ตอนที่ 667 ภรรยามังกรของจอมอสูรคลั่ง

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฝ่ายหนึ่งมาเร็วไปก้าวหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งมาช้าไปก้าวหนึ่ง 

 

 

จึงทำให้คลาดกันไป 

 

 

เมื่อมังกรทั้งเก้าได้รู้ว่าร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันถูกคนผู้หนึ่งนำไปแล้ว ก็เกือบจะระเบิดอารมณ์โมโหออกมาในทันที 

 

 

ประมุขวังเสี่ยงชีวิตเพื่อเปิดทางหลบหนีให้กับพวกมัน ทั้งยังมอบป้ายหยกของตระกูลหวาไว้คุ้มครองส่งพวกมันกลับมายังโลกเบื้องล่าง 

 

 

เพียงแต่จุดที่ลงมาเกิดความคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย กลายเป็นดินแดนที่อยู่ถัดไป 

 

 

พวกมันได้แต่รีบร้อนเดินทางมายังหุบเขาหมื่นปีศาจโดยไม่กล้าแม้แต่จะหยุดพัก 

 

 

ผลสุดท้ายก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง 

 

 

“เช่นนี้ร่างเนื้อของท่านเจ้าวังพวกเราจะเกิดเรื่องใดขึ้นหรือไม่?” 

 

 

นี่คือสิ่งที่มังกรทั้งเก้าพากันกังวลใจมากที่สุด เดิมทีพวกมันคิดเอาไว้ว่ารีบกลับมาแล้ว จะเรียกจิตวิญญาณของนางให้ลงมาจากแดนสวรรค์ คราวนี้กลับดีนัก เพราะชักช้าไปก้าวหนึ่ง ร่างเนื้อของนางก็ถูกคนนำไปแล้ว 

 

 

ซูจี่ที่พอได้รับฟังที่มาที่ไปก็ให้ความเกรงอกเกรงใจกับพวกมัน 

 

 

“ไม่มีทางเกิดปัญหาแน่นอน” ผู้ที่ตอบก็คือซูเยา เขารู้จักจีเฉวียนเป็นอย่างดี…. คนผู้นั้นยอมตายเพื่อนางมาครั้งหนึ่งแล้ว 

 

 

คนผู้นั้นถึงกับยกดินแดนอันกว้างใหญ่ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตช่วงชิงมาให้กับนาง ทั้งยังแทบจะเทิดทูนนางขึ้นไปบนฟ้า 

 

 

จีเฉวียนสามารถทำร้ายคนทั้งใต้หล้าได้ แต่จะไม่มีทางทำร้ายนางแม้แต่รูขุมขน 

 

 

ซูเยาถึงแม้ว่าจะไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่ก็ไม่อาจจะไม่ยอมรับว่า ความรักของคนผู้นั้นช่างลึกล้ำเหลือคณา 

 

 

ถึงแม้ตนจะไม่รู้ว่าคนผู้นั้น กลับมา ‘มีชีวิต’ อีกครั้งได้อย่างไร ยิ่งไม่รู้ว่าเขาพาร่างเนื้อของนางไปไว้ที่ใด แต่ตนก็มั่นใจว่า เขาจะต้องไม่ทำร้ายนางอย่างแน่นนอน 

 

 

อ้อ….เขากลับมาครั้งนี้ ดูแตกต่างกับก่อนหน้าอย่างมาก ไม่เพียงแต่มีกลิ่นอายของซื่อมั่ว แต่ว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่ง คือกลิ่นอายที่มิใช่ของยุคนี้อยู่ด้วย 

 

 

แม้ว่าจะมีซูเยารับรอง แต่ว่ามังกรทั้งเก้าก็ยังไม่รู้สึกวางใจอยู่ดี 

 

 

กลับเป็นเยี่ยเฉินที่ชวนเปลี่ยนเรื่องไป เขามอบจิตวิญญาณของต้าซือมิ่งให้กับซูจี่ ทั้งยังบอกเรื่องที่ตู๋กูซิงหลันสั่งเอาไว้ทั้งหมดออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเป็นห่วงเรื่องพิษในกายของพี่รองที่สุด สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็คือแก้ปัญหาที่ทำให้นางต้องกังวลใจ 

 

 

……………………… 

 

 

วิญญาณทมิฬตัวสั่นเทามาตลอดทาง พอลืมตาขึ้นมา รอบกายก็กลายเป็นโลกที่ว่างเปล่าใบหนึ่ง 

 

 

มันคว้าชายขากางเกงของฝ่าบาทท่านอาจารย์เอาไว้แน่นมาตลอดจนไม่รู้ว่าเหาะตามเขามานานแค่ไหนแล้ว 

 

 

อยู่ๆก็มาปรากฏตัวในสถานที่ที่สวยงามระยิบระยับในโลกสีดำทึบใบหนึ่ง 

 

 

รอบด้านมีประกายแสงระยิบระยับสาดลงมาราวสายฟ้าฟาดไม่มีหยุด 

 

 

ในใจกลางของแสงสว่างนั้น มีร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่เหมือนกับฝ่าบาทท่านอาจารย์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

เขานอนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเหล่านั้น ดวงตาหงส์ที่แสนงดงามลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ เสื้อผ้าและเส้นผมพลิ้วออกไป ดูงดงามเหนือคำบรรยาย 

 

 

วิญญาณทมิฬตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ลืมตาโตมองดูผู้ที่ตนเองกอดขาเอาไว้ 

 

 

ก็เห็นเขาโอบร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ เหาะเข้าไปหากลุ่มแสงสว่างนั้นด้วยความรวดเร็ว 

 

 

กริยาของเขานุ่มนวลอ่อนโยน ค่อยๆวางร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันลงที่ข้างกายของบุรุษที่อยู่ในใจกลางของลำแสง 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้น ยามที่มองดูนาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักอันลึกซึ้งอยู่เสมอ 

 

 

จากนั้นก็เห็นร่างกายของตู๋กูซิงหลันล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า 

 

 

วิญญาณทมิฬ “……” 

 

 

นี่มันอะไรกัน ภาพเช่นนี้ดูประหลาดเกินไปแล้ว หากใครไม่รู้เข้าคงต้องนึกว่าทั้งสองคนถูกกลบฝังร่วมกัน! 

 

 

“ฝ่าบาทท่านอาจารย์ ท่านกำลังทำอะไรกันแน่? บอกกันสักคำได้หรือไม่? หนูกลัวนะ….” 

 

 

โลกใบนี้กว้างขวางและว่างเปล่าเกินไป แสงสว่างที่ผ่าลงมาแต่ละครั้งก็รุนแรงอย่างยิ่ง ทำให้เป็นใครก็ต้องกังวล 

 

 

มันไม่รู้กระทั่งว่าที่นี่คือที่ใดกันแน่….. 

 

 

พอไม่รู้ ย่อมเกิดความกลัวเป็นธรรมดา 

 

 

แต่คนผู้นั้นก็ยังคงไม่สนใจวิญญาณทมิฬอยู่ดี 

 

 

พอจัดวางตู๋กูซิงหลันเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นเขากลายเป็นหมอกสีดำวูบหนึ่ง พุ่งเข้าไปรวมกับร่างที่นอนอยู่ในใจกลางแสงสว่างนั้น 

 

 

วิญญาณทมิฬ “? ? ?” 

 

 

ที่แท้ที่มันกอดมาตลอดทางก็คือร่างแบ่งภาคของฝ่าบาทท่านอาจารย์? 

 

 

ดูไม่ค่อยเหมือนเท่าไหร่ ….ดูไปเหมือนจะเป็นการแยกวิญญาณออกจากร่างมากกว่า…. 

 

 

ตกลงแล้วที่เขาจงใจไปยังหุบเขาหมื่นปีศาจ เพื่อนำร่างของตู๋กูซิงหลันมาไว้ที่นี่ เพราะคิดจะทำสิ่งใดกันแน่? 

 

 

ขณะที่วิญญาณทมิฬกำลังมีแต่ความมึนงงอยู่บนใบหน้า มันก็เห็นแสงสว่างที่รุนแรงเหล่านั้นฟาดลงมาบนร่างของตู๋กูซิงหลันครั้งแล้วครั้งเล่า 

 

 

แสงสว่างแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย บนแขนขาส่วนที่พ้นชายเสื้อผ้าออกมา สามารถมองเห็นเส้นเลือดที่อยู่บนร่างกายได้อย่างชัดเจน 

 

 

แสงสว่างนั่น….กำลังไหลเวียนไปตามเส้นเลือด! 

 

 

ทันใดนั้น วิญญาณทมิฬก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ฝ่าบาทท่านอาจารย์กำลังทำอะไรอยู่ 

 

 

ต่อให้มอบแผ่นดินและแผ่นฟ้าให้ก็คงไม่อาจทำให้ภรรยามังกรของจอมปีศาจคลั่งผู้นี้พอใจได้ เขาจึงได้ส่งมอบพละกำลังให้กับภรรยาตัวน้อยของตนเอง! 

 

 

ลองคิดดูสิ เดี๋ยวพอวิญญาณของหลันหลันกลับคืนร่าง ก็จะพบว่าร่างกายของตนเองแข็งแกร่งกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า 

 

 

งุ้ยๆ นี่มันราวกับว่าหลับไปตื่นหนึ่งก็กลายไปเป็นผู้ไร้เทียมทานไปแล้ว 

 

 

มิว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตาม เขามักรู้ดีกว่าผู้ใดว่าสิ่งที่นางต้องการที่สุดคือสิ่งใด 

 

 

แม้ว่าจะมิได้เอ่ยสักคำ แต่ว่าใช้การกระทำมาแสดงออก 

 

 

วิญญาณทมิฬได้แต่คิดอยู่ในใจว่า เกรงว่าพอถึงเวลา ฝ่าบาทท่านอาจารย์ก็คงจะบุกขึ้นไปสังหาร ถึงบนแดนสวรรค์ เพื่อนำวิญญาณของภรรยาตัวน้อยของตนกลับมาอย่างแน่นอน! 

 

 

มันจึงไม่กล้ารบกวนอีก มือเท้าที่สั้นป้อมทรุดนั่งลงที่ข้างกายพวกเขา คิดจะลองรับการชำระล้างจากแสงสว่างนั่นดูบ้าง 

 

 

“เปรี้ยง!” แสงสว่างสายหนึ่งผ่าลงมาใส่มัน 

 

 

“เปรี๊ยะ ซ่า ซ่า….” วิญญาณทมิฬถูกผ่าใส่จนถึงกับขนไหม้เกรียม เดิมทีก็ตัวดำเป็นเหนี่ยงอยู่แล้ว ตอนนี้ใกล้จะเป็นตอตะโกเต็มที! 

 

 

มันไอสำลักออกมาติดๆกัน ในปากมีแต่ควันไฟ 

 

 

วิญญาณทมิฬ “ข้าxx%…..$!” 

 

 

…………………. 

 

 

วังบนแดนสวรรค์ 

 

 

ยามรุ่นอรุณ ฮว๋ายยู่ลูบไล้เส้นเกศา บนผิวพรรณที่ขาวนวลดุจหยก มีแต่ร่อยรอยของความรัก 

 

 

นางพิงร่างเข้าหาอ้อมพระกรของตี้เสีย ดวงพักตร์อาบไล้ด้วยสีแดงระเรื่อชั้นหนึ่ง 

 

 

การร่วมสัมพันธ์รักกับตี้เสียมีคุณประโยชน์ต่อบุตรในครรภ์ของนาง พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่ง เมื่อธาตุพิสุทธิ์เข้าสู่ภายใน ก็ช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายของนาง 

 

 

ดังนั้นตอนนี้สีพระพักตร์ของนางจึงดูมีสีสันกว่าเดิมมาก 

 

 

“เทียนตี้เพคะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่หม่อมฉันต้องขออภัยต่อพระองค์….” 

 

 

หัตถ์ของฮว๋ายยู่โอบรอบบั้นเอวของเขา เอ่ยด้วยนะเสียงออดอ้อน 

 

 

สีพระพักตร์ของตี้เสียเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ พระหัตถ์ใหญ่โตของพระองค์วางลงมาเหนือมือของนาง “หืม?” 

 

 

“ผู้ที่ออกคำสั่งที่ให้แปดแม่ทัพสวรรค์จับกุมแม่นางผู้นั้น ก็คือหม่อมฉันเอง…” ฮว่ายยู่ก้มศีรษะลง ด้วยท่าทางสำนักผิดอย่างยิ่ง 

 

 

ตี้เสียยื่นดัชนีออกมาข้างหนึ่ง ปิดริมฝีปากของนางเอาไว้ “เรารู้หมดแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย เราจะไม่โทษเจ้า” 

 

 

ฮว๋ายยู่อ้าปากอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายค่อยกลืนคำพูดทั้งหมดกลับลงไป 

 

 

นางยื่นริมฝีปากออกไป ประทับจูบลงบนริมโอษฐ์ของตี้เสียครั้งหนึ่ง 

 

 

“เทียนตี้ทรงเข้าพระทัยหม่อมฉัน นี่ถือเป็นโชคดีที่สุดของหม่อมฉันแล้ว” 

 

 

หัวใจของฮว๋ายยู่มีแต่ความเปรมปรี เดิมทีนางคิดเอาไว้ว่า ตี้เสียจะต้องตำหนินางอยู่บ้าง ไหนเลยจะคิดว่านางไม่จำเป็นจะต้องอธิบายสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ 

 

 

ที่แท้ในหัวใจของเขา ตนเองถึงกับมีความสำคัญที่สุด? 

 

 

บุรุษที่ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ จะให้นางยอมแบ่งปันกับหญิงอื่นได้อย่างไร? 

 

 

ว่าแล้ว นางก็เอ่ยอีกว่า “หม่อมฉันอยากจะพบแม่นางผู้นั้นสักหน่อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ผ่านกรมพิธีการ แต่หากหม่อมฉันได้เจอนางจะได้จัดการชุดแต่งงานที่เหมาะสมให้กับนาง ไม่ให้ใครมาว่าแดนสวรรค์ของเราลบหลู่นาง ดีหรือไม่เพคะ?” 

 

 

ความอิ่มเอมในพระทัยของตี้เสียยังคงมิได้จางหาย เมื่อครู่ได้รับการปรนนิบัติปรนเปรอจากฮว๋ายยู่อย่างเต็มที่ ยามนี้พอนางพูดอะไร ก็ทรงอนุญาตทั้งสิ้น 

 

 

“เจ้าไปพบนางสักหน่อยก็ดี สายตาของฮว๋ายยู่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว เจ้าเห็นแล้ว ก็ให้พวกเทพธิดารับใช้ตัดชุดแต่งงานชุดใหม่ให้กับนางสักชุด” 

 

 

ว่าแล้ว พระองค์ยื่นพระหัตถ์มาลูบไล้หน้าผากของนางเบาๆ  

 

 

“เราเห็นว่า อีกสองวันเป็นวันดี มะรืนนี้ยามพลบค่ำก็ให้นางสวมชุดแต่งงานเข้าวังหลังมาเถอะ” 

 

 

………………