ราชันเร้นลับ 996 : เกมไพ่

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ก้าวเข้าสู่สโมสรนายทหารผ่านศึกไบลัมตะวันออก ไคลน์ส่งไม้เท้าและหมวกให้บุรุษรับใช้เอ็นยูน พลางหันไปเห็นพันเอกคาลวินแห่งกระทรวงกลาโหมในเครื่องแบบทหาร กำลังถือแก้วไวน์แดงรออยู่ภายในห้องโถง

นายพันหน้ายาวเหมือนลายิ้ม ยกแก้วทักทายดอน·ดันเตส

“ไม่ได้พบกันนาน”

“นานจริงๆ ด้วย” ไคลน์เดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม

พันเอกคาลวินเหยียดมือขวาออก

“ขอแสดงความยินดี คุณทำได้ดีทีเดียว ทุกคนพึงพอใจมาก”

“ผมเองก็พอใจเช่นกัน” ไคลน์ใช้วาทศิลป์ของโลเอ็นเพื่อบรรยายความสุขที่ได้ร่วมงาน จากนั้นก็เหยียดมือขวาออกไปจับตอบ

คาลวินดึงมือกลับ ชำเลืองไปทางส.ส. มัคท์ข้างๆ ดอน·ดันเตส ถอนหายใจและยิ้ม

“ในตอนที่คุณแนะนำดอน·ดันเตสให้เราครั้งแรก บอกตรงๆ ว่าผมไม่เชื่อตาของคุณ… แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณถึงได้เป็นสมาชิกสภา”

“ทุกคนที่ได้ใกล้ชิดกับดอน·ดันเตส สามารถสรุปได้เหมือนกันหมดว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้” ส.ส. มัคท์น้อมรับคำชมของอีกฝ่ายโดยนัย

คาลวินถอนสายตากลับ จิบไวน์แดง มองหน้าดอน·ดันเตส ถามอย่างเป็นกันเอง

“คุณได้มาเท่าไร? สบายใจได้ ผมจะไม่นำข้อมูลนี้ไปกดราคาในภายหลัง เป็นเพียงความอยากรู้อยากเห็นที่บริสุทธิ์ใจ”

“ทองสองหมื่นปอนด์” ไคลน์ตอบราคากลาง

อันที่จริง มันได้รับมาทั้งสิ้นสองหมื่นห้าพันปอนด์ แต่จ่ายหนี้มิสผู้ส่งสารไปหนึ่งหมื่นปอนด์ จึงเหลือหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์

พันเอกคาลวินพยักหน้า

“ไม่เลว… ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแท่งทองพวกนั้นให้เป็นเหรียญทอง ผมสามารถแนะนำให้คุณรู้จักกับวงในของโรงกษาปณ์… เป็นยังไงบ้าง? พบเรื่องผิดปรกติในอาณาจักรของเมซันเญสไหม?”

ไคลน์ตอบตรงๆ โดยไม่คิดมาก

“มี! สถานที่ชื่อว่าจัตุรัสคืนชีพของที่นั่น ถูกทำลายด้วยสายฟ้าจำนวนมาก”

“ผมทราบเรื่องนี้แล้ว” พันเอกคาลวินตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

แต่นายคงไม่ทราบว่า เจ้าของสายฟ้ากำลังอยู่ตรงหน้า… ไคลน์หัวเราะในลำคอ กล่าวต่อไป

“นอกจากนั้น เปลือกนอกคล้ายกับเมซันเญสพยายามรักษาสมดุลกับขั้วอำนาจทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริง เขาแอบเข้ากับฝ่ายหนึ่งอย่างลับๆ แต่ผมไม่ทราบว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร”

มันไม่คิดจะทรยศโบสถ์เทพปัญญาความรู้ แต่ก็ต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนเพื่อซื้อใจกองทัพโลเอ็น

“หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ ฝ่ายนั้นไม่ใช่เรา” พันเอกคาลวินพยักหน้าลุ่มลึก

“ไม่น่าจะใช่อินทิสเช่นกัน” ไคลน์ช่วยตัดตัวเลือกที่ผิดให้หนึ่งข้อ

พันเอกคาลวินอืมในลำคอ

“นั่นเป็นผลดีกับเรา… กองกำลังส่วนใหญ่รอบๆ ดินแดนของเมซันเญสล้วนเข้ากับอินทิส หากเขาต้องการขยายอาณาเขต การปะทะกันคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ และพวกเราอาจได้ขายอาวุธอีกครั้ง”

กล่าวถึงตรงนี้ มันยกแก้ว

“แด่องค์วายุสลาตัน ขอให้ทุกคนร่ำรวยไปด้วยกัน”

ในฐานะสาวกเทพธิดารัตติกาล ไคลน์และส.ส. มัคท์ได้เพียงยิ้มตอบ มิอาจตอบรับได้ตรงๆ

หลังจากจิบไวน์แดงหนึ่งจิบ คาลวินชี้ไปที่ชั้นสอง

“ดอน… ผมนัดคุณมาในวันนี้ก็เพื่อจะเล่นไพ่กับคนใหญ่คนโต… เท็กซัสโปเกอร์”

“คนใหญ่คนโต?” ไคลน์ถามอย่างสนใจ

สีหน้าคาลวินเผยความเคร่งขรึมเล็กๆ ตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ

“พลเรือเอกอมิรุส… เขากลับมามีตำแหน่งอีกครั้งในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม”

พลเรือเอกอมิรุส… นายพลที่น้องชายถูกถอดออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเกาะ ภรรยารองถูกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกัดกร่อน และสูญเสียตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือโซเนียภาคกลาง? ฉันเคยร่วมงานกับเขา ปลอมตัวเป็นเขาอยู่พักหนึ่ง… เป็นอย่างที่คิด สำหรับครึ่งเทพ หากไม่ได้ทำผิดร้ายแรงจนเกินไป และเต็มใจที่จะอดทนรอ ก็มีโอกาสหลุดพ้นจากความผิด… ไคลน์นึกทบทวนทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะโอลาวี ภายในใจพลันกระอักกระอ่วน

สำหรับพลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์รายนี้ ไคลน์รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเล็กๆ แม้ปัญหาส่วนใหญ่จะไม่เกี่ยวข้องกับตนเลย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ภรรยารองของอีกฝ่ายถูกกัดกร่อน เป็นเพราะมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายพยายามควบคุมตน

“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากผมต้องการร่วมมือกับกองทัพในอนาคต จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากเขา?” ไคลน์ถามเข้าประเด็น

“เป็นเช่นนั้น” พันเอกคาลวินพยักหน้า ชี้ไปทางบันไดที่นำไปสู่ชั้นสอง “ขึ้นไปกันเถอะ”

มาถึงชั้นสอง หยุดอยู่หน้าบานประตูคู่สีแดงเข้ม คาลวินหันมาทางดอน·ดันเตสด้านข้าง

“หน้าที่ของคุณในวันนี้ก็คือ… เสียไพ่”

เสียไพ่? ไคลน์มองคาลวินขึ้นลงสองสามหน ยกมุมปากเล็กน้อยและพูด

“จะพยายาม”

ส.ส. มัคท์ด้านข้างยิ้มและกล่าว

“อันที่จริง คุณไม่ต้องตั้งใจเสียไพ่ขนาดนั้นก็ได้ นายพลอมิรุสเล่นไพ่เก่งมาก ผมยังไม่เคยชนะเลยสักครั้ง ถึงอยากจะได้กำไรก็ทำไม่ได้ เฮ้อ… หวังว่าวันนี้จะไม่เสียหนักเกินไป ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ากลับบ้าน”

ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด

“ผมนำเงินติดตัวมาสองร้อยปอนด์… พอไหม?”

“ไม่พอแน่นอน” พันเอกคาลวินหัวเราะในลำคอ “ผมแลกชิปหนึ่งพันปอนด์ให้คุณแล้ว อย่าลืมคืนวันหลังก็แล้วกัน”

แม้แต่นักกฎหมายชำนาญการของโลเอ็นก็ยังมีรายได้เพียงปีละหนึ่งพันปอนด์… ไอ้พวกโกงกินบ้านเมือง… ไคลน์จ้องหน้าคาลวินอีกครั้ง

พันเอกรายนี้ไม่ทันสังเกตเห็น เพียงยกมือขึ้นเคาะประตู

เพียงไม่นาน ประตูตรงหน้าส่งเสียงเสียดสีพร้อมกับเผยฉากด้านใน

เป็นห้องโถงที่ปูด้วยพนมหนานุ่ม มีเครื่องเรือนไม่มาก ค่อนข้างว่างเปล่า

ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะไพ่ที่เล่นได้มากกว่าสิบคน รายล้อมด้วยเก้าอี้พนักสูงหรูหรา

รอบๆ ห้องโถงเต็มไปด้วยเครื่องครัวทองคำ รูปปั้นหินอ่อน โต๊ะกาแฟพร้อมมุมหนังสือพิมพ์และชุดโซฟาหนัง

ไคลน์มองเข้าไป พบอมิรุส·รีเวลต์นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน นายพลรายนี้เปลี่ยนไปไม่มาก ผมสีดำขลับถูกหวีเรียบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มลุ่มลึก มุมปากหย่อนคล้อยเล็กน้อย ใบหน้าปราศจากเครา บรรยากาศรอบตัวขึงขังและหัวโบราณ สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้มประดับอินทรธนู ประณีตบรรจงในทุกรายละเอียด มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่ง

เมื่อกวาดสายตา ไคลน์ได้พบกับอีกหนึ่ง ‘คนรู้จัก’

คิ้วดกหนาแต่ถูกตัดแต่งอย่างดี ผมสั้นเกรียนสีเดียวกัน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ สันจมูกสูงประหนึ่งภูเขา มีเคราขนาดใหญ่รอบปาก โครงหน้าชัดลึก ใบหน้ายาว

รองผู้อำนวยการ MI9 โจนาส·โคลเกอร์!

มันคือหนึ่งในเป้าหมายที่ไคลน์กลับมายังเบ็คลันด์ ตัวกลางระหว่างนักค้ามนุษย์และนิกายแม่มดกับขั้วอำนาจหนึ่งของราชวงศ์ หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์!

รองผู้อำนวยการรายนี้มีไหล่กว้างกว่าปรกติ ส่งผลให้เสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำดูตึงแน่น กำลังเล่นไพ่เท็กซัสโปเกอร์อย่างตั้งใจ

มีครึ่งเทพสองตน… สามตน… กำลังจะเล่นไพ่บนโต๊ะตัวเดียวกัน? ชักน่าสนใจ… ไคลน์หาที่นั่งพลางสังเกตคนอื่นๆ รอบโต๊ะ

ระหว่างนี้ บริกรนำชิปก้อนใหญ่มาวาง มูลค่ารวมทั้งสิ้นหนึ่งพันปอนด์

สองสามเกมแรก ไคลน์ทำเพียงดูไพ่และหมอบ ทำตัวระมัดระวัง ราวกับคนที่จะไม่ ‘คอล’ หรือ ‘เรส’ หากไม่มีไพ่ที่ดี

สไตล์การเล่นของนายพลอมิรุสแตกต่างจากชายหนุ่มโดยสิ้นเชิง ไม่อนุรักษนิยมเลยสักนิด เอาแต่ ‘คอล’ อย่างดุดันทุกรอบ บรรยากาศเป็นไปอย่างก้าวร้าว

ทุกเกมที่อมิรุสสู้ แทบไม่เคยจบด้วยการเปิดไพ่ครบ แต่คู่ต่อสู้มักยอมแพ้ไปก่อนเนื่องจากทนต่อแรงกดดันไม่ไหว มีคนพยายามทำลายการบลัฟของอมิรุส·รีเวลต์ แต่ผู้โชคร้ายคนดังกล่าวก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘เก้าโฟร์การ์ด’ ส่งผลให้ใบหน้าของมันซีดเผือด ราวกับถูกตัดสินโทษประหารชีวิต

โจนาส·โคลเกอร์จะเป็นอีกสไตล์หนึ่ง มันเสียไพ่บ้างเป็นบางคราว แต่จำนวนการเสียไม่มากในแต่ละครั้ง นอกจากนั้น ในรอบถัดมา มันจะเอาชนะคนที่เคยล้มมันในรอบก่อนหน้า ทำให้อีกฝ่ายเสียเงินก้อนใหญ่และต้องไปซื้อชิปเพิ่ม

ต้องทำถึงขั้นนี้เลย? คู่แข่งเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่าง รวมถึงคนธรรมดา ทำไมต้องโกงไพ่ด้วยพลังครึ่งเทพ? คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่อย่างเราจะพลาดได้ยังไง? คนหนึ่งใช้พลังข่มขวัญที่ทรงพลังของเส้นทางผู้ตัดสิน ส่วนอีกหนึ่งใช้พลัง ‘ติดสินบน’ ของบารอนแห่งการเน่าเปื่อย… ไคลน์มองไพ่ห้าโพธิ์แดงและเก้าข้าวหลามตัดของตน ส่ายหัวเล็กๆ

มันอดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนว่า สำหรับเส้นทางนักทำนาย พลังใดเหมาะแก่การโกงบ้าง

เปลี่ยนคู่แข่งทั้งหมดให้กลายเป็นหุ่นเชิด หลังจากนั้นจะชนะอีกกี่รอบก็ได้ ไม่มีทางแพ้… แต่นั่นไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เราไม่ได้อยากเล่นโปเกอร์มรณะสักหน่อย…

น่าเสียดาย ที่นี่ไม่มียุง ไม่อย่างนั้นเราคงเชิดยุ่งให้ช่วยแอบดูไพ่ชาวบ้าน…

ผู้ไร้หน้าทำได้แค่เปลี่ยนหน้าคน ไม่ใช่หน้าไพ่…

พลังภาพลวงตาของนักมายากล… ถ้าแข่งกับคนทั่วไปหรือผู้วิเศษลำดับไม่เกินกลางก็คงได้ แต่ที่นี่มีครึ่งเทพถึงสองคน

ใช้ความชำนาญมือของตัวตลกตุกติกไพ่? เปล่าประโยชน์ ไพ่ทั้งหมดถูกสับและตัดโดยพนักงาน

ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์พบว่ามีเพียงพลังทำนายเท่านั้นที่พอจะช่วยได้

มันวางไพ่สองใบลง เป็นนัยว่าคว่ำ จากนั้นก็หยิบชิปโลหะขึ้นมาควงรอบนิ้ว

ทันใดนั้น อมิรุส·รีเวลต์พลันเงยหน้า เพ่งสายตามาที่ชิปโลหะในมือ

อย่างที่คิด… ไคลน์พยักหน้าในใจโดยที่ข้างนอกยังเรียบเฉย

จากความร่วมมือในคราวก่อน มันทราบว่าพลเรือเอกอมิรุสสามารถจำแนกผู้วิเศษได้จาก ‘ตำแหน่ง’ นอกจากนั้น ไคลน์ยังสงสัยว่าอีกฝ่ายสามารถประเมินพลังของเป้าหมายได้เช่นกัน หรือในที่นี้หมายถึง ‘ตำแหน่ง’

อย่างไรก็ตาม ไคลน์มิได้กังวลมากนัก เพราะจอมเวทพิสดารมีคุณสมบัติในการ ‘ปกปิด’ ระดับหนึ่ง และนั่นคือเหตุผลที่สามารถอำพรางออร่าของสายหมอกได้หลังจากลำดับ 4 เป็นต้นไป เมื่อผนวกทั้งหมดเข้าด้วยกัน ไคลน์เชื่อว่าอมิรุสไม่มีทางคาดเดาลำดับของตนได้ถูกต้อง แต่อย่างน้อยอาจทราบเรื่องที่ตนเป็นผู้วิเศษ

ดังนั้น มันตัดสินใจลองหยั่งเชิงด้วยการทำตัวมีปัญหาเล็กๆ ให้ทางนั้นสัมผัสถึงง่ายๆ เพื่อที่จะได้ทดสอบอะไรบางอย่าง

………………………….