า…”
ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนก็ตรงเข้าไปประกบจางซือฉีทั้งซ้ายและขวาส่งผลให้สีหน้าของจางซือฉีบิดเบี้ยวเหยเกทันที
เดิมทีนางเชื่อว่าความแข็งแกร่งของฉงฉีน่าจะเพียงพอที่จะสังหารฉินอวี้โม่และคนเหล่านี้ได้ในชั่วพริบตา คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นฝ่ายถูกปิดล้อมไว้เช่นนั้นและตอนนี้นางก็ทำได้เพียงแค่พึ่งพาตัวเอง ก่อนหน้านี้แค่ฉินอวี้โม่เพียงคนเดียว จางซือฉีก็ยังไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ และตอนนี้การที่มีอวิ๋นซื่อเทียนเพิ่มขึ้นมาอีกคน นางก็ตระหนักดีว่านางไม่มีทางรับมือกับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
“จางซือฉี คราก่อนในเมืองอู๋เริ่น ข้าปล่อยให้เจ้ารอดชีวิตออกไป ทว่าเจ้ากลับไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณและยังคิดจะตามจองล้างจองผลาญข้าอีก ช่างกล้ายิ่งนัก !”
ฉินอวี้โม่มองจางซือฉีด้วยแววตาเย็นชาและจิตสังหารแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนอีกฝ่ายถึงกับต้องถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
“ฉินอวี้โม่ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งกาจนักเลย ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก !”
จางซือฉีพยายามสงบสติอารมณ์และแสดงท่าทางใจเย็นให้ได้มากที่สุด จากนั้นกระบี่เล่มยาวก็ปรากฏในมือของนางและจ่อตรงมาที่ฉินอวี้โม่อย่างกล้าหาญ
“ไม่กลัวข้างั้นรึ ? แล้วเจ้าถอยหลังไปทำไมกัน ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเยาะเย้ยถากถาง จางซือฉีต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของฉงฉีเพื่อกำจัดตน ทว่าตอนนี้ฉงฉีติดพันอยู่กับการต่อสู้ของมันเองและจางซือฉีก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำอะไรได้ แม้จะมีพลังที่ไม่อ่อนแอ นางก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะฉินอวี้โม่ได้แม้แต่น้อย
“นั่นสิ ความหวาดกลัวบนใบหน้าของเจ้าเผยออกมาชัดเจนเช่นนี้ ยังกล้ากล่าวว่าไม่กลัวอีกรึ ? คิดว่าใครกันที่จะเชื่อเจ้า !”
อวิ๋นซื่อเทียนหัวเราะออกมาอย่างสาแก่ใจขณะมองจางซือฉีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าและกล่าวต่อ “ช่างมั่นอกมั่นใจได้อย่างหน้าไม่อายว่าตนเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองเทียนยง รูปร่างก็ไม่ได้ดี หน้าตาก็พอดูได้เท่านั้น หนำซ้ำก็ยังมีนิสัยใจคอที่เลวร้ายเกินไป สำหรับข้า…เจ้าเทียบกับจางซือถงไม่ได้เลยสักนิด เกรงว่าบุรุษทั่วทั้งเมืองเทียนยงคงจะมีดวงตาที่มืดบอด ไม่คาดคิดว่าจะหลงใหลในสตรีอย่างเจ้าได้ !”
อวิ๋นซื่อเทียนยังคงปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนแปลง เพียงไม่กี่ประโยคของนางก็ทำให้จางซือฉีหน้าชาและแทบพูดไม่ออก
“ข้าจะฆ่าเจ้า !”
วาจาเยาะเย้ยของอวิ๋นซื่อเทียนทำให้ใบหน้าของจางซือฉีแดงก่ำและลำคอขึ้นเอ็นด้วยความโกรธแค้น ตอนนี้ความกลัวในหัวใจของนางหายไปอย่างไร้ร่องรอยขณะเหวี่ยงกระบี่ออกไปโจมตีอวิ๋นซื่อเทียนและฉินอวี้โม่
“ความกลัวเปลี่ยนกลายเป็นโทสะหรือนี่ ? เดิมทีข้าอยากจะทำลายความมั่นใจของเจ้าเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นการกระตุ้นขวัญกำลังใจเช่นนี้ได้”
อวิ๋นซื่อเทียนยังคงกล่าวต่อไปขณะหลบหลีกการโจมตีของจางซือฉีได้อย่างสบาย ๆ
ฉินอวี้โม่ก็ถึงกับครุ่นคิดกับตัวเองว่าโชคดีนักที่นางไม่เป็นศัตรูกับอวิ๋นซื่อเทียน มิฉะนั้น เพียงวาจาไม่กี่ประโยคของอีกฝ่ายก็คงทำให้นางอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี วาจาที่ออกมาจากปากของอวิ๋นซื่อเทียนเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตรอมใจตายได้ง่าย ๆ !
“พี่ซื่อเทียน รีบจัดการเร็วเข้าเถอะ !”
เนื่องจากยังไม่ทราบว่าฉงฉีมีไพ่ตายใดซ่อนไว้ พวกนางจึงจะเสียเวลากับจางซือฉีมากเกินไปไม่ได้ ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนจะต้องจัดการกับนางให้สำเร็จก่อนและเข้าไปสมทบกับหานโม่ฉือและคนอื่น ๆ โดยเร็ว
“ได้เลย !”
อวิ๋นซื่อเทียนพยักศีรษะรับคำและสีหน้ากลายเป็นจริงจัง
“จับตัวนางไว้ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ ขณะพลังมายาของนางเอ่อล้นออกมาและเปลี่ยนกลายเป็นเส้นใยที่พุ่งออกไปพันรอบตัวจางซือฉี
“ออกไปซะ !”
ถึงอย่างไรจางซือฉีก็มิใช่จอมยุทธ์ที่อ่อนแอ ชั้นของคลื่นพลังสีเขียวปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของนางและขัดขวางพลังมายาของฉินอวี้โม่ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น กระบี่ในมือของนางก็พุ่งตรงไปหาฉินอวี้โม่โดยเปลี่ยนกลายเป็นพายุหมุนพลังมายา ในขณะเดียวกัน ตัวนางก็เหาะขึ้นกลางอากาศและออกแรงเตะอวิ๋นซื่อเทียนที่อยู่ในอีกทิศทางหนึ่ง
“ไม่เลวทีเดียว !”
อวิ๋นซื่อเทียนไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใดขณะกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าระรื่นและฝ่ามือวายุก็ฟาดออกไปโจมตีจางซือฉีอย่างจัง
ฉินอวี้โม่เองก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใด ๆ และไม่คิดหลบหลีกขณะพุ่งตรงเข้าหากระบี่เล่มยาวของจางซือฉีด้วยตัวเอง
“ทำลายมันเสีย !”
ด้วยเสียงเอ่ยขึ้นเบา ๆ พายุหมุนรุนแรงของจางซือฉีก็ถูกฉินอวี้โม่ทำลายไปอย่างสิ้นซากและกระบี่เล่มยาวในนั้นก็ร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
สีหน้าของจางซือฉีเปลี่ยนไปทันที ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะทำลายกระบวนท่าโจมตีของนางได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าระดับความแข็งแกร่งภายนอกของทั้งสองไล่เลี่ยกันและจางซือฉีดูจะเหนือกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กลับทำลายกระบวนท่าที่อัดแน่นไปด้วยพลังมายาเกือบทั้งหมดของนางได้อย่างง่ายดายโดยไม่เป็นอันตรายแม้แต่น้อย
“จางซือฉี ความแข็งแกร่งของเจ้าถือว่าไม่ธรรมดาเลย ทว่าประสบการณ์การต่อสู้ของเจ้ายังน้อยนัก แม้กระบวนท่าของเจ้าจะดูทรงพลังและงดงาม น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์เลย การทำลายมันจึงง่ายดายสำหรับข้ายิ่งนัก !”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นด้วยวาจาที่ทำให้ความมั่นใจทั้งหมดของจางซือฉีสั่นคลอน
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ความมั่นใจที่จางซือฉีมีก่อนหน้านี้ก็ถูกทำลายอย่างไม่เหลือชิ้นดี นางทำได้เพียงแต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงและสับสนอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ ดูเหมือนว่าที่ผ่านมานี้เจ้าไม่ตั้งใจฝึกวิชาเลยสินะ แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็รับมือไม่ได้ !”
อวิ๋นซื่อเทียนหัวเราะเบา ๆ และกลุ่มพลังมายาก็ก่อตัวตรงหน้าเพื่อควบคุมจางซือฉีไว้ส่งผลให้นางขยับเขยื้อนไม่ได้อีก
“อวี้โม่ เจ้าจะจัดการอย่างไร ?”
อวิ๋นซื่อเทียนหันไปมองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เดิมทีนางคิดว่าจะได้ต่อสู้อย่างดุเดือด คิดไม่ถึงเลยว่าแท้จริงแล้วมันจะเป็นการต่อสู้ที่เรียบง่ายและน่าเบื่อเช่นนี้
ฉินอวี้โม่ยังไม่คิดที่จะสังหารจางซือฉีในตอนนี้และกำลังจะเอ่ยปากออกไป ทว่าจู่ ๆ ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
“กรี๊ดดดด !”
ด้วยเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมา จางซือฉีตรงหน้าก็หายตัวไปในทันที