ตอนที่ 735 พวกเดียวกัน
“คุณเยี่ย ดีใจมากที่ได้พบคุณอีกครั้ง ยินดีต้อนรับคุณเข้าสู่งานประมูลครั้งนี้ครับ
อ้อใช่ ทำไมคุณซ่งถึงไม่มาครับ? งานประมูลครั้งนี้ขาดคนสวยอย่างคุณซ่งไป คงต้องหมดสีสันแน่นอนครับ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกับพ่อรวมทั้งอาเขยสามคนเดินเข้ามาในคริสตี้งานประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิที่จัดขึ้นในปักกิ่งนั้น วิลสันที่กำลังยืนทักทายแขกอยู่ตรงหน้าประตูก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับทันที
ในฐานะประธานใหญ่ในเขตทวีปเอเชียของคริสตี้ ตลาดของประเทศจีนจึงไม่อาจมองข้ามได้ กลุ่มผู้คนที่เก็บสะสมของล้ำค่าขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นพื้นที่ที่ต้องแย่งกันจัดงานประมูลใหญ่อันดับสามของโลก ดังนั้นวิลสันจึงเดินทางมาจัดงานประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ด้วยตัวเอง
แต่วิลสันแสดงท่าทีต้อนรับเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว ส่วนเยี่ยตงผิงนั้นเขากลับมองข้ามไปเลย แล้วจึงมองซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นซ่งเวยหลันมาด้วยจึงรู้สึกเสียใจ
“คุณวิลสันครับ คุณก็รู้ แม่ของผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้ แต่เธอบอกว่าถ้าคุณว่างก็เชิญไปเป็นแขกที่บ้านนะครับ!”
เมื่อเห็นสีหน้าของวิลสัน เยี่ยเทียนจึงอดหัวเราะไม่ได้ วิธีการแสดงความรู้สึกของชาวต่างชาตินั้นชัดเจนและตรงไปตรงมามาก เขากล้าแสดงความรักและสเน่หาที่มีถึงแม่ ต่อหน้าตัวเองและพ่อออกมาตามตรง
“อ้อ ดีจังเลยครับ ผมยังไม่ลืมฝีมือการทำอาหารแสนอร่อยของคุณซ่งเลยครับ!”
วิลสันยิ้มขึ้นมา และใช้สายตาที่ยั่วยุมองไปที่เยี่ยตงผิง เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างซ่งเวยหลัน ทำไมถึงได้แต่งงานกับผู้ชายธรรมดาบ้านๆ แบบนี้
“ตกลงครับ คุณวิลสัน พวกเรามาร่วมงานประมูล ถ้างั้นก็ไม่รบกวนคุณแล้วครับ!”
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองปนเศร้าของพ่อที่แทบจะมีน้ำตาไหลออกมา เยี่ยเทียนจึงรีบดึงพ่อเข้าไปในงาน ไม่อย่างนั้นเขาไม่รู้ว่าวันนี้จะมีข่าวร้อนของประธานใหญ่บริษัทคริสตี้ของทวีปเอเชียทะเลาะวิวาทกับคนที่อยู่ในงานด้วยหรือไม่?
“ไอ้ลูกบ้า แม่ของแกเคยพูดว่าจะเชิญเขามาที่บ้านตั้งแต่เมื่อไร?”
หลังจากนั่งลงแล้ว เยี่ยตงผิงจึงเส้นเลือดปูดบนหน้าผาก ถ้าหากไม่ได้อยู่พื้นที่สาธารณะล่ะก็ เขาคงอัดสั่งสอนลูกชายแล้ว โดยไม่สนว่าตอนนี้เยี่ยเทียนจะเก่งกล้ามากแค่ไหน พ่อซ้อมลูก คิดหรือว่าเขาไม่กล้า?
“พ่อครับ ก็แค่พูดไม่ตามมารยาทน่า”
เยี่ยเทียนพูดพลางหัวเราะทำหน้าทะเล้น “คนอื่นเขายอมตกลงให้เอาของประมูลสองสามชิ้นนั้นของพ่อเข้ามาร่วมประมูลในช่วงวินาทีสุดท้าย ยังไงก็ต้องไว้หน้าเขาบ้างสิครับ อีกอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าบ้านของพวกเราอยู่ที่ไหน”
“ถ้าคราวหน้ากล้าพูดแบบนี้อีก คอยดูว่าฉันจะจัดการแกยังไง?”
เยี่ยตงผิงขึงตาใส่ลูกชาย แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีความน่าเกรงขามใดๆ ต่อลูกชาย ตั้งแต่อายุสิบขวบ เยี่ยตงผิงก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
“อาเขย วันหน้าถ้าอามีของอยากประมูล ก็ใช้ชื่อแม่ของผมได้เลยนะครับ”
เพียงแต่ประโยคต่อไปที่เยี่ยเทียนพูดนั้นเกือบทำให้เยี่ยตงผิงต้องโมโหอีกครั้ง เขาจึงเคาะศีรษะของลูกชายอย่างอดใจไม่ได้ อีกอย่างช่วงนี้เยี่ยเทียนก็ถูกแม่ดูแลอย่างเคร่งครัด ทำให้พ่อลูกไม่ได้แกล้งเล่นกันแบบนี้มานานแล้ว
เมื่อเวลาการประมูลเริ่มใกล้เข้ามา คนที่อยู่ในงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เก้าอี้ที่อยู่รอบตัวเยี่ยเทียนมีคนนั่งเต็มทุกที่นั่ง
การประมูลภาคฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้มีชิ้นงานศิลปะที่มาจากต่างประเทศบางส่วน และส่วนใหญ่จะเป็นสมบัติล้ำค่าที่หายสาบสูญไปจากประเทศจีน ดังนั้นผู้ที่มาร่วมงานประมูล จึงมีหลายคนที่รีบมาจากต่างเมือง
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคุยเล่นกับพ่อและหลิวเหวยอันนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเย็นวาบมาจากศีรษะด้านหลัง เขาจึงรีบหันไปมอง และพอมองแล้ว ก็ไม่อาจชักสายตากลับได้อีก
เวลานี้มีคนสามคนเดินเรียงกันเข้ามาอยู่ตรงหน้าประตูพอดี สองคนที่อยู่ในนั้นเดินตามหลังเล็กน้อย กำลังยิ้มแย้มให้กับนักพรตที่สวมชุดนักพรตที่อยู่ตรงกลางนั่น เหมือนกำลังอธิบายงานในครั้งนี้
คนสองคนที่กำลังพูดอยู่ เห็นถึงความน่าเกรงขามระหว่างหน้าผากอยู่เลือนราง คาดว่าคงจะเป็นบุคคลชั้นสูงแน่นอน ทว่านักพรตที่เดินอยู่ตรงกลางนั้นกลับเผยบุคลิกที่ไม่ธรรมดาเหนือคนอื่นได้อย่างชัดเจน ดูเหมือนสองคนนั่นจะเป็นเพียงผู้ติดตามของเขาเท่านั้น
ในขณะเดียวกันที่เยี่ยเทียนมองไปที่ประตูใหญ่ คิ้วของติงหงขมวดเล็กน้อย สายตาของเขามองทะลุผ่านพื้นที่ในงานยาวกว่าสิบเมตร แล้วสบตากับเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ตรงแถวหน้าเช่นกัน
“ที่นี่ยังมีคนฝึกวิชาเหมือนกันหรือ?”
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ติงหงได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนขั้นปลายแล้ว เพียงแค่กระชับปราณแท้ให้ผ่านไปอีกขั้น แล้วบีบอัดให้เป็นตันผ่านเคราะห์อัสนีสวรรค์ ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับจินตันสำเร็จมหามรรคได้
ดังนั้นถึงแม้จะเป็นการมองอย่างเรียบง่าย แต่ติงหงมองปราดเดียวก็รู้ถึงระดับวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่า ในโลกมนุษย์ที่มีปราณวิเศษอันน้อยนิดเช่นนี้ กลับมีคนสามารถฝึกวรยุทธถึงระดับเซียนเทียนได้?
“หรือจะเป็นผู้สืบทอดของสำนักไหนสักแห่ง? หลังจากที่โลกเข้าสู่ยุคธรรมตอนปลาย ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสำนักไหนที่ยังสืบทอดแนวทางเต๋านี่นา?”
ติงหงครุ่นคิดในใจ แล้วจึงก้าวขาเดินไปหาเยี่ยเทียน คนอย่างพวกเขานั้นมักจะทำอะไรตามที่ใจปรารถนา ดังนั้นจึงไม่เก็บคำถามไว้ในใจเป็นธรรมดา
“ท่านนักพรตติง ที่นั่งของพวกเราอยู่ตรงนี้ครับ!”
ตอนที่เดินผ่านที่นั่งแถวที่สาม อวิ๋นหวาจวินพบว่า ติงหงไม่ได้คิดจะหยุดฝีเท้าเลย แต่กลับเดินตรงไปยังที่นั่งแถวที่หนึ่ง และทำเป็นหูทวนลมกับคำพูดของเขา แม้แต่จะอธิบายก็ไม่มี
อวิ๋นหวาจวินจึงยิ้มเจื่อนๆ ได้แต่เดินตามไป จากการอยู่ด้วยกันสองสามวันนี้ เขาพอเข้าใจติงหงมากขึ้น ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
หากตามที่ติงหงพูดนั้น เขาเกิดในปี 38 รัชสมัยเฉียนหลง เมื่อถึงปีนี้ ก็มีอายุสองร้อยห้าสิบสองปีแล้ว
ถ้าหากคนอื่นเล่าเรื่องนี้ให้อวิ๋นหวาจวินฟัง เขาคงไม่เชื่อแน่นอน แต่ฝีมือระดับเทพเซียนของติงหงนั้น ทำให้เขาไม่กล้าสงสัยใดๆ
“ไม่คิดว่าข้าจะได้เจอพวกเดียวกันในโลกมนุษย์ ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มมีนามว่าอย่างไร?”
เมื่อเดินมาอยู่หน้าเยี่ยเทียน ติงหงจึงประสานมือเดียวคารวะ โดยไม่สนใจสายตาที่อยากรู้อยากเห็นที่อยู่รอบตัว
ถึงแม้จะเคยพูดใน “คัมภีร์เต๋า” ว่า “สวรรค์ไร้มนุษยธรรม มองทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงสุนัข ซึ่งเป็นการอธิบายทฤษฎีของการเท่าเทียมกันของมวลมนุษย์ หลังจากที่คนคนหนึ่งมีอำนาจจนยากที่จะควบคุมได้นั้น ความรู้สึกเหนือชั้นที่อยู่ในใจจึงยากที่จะขจัดออกไปได้”
สายตาของติงหงในตอนนี้ จึงมีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพูดคุยกับเขาได้ สองพี่น้องตระกูลอวิ๋น ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่อยู่ในมือของตัวเองเท่านั้น
“ผมชื่อเยี่ยเทียน ขอคารวะท่านผู้อาวุโส ไม่…ไม่คิดว่าบนโลกนี้ยังมีบุคคลอย่างท่านผู้อาวุโสอยู่ครับ?”
ตอนที่ติงหงเดินเข้ามา เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาไม่ได้ใช้วิธีการคารวะแบบยุทธภพ แต่ใช้วิธีการประสานมือคารวะเท่านั้น แล้วโค้งคำนับให้ติงหง
สีหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏสีหน้าของความตื่นตะลึงอย่างพอประมาณ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่า เวลานี้ในใจของเขานั้นกลับเหมือนมีคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ถ้าหากไม่ได้เข้าสู่ระดับเซียนเทียนมาก่อน เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะวิ่งหนีอุตลุดไปแล้ว
เพราะว่าตอนที่สบตากับนักพรตคนนั้น เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนเสื้อผ้าบนตัวของเขาถูกถอดจนหมดเกลี้ยงแล้วยืนล่อนจ้อนอยู่ท่ามกลางมหาชนในห้องโถงใหญ่ก็ไม่ปาน ดูเหมือนนักพรตท่านนี้จะอ่านใจทั้งหมดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง
และไม่ต้องสงสัย เพราะนักพรตคนนี้มีวรยุทธที่เหนือกว่าตัวเองมาก ตอนที่เผชิญหน้ากับเขา ในใจของเยี่ยเทียนจึงไม่เกิดการต่อต้านใดๆ เพราะถูกการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตของอีกฝ่ายกดทับเอาไว้
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เยี่ยเทียนกลัว สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวจริงๆ คือ ฐานะของนักพรตคนนี้ต่างหาก
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า อีกฝ่ายจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักพรตคนที่เขาพบที่ภูเขาฉางไป๋ซานโดยบังเอิญแน่นอน เพราะว่าสองคนที่อยู่ข้างกายนักพรตนั้น เยี่ยเทียนเคยดูรูปภาพของพวกเขามาก่อน ซึ่งก็คือสองพี่น้องตระกูลอวิ๋น!
ความรู้สึกของเยี่ยเทียนในเวลานี้ เหมือนกับขโมยของของคนอื่นแล้วเจ้าของหาเจอพอดี ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตัวเองขโมยมา แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนกินปูนร้อนท้อง?
ดังนั้นตอนที่ติงหงเดินมา เยี่ยเทียนจึงจัดระเบียบร่างกายของตัวเอง นอกจากมีสีหน้าที่ตกตะลึงแล้ว การเคลื่อนไหวของชีพรและการเต้นของหัวใจของเขานั้น ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
“ข้าชื่อติงหง เป็นเจ้าสำนักหอประดิษฐ์วิเศษคนปัจจุบัน ไม่ทราบว่าพ่อหนุ่มมาจากสำนักใด?”
ติงหงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพราะคนที่อยู่ตรงหน้ามีวรยุทธระดับเซียนเทียนขั้นต้น ห่างจากระดับของตัวเองแค่สองขั้น แต่เขาไม่สามารถมองเห็นปราณแท้ที่จุดตันเถียนของเขาใด้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงไม่อาจทำนายถึงที่มาของเขาได้
แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ติงหงสามารถยืนยันได้ อายุของเยี่ยเทียนคล้ายกับหน้าตาของเขาอย่างแน่นอน น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปีเท่านั้น ทำให้ติงหงรู้สึกประหลาดใจมาก
ถึงแม้ในพื้นที่ที่เหมาะสมกับการฝึกวรยุทธของเขาจะมีปราณวิเศษเต็มที่ แต่ลูกศิษย์ที่อายุน้อยก็ยังต้องใช้ยาช่วยในการล้างไขกระดูก การที่สามารถบรรลุระดับเซียนเทียนก่อนอายุสิบแปดปีได้ ถือว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง
สามารถบรรลุระดับเซียนเทียนก่อนอายุสามสิบปี ก็ถือว่ามีความสามารถที่ไม่เลว โดยทั่วไปแล้วจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนักของสำนักต่างๆ
หนำซ้ำเยี่ยเทียนยังอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปราณที่ไร้ความบริสุทธิ์ แต่สามารถฝึกถึงระดับเซียนเทียนด้วยอายุเท่านี้ ถ้าหากอยู่ในดินแดนของพวกเขา คงจะเป็นอัจฉริยะที่ถูกสำนักต่างๆ แย่งตัวเป็นแน่
หลังจากได้ยินคำพูดของติงหงแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นท่านนักพรตติง เยี่ยเทียนมาจากสำนักเสื้อป่าน อาจารย์คือหลี่ซั่นหยวน อาจารย์ปู่คือกุ่ยกู๋จื่อครับ!”
ความจริงการถ่ายทอดที่เยี่ยเทียนได้รับนั้น มาจากนักพรตเต๋าของสำนักเสื้อป่านสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่หลังจากที่ได้ยินวานรขาวพูดถึงระดับของการฝึกวรยุทธแล้ว เขาจึงพูดให้ดูใหญ่โตเพื่อทำให้อีกฝ่ายกลัวเกรง ดังนั้นจึงหาชื่อบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงมากมาใช้กับตัวเอง
“หลี่ซั่นหยวน? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน?”
ติงหงได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นสายของกุ่ยกู๋จื่อ ก็น่าจะเป็นคนของสำนักฟ้าดิน ในโลกของการฝึกวรยุทธไม่มีสำนักเสื้อป่านนี่นา!”
“ท่านติง วิชาที่อาจารย์ถ่ายทอดให้ผมนั้นไม่ครบสมบูรณ์ ผมแค่โชคดีเท่านั้น และเคยได้พบกับผู้อาวุโสวานรขาวที่อยู่เสินหนงเจี้ยโดยบังเอิญ ผ่านการชี้แนะของเขา ทำให้ผมสามารถบรรลุระดับเซียนเทียนได้ครับ!”
เยี่ยเทียนยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็แสดงสีหน้าแห่งความปรารถนาออกมา แล้วพูดต่อว่า “แต่ก่อนผมคิดว่าในโลกนี้มีผมที่ฝึกวรยุทธเพียงคนเดียว ไม่คิดว่าจะได้เจอท่านผู้อาวุโส ดังนั้นรบกวนท่านผู้อาวุโสช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนให้ฟังได้ไหมครับ?”
ตอนที่พูดถึงการสืบทอดวิชาจากอาจารย์ ติงหงกับเยี่ยเทียนต่างก็ใช้วิชาของพลังจิตในการสื่อสาร ทว่าคนที่อยู่ข้างๆ กลับมองเห็นสองคนกำลังจ้องมองกันอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่รู้ว่าว่าพวกเขากำลังพูดจาถามไถ่กัน
“ผู้อาวุโสวานรขาว? เจ้าหมายถึงเจ้าลิงตัวหนึ่งที่อยู่เสินหนงเจี้ยใช่ไหม?” เมื่อได้ยินการบอกเล่าของเยี่ยเทียน ใบ หน้าของติงหงจึงแสดงสีหน้าแปลกประหลาดเป็นที่สุด