ตอนที่ 2133 หรือพูดอีกอย่างก็คือ…

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 2133 หรือพูดอีกอย่างก็คือ…

พระราชวังที่อยู่ตรงหน้าเขาแตกต่างกับหอเทพเจ้ามาก แถมวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็ดูจะมีคุณภาพสูงกว่า

ประตูวังไม่ได้ปิดหรือถูกล็อกไว้ จางเซวียนจึงเดินเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

2-3 ก้าวให้หลัง เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

จางเซวียนหันกลับไปมองตัวโคลนที่ยังยืนคาปากประตู เขาเอ่ยถาม “คุณไม่เข้ามาด้วยกันหรือ?”

“ผมข้ามประตูไปไม่ได้”

ตัวโคลนสาธิตด้วยการก้าวเท้าออกไป แต่พริบตาต่อมา พละกำลังชนิดหนึ่งก็พุ่งเข้าโจมตีเขา ทำให้ต้องถอยกรูดไปหลายก้าว ราวกับมีสนามพลังงานที่มองไม่เห็นสกัดกั้นอยู่ เขาไม่อาจก้าวออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว

“คุณข้ามประตูมาไม่ได้?”

จางเซวียนเดินกลับไปที่ประตูและพยายามแตะบริเวณที่ตัวโคลนของเขาไม่สามารถผ่านเข้ามา

ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกสักนิด แต่เรื่องจริงก็คืออีกฝ่ายเข้ามาไม่ได้

“ไม่เป็นไร คุณเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติของผมก่อน” จางเซวียนพูดพร้อมกับโบกมือ

หลังจากเก็บตัวโคลนไว้ในแหวนแล้ว จางเซวียนก็เดินกลับเข้าประตูไปอีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังจะผ่าน ตัวโคลนก็พลันปรากฏตัวขึ้นนอกแหวนเก็บสมบัติและเซถอยหลังไป

คราวนี้จางเซวียนถึงกับงง

ตัวโคลนของเขาถูกดีดออกมาแม้จะซ่อนตัวอยู่ในแหวนเก็บสมบัติ ปราการล่องหนอันนี้จะเก่งกาจไปหน่อยไหม?

ทั้งคู่พยายามใช้อีก 2-3 วิธี แต่ตัวโคลนก็ไม่อาจเข้าสู่พระราชวังได้

“ในเมื่อคุณเข้าไปไม่ได้ รออยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” จางเซวียนถอนหายใจเฮือก

ดูเหมือนปรมาจารย์ขงจะรู้ดีว่าการรับมือกับตัวโคลนของเราไม่ใช่เรื่องง่าย จึงพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อแยกเราออกจากตัวโคลน…จางเซวียนคิด

ถึงจะเก่งกาจไร้เทียมทานแค่ไหน แต่ก็ทำได้แค่ต่อสู้กับตัวโคลนอย่างสมน้ำสมเนื้อ เรื่องนี้ทำให้ปรมาจารย์ขงมองว่าตัวโคลนเป็นภัยคุกคามขนานใหญ่ จึงจงใจเตรียมสิ่งนี้ไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องปะทะกับตัวโคลนอีก

พูดอีกอย่างก็คือ จางเซวียนน่าจะต้องพบเจอกับอันตรายไม่น้อยในพระราชวังแห่งนี้

แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เขาควรเดินหน้าต่อหรือไม่?

จางเซวียนกำดาบถงซังไว้แน่น เขาสูดหายใจลึก

ถ้าเราเป็นนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์แล้ว แต่ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขง ก็คงไม่อาจฝ่าปราการแห่งมิติและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ จางเซวียนหลับตาลงครุ่นคิด

สภาวะจิตของนักรบเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวด

มีแค่เส้นบางๆกั้นระหว่างความบ้าบิ่นกับความขลาดเขลา ทันทีที่นักรบคนหนึ่งพ่ายแพ้ให้กับความหวาดกลัว ก็จะสูญเสียความกล้าในการเดินหน้าต่อไป

จึงมีความเป็นไปได้ว่าปรมาจารย์ขงจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่อทำให้เขาเกิดความลังเล

ถ้าจางเซวียนจะถอยกลับไปตอนนี้ก็ไม่ผิด เพราะเขามีแค่ชีวิตเดียว และการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

แต่แล้วใบหน้าของหลัวลั่วชิงกับบรรดาศิษย์สายตรงของเขาก็ลอยเข้ามา มีบางอย่างที่สำคัญกว่าในเวลานี้ที่จางเซวียนไม่อาจละทิ้งได้ ต่อให้ต้องเสี่ยงก็ตาม

เขาจึงขจัดความหวาดกลัวออกไปและเดินตรงเข้าสู่พระราชวัง

ภายในห้องโถงนั้นมืดตื้อ ไม่มีอะไรให้เห็นเลย

แต่มีบางอย่างในความมืดมิดนั้นที่ดูจะพยายามบ่อนทำลายประสาทสัมผัสและหัวสมองของเขา แม้เขาจะเปิดใช้ดวงตาหยั่งรู้ ก็ไม่อาจมองเห็นมัน

“ผมอยู่นี่แล้วไง จัดการเลยถ้าคุณอยากฆ่าผม!” จางเซวียนรุกคืบเข้าไปช้าๆพร้อมดาบในมือ เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่ววัง แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา

ด้วยความมึนงง จางเซวียนถอยไปเล็กน้อยเพื่อออกจากความมืดให้ได้สักครู่หนึ่ง จะได้ประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง แต่พริบตาต่อมาก็รู้สึกได้ว่าหลังชนฝา

เมื่อครู่นี้เขาเดินออกห่างจากประตูมาเพียงไม่กี่ก้าว แต่ยังไม่ทันจะรู้ตัว ประตูก็หายวับไปแล้ว!

หรือพูดอีกอย่างก็คือ…

เขาติดกับค่ายกลที่ศัตรูวางไว้

ข้อบกพร่อง!

จางเซวียนทาบฝ่ามือเข้ากับผนังที่อยู่ด้านหลังและเพ่งสมาธิ

ถ้าเขาสามารถใช้หอสมุดเทียบฟ้าที่นี่ ก็คงจะมองทะลุค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าได้

วิ้งงง!

หอสมุดเทียบฟ้ากระตุก แต่ไม่มีหนังสือที่ถูกประมวลออกมา

“บ้าจริง!” จางเซวียนพึมพำสบถ

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ พระราชวังนี้ถูกปิดกั้นจากสายตาของสวรรค์ มีแต่ปรมาจารย์ขงและผู้ที่เข้าใจมลทินสวรรค์เท่านั้นถึงจะรับมือได้

จางเซวียนถูกขังอยู่ในความมืดมนอนธการ ประสาทสัมผัสของเขาสับสน หัวสมองก็วุ่นวายยุ่งเหยิง เขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแอและเสียเปรียบมาก ดูเหมือนคราวนี้ไม้ตายของปรมาจารย์ขงจะเล่นงานเขาได้!

เราไม่มีทางเลือก ในเมื่อใช้ดวงตาและการรับรู้จิตวิญญาณไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพาหู…จางเซวียนคิด

เขาร้อนใจ แต่ยังไม่ตื่นตระหนก จางเซวียนหลับตาและเพ่งสมาธิไปที่หู ความเงียบงันในอากาศเกิดเป็นเสียงหึ่งในหูของเขาที่ยากจะได้ยิน แต่ด้วยการเพ่งสมาธิเต็มเหนี่ยว จางเซวียนก็พอจับเสียงที่ลอยมาตามลมได้

จ๋อม! จ๋อม!

มันคือเสียงของหยดน้ำ และแว่วมาจากที่ไกลๆ

“ไป!”

จางเซวียนชักดาบออกมา กระแสดาบฉีสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังทิศทางที่มีเสียงน้ำหยด

แต่ก็น่าประหลาดใจที่ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ

ราวกับความมืดมิดได้กลืนกินกระแสดาบฉีของเขาเข้าไป การโจมตีจึงไม่เป็นผล

ขณะที่จางเซวียนกำลังงุนงงอย่างหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงปรมาจารย์ขงก็ดังขึ้น “เดินออกจากห้องนี้ก่อนที่หยดน้ำจะมาถึงนะ ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกขับออกจากที่นี่”

“ขับออกจากที่นี่?”

จางเซวียนยิ่งงงหนักกว่าเดิม

ปรมาจารย์ขงจงใจล่อเขามาที่นี่เพื่อเล่นงานเขาไม่ใช่หรือ?

แล้วทำไมต้องเดือดร้อนหากเขาจะถูกขับออกจากห้อง?

แท่นบูชาก็ถูกทำลายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อให้เราถูกขับออกจากพระราชวังแห่งนี้ ก็ออกจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี มีแต่จะติดอยู่ในกับดักจนกระทั่งตายไปเอง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่งของเขาไปก่อน ทันทีที่เราพบตัวเขาและช่วยหัวหน้าตู้ได้สำเร็จ ก็จะเล่นงานเขาให้ราบคาบ…จางเซวียนครุ่นคิดขณะระบายลมหายใจยาว

ไม่ว่าปรมาจารย์ขงจะคิดอะไรอยู่ เขาก็แค่รับมือกับสิ่งที่อีกฝ่ายเตรียมไว้และเดินไปตามเกม สุดท้ายก็จะต้องพบปรมาจารย์ขงที่ปลายทางอย่างแน่นอน

เมื่อตัดสินใจได้ จางเซวียนสำรวจรอบตัวอย่างระแวดระวัง

ถึงเราจะมองอะไรไม่เห็น แต่ก็ไม่มีอะไรมาเล่นงานเราเหมือนกัน เป็นไปได้ว่านี่คงเป็นค่ายกลกักกัน จางเซวียนคิด

การที่มันขัดขวางการรับรู้จิตวิญญาณและดวงตาหยั่งรู้ของเขาได้บอกชัดว่ามันคือค่ายกลกักกันที่เหนือชั้นกว่าจินตนาการของเขา

แต่ก็แน่นอนว่าตราบใดที่มันเป็นค่ายกล ก็ย่อมมีข้อบกพร่องบางอย่างในกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณที่อยู่โดยรอบ ขอแค่เราจับกระแสการไหลเวียนพลังจิตวิญญาณได้ ก็น่าจะสามารถระบุพิกัดของแกนกลางค่ายกลและบริเวณที่ธงค่ายกลปักอยู่ ด้วยสิ่งนี้ การจะเอาชนะค่ายกลให้ได้ย่อมไม่ยากเกินไป จางเซวียนคิด

เขาหลับตาและเริ่มศึกษาสภาพแวดล้อมอย่างถี่ถ้วน

วัตถุประสงค์หลักของธงค่ายกลและแกนกลางค่ายกลคือการถ่ายทอดพลังจิตวิญญาณเข้าสู่บริเวณที่ค่ายกลต้องการพลังงาน ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อบกพร่องบางอย่างในกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณบริเวณโดยรอบ

ขอแค่เขาสร้างแผนผังคร่าวๆของกระแสการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณให้ปรากฏในหัวสมองได้ ก็น่าจะพบวิธีแก้ปัญหา

นี่คือวิธีการถอดรหัสค่ายกลขั้นพื้นฐานที่สุดของทวีปแห่งปรมาจารย์

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลที่คร่ำหวอดและเชี่ยวชาญที่สุดในทวีปแห่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับเรื่องพื้นฐานเหล่านี้

มีบางอย่างแปลกๆ ดูเหมือนพลังจิตวิญญาณที่นี่จะ…เป็นเนื้อเดียวกัน?

จางเซวียนแปลกใจที่พบว่าความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณภายในพระราชวังแห่งนี้เท่ากันทั้งหมด ไม่มีจุดไหนที่มีความเข้มข้นเป็นพิเศษ เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะงุนงง

เขาก้าวออกไป 2 ก้าวและพยายามสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอีกครั้ง แต่ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณก็ยังอยู่ในระดับเดิม

จางเซวียนขยับออกไปอีก 2 ก้าว…และอีก 2 ก้าว แต่ทุกอย่างก็ไม่เปลี่ยน

แบบนี้ดูจะไม่ใช่แล้ว ข้อสันนิษฐานของเขาผิดพลาด?

หรือว่าที่นี่ไม่มีทั้งธงค่ายกลและแกนกลางค่ายกล?

จางเซวียนไม่มีทางเลือก ในท้ายที่สุดเขาก็นำเข็มทิศออกมาวางบนฝ่ามือ

เขามองไม่เห็นแม้แต่ตัวเข็มเพราะความมืดมนอนธการที่อยู่รอบตัว แต่ทันทีที่มันเคลื่อนไหว ก็จะรู้ได้ว่ามันชี้ตรงไปยังทิศใด

ตัวเข็มที่อยู่ในเข็มทิศของจางเซวียนหมุนติ้วไม่หยุด

เรื่องนี้มีเหตุผลที่เป็นไปได้ 2 ข้อ คืออาจเป็นเพราะกระแสพลังจิตวิญญาณปั่นป่วนพลุ่งพล่านเกินไป หรือไม่อย่างนั้น ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณก็อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด

พลังจิตวิญญาณไม่ต่างกับกระแสน้ำ มีความเป็นไปได้ที่น้ำในบ่อจะสงบนิ่งไม่ไหวติง แต่ทันทีที่มีอะไรสักอย่างบุกรุกพื้นที่ของมัน ก็จะเกิดการกระเพื่อม…จางเซวียนคิด

ดังนั้น จึงไม่สมเหตุสมผลเลยที่พลังจิตวิญญาณจะยังคงไม่เคลื่อนไหวแม้เราจะเข้าสู่มิติแห่งนี้แล้ว เรื่องนี้บอกชัดว่าพลังจิตวิญญาณในบริเวณนี้ไม่ปกติ หรือไม่*…การรับรู้จิตวิญญาณของเราก็ถูกปิดกั้น! พูดอีกอย่างก็คือ ค่ายกลกักกันอันนี้สกัดกั้นความสามารถในการรับรู้พลังจิตวิญญาณของเราด้วย*

จางเซวียนไม่เคยเห็นค่ายกลกักกันแบบนี้มาก่อน แต่เพราะมีความรู้มากมายจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับค่ายกลเมื่อครั้งอยู่ในทวีปแห่งปรมาจารย์รวมทั้งมิติเบื้องบน การไขข้อสงสัยของสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าจึงไม่ยากเกินไป

“ต้องลองปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้ง 6 ดู!”

ค่ายกลกักกันส่วนใหญ่ทำงานด้วยการกีดขวางและรบกวนประสาทสัมผัสของนักรบ ดังนั้น วิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการกีดขวางก็คือปิดกั้นประสาทสัมผัสของตัวเอง

ทันใดนั้น จางเซวียนรู้สึกเหมือนตัวเขาสูญเสียความทรงจำ ไม่อาจมองเห็น ได้ยิน สัมผัส หรือได้กลิ่นอะไรสักอย่าง แม้แต่สติสัมปชัญญะของเขาก็ดูเหมือนจะถูกผลักดันให้เข้าสู่ภาวะชะงักงันเหมือนจำศีล

ความเงียบสงัดนั้นคงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น ภาพช่องว่างเล็กๆที่มีน้ำหยดลงมาก็ดูจะผุดขึ้นในหัวสมองของจางเซวียน

ช่องว่างนั้นไม่ใหญ่นัก ทำให้น้ำหยดลงมาได้ตลอดเวลา เป็นที่มาของเสียงหยดน้ำที่เขาได้ยิน

“มันนี่แหละ!”

จางเซวียนอุทานในใจ เขาขับเคลื่อนเจตจำนงเพลงดาบของเทพเจ้าเข้าสู่ฝ่ามือก่อนจะกดลงไปบนช่องว่างนั้นอย่างแรง ราวกับตัวเขาเป็นดาบมหึมาเล่มหนึ่งที่ยาวจนแทบทะลุสวรรค์

“แคว่ก!”

ผืนผ้าสีดำที่เกิดเป็นความมืดรอบตัวเขาถูกฉีกกระชากจนแยกออกจากกัน

จางเซวียนลืมตา ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ความสามารถในการมองเห็นของเขากลับมาอีกครั้ง คบเพลิงมากมายนับไม่ถ้วนส่องแสงเจิดจ้าประดับทางเดินที่อยู่ตรงหน้า

ค่ายกลกักกันคือกับดักสำหรับหัวใจ…จางเซวียนระบายลมหายใจยาวขณะนึกโล่งอก

เขารู้ดีว่าคราวนี้ตัวเองตัดสินใจถูก