เสี่ยหราน เฮยหลินรวมทั้งม่อเจี่ยนหลีทยอยกันรับแกนผลึกไป หลังจากตรวจสอบว่าไม่มีปัญหา ย่อมเก็บเข้าไปด้วยความดีใจ

“ในเมื่อได้ของตอบแทนแล้ว การแลกเปลี่ยนของเผ่าเราและสหายทุกท่านก็นับว่าพึงพอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่ไม่ทราบว่าสหายทุกท่านคิดจะไปจากแดนแห่งนี้ยามใด ถึงอย่างไรเสียแดนนี้ก็เล็กมาก ไม่อาจรองรับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานจำนวนมากอย่างพวกเราได้” ฉับพลันนั้นมารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวก็เอ่ยถามด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย

“สหายหลัววางใจ มากสุดอีกสองสามวันพวกเราก็จะไปแล้ว แต่วัตถุดิบของแดนซิวหลัวนั้นแตกต่างกับแดนวิญญาณของพวกเรา พวกเราอยากเก็บไปให้มากสักหน่อย สหายคงไม่ขัดขวางสินะ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

“จุ๊ๆ แค่เก็บทรัพยากรล่ะก็ เผ่าของเราย่อมไม่ขัดขวางเลยสักนิด ทว่าในแดนแห่งนี้นอกจากเผ่าของพวกเราแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่รับมือยากอีกสามตน ทุกท่านอย่าประมาทล่ะ” ฮูหยินหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย

“อ๋อ หนึ่งในนั้นที่สหายพูดถึง คือเชอชี่จื่อสินะ!” ม่อเจี่ยนหลีได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสี

“สหายหานเองก็รู้จักอสูรที่โหดเหี้ยมตัวนั้น หรือว่าเคยพบมาแล้ว” ฮูหยินพลันตกตะลึง แล้วหลุดปากเอ่ยถามขึ้น

“เคยพบครั้งหนึ่ง เจ้าตัวนี้คู่ควรกับที่เป็นอสูรโบราณในตำนาน ตาเฒ่าเกือบจะเพลี้ยงพล้ำในเงื้อมมือของมัน” ม่อเจี่ยนหลีหน้าเปลี่ยนสีไปสองครา ถึงได้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งขณะเอ่ย

“แดนแห่งนี้ยังมีอสูรเหี้ยมชนิดนี้ สหายหลัวบอกตำแหน่งรังของมันได้หรือไม่?” เสี่ยหรานได้ยินบทสนทนาของฮูหยินและม่อเจี่ยนหลีกลับมีสีหน้ายินดี คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยปากซักถามอย่างตื่นเต้น

“รังของเชอชี่จื่อ ข้านั้นรู้อยู่แล้ว แค่…” มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวแววตาเปล่งประกาย เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

“วางใจ ศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างเราไม่มีทางเอาข่าวไปฟรีๆ แน่ ขอแค่สหายหลัวบอก ย่อมต้องตอบแทนให้จงหนัก” เสี่ยหรานเห็นสีหน้าของฮูหยิน ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าสีหน้าของตนนั้นไม่เหมาะสม หลังจากรีบเก็บสีหน้าตื่นเต้นดีใจแล้ว ก็เอ่ยอย่างเย็นชา

จากนี้ระดับมหายานของชนต่างเผ่าผู้นี้ก็พลิกฝ่ามือ ถุงหนังขนาดไม่ใหญ่นักปรากฏขึ้น แล้วสะบัดโยนออกไป

ฮูหยินกวักมือเรียวดูดถุงหนังเข้ามา หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดเข้าไป ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองเสี่ยหรานแวบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“ข้ามีแผนที่อยู่ม้วนหนึ่ง ในนั้นชี้ตำแหน่งรังของเชอชี่จื่อเอาไว้ สหายเอาไปดูเถิด”

สิ้นเสียงฮูหยินก็ยกมือขึ้น คัมภีร์หยกสีขาวบินออกมาจากแขนเสื้อ

เสี่ยหรานสะบัดแขนเสื้อ ดูดม้วนคัมภีร์เข้ามา ทันใดนั้นก็แตะไปที่หน้าผาก แล้วเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา

เฮยหลินที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย สายตาที่มองไปในคัมภีร์มีแววคึกคักอยากลองดู

ยามนี้ฮูหยินสวมชุดกระโปรงสีโลหิตพลันส่งยิ้มให้หานลี่แล้วเอ่ยขึ้น

“สหายทุกท่านคงเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในแดนนอก คิดดูแล้วคงพกสมบัติล้ำค่ามาไม่น้อยสินะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เผ่าของเราเก็บทรัพยากรที่โลกภายนอกไม่มีเอาไว้อยู่บ้าง มิสู้แลกเปลี่ยนกับเผ่าของเราก่อน แล้วค่อยไปหาเพิ่มเติมเองเป็นอย่างไร เช่นนี้ทุกท่านก็จะได้ประหยัดเวลาแล้ว”

“สหายอิงหมายถึงให้ทำการแลกเปลี่ยนเล็กๆ ที่นี่” หานลี่พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้ม

“ใช่แล้ว ความจริงแล้ว วัตถุดิบในแดนนี้เผ่าของเราก็น่าจะเก็บสะสมไว้อยู่บ้าง ขอแค่ทุกท่านยอมจ่ายในราคาที่เพียงพอ เผ่าของเราก็จะทำให้ทุกท่านพอใจได้” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

มารดาเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้ยินคำพูดของหญิงสาว ก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามปราม ท่าทางสนับสนุนข้อเสนอนี้

ส่วนม่อเจี่ยนหลีและพวกได้ยินคำนี้ก็รู้สึกสนใจ

จากเวลาที่เหลืออยู่ในแดนซิวหลัวของพวกเขา หากจะรวบรวมวัตถุดิบให้เพียงพอ คงเป็นไปไม่ได้ หากแลกมาจากมือของชาวเผ่าซิวหลัว ก็เป็นวิธีที่ไม่เลว

“เยี่ยม นำของที่ตาเฒ่ามีมาแลกกับเผ่าของเจ้าเถิด” ม่อเจี่ยนหลีครุ่นคิด แล้วเอ่ยปากตอบรับ

“พวกเราพี่น้องค่อนข้างมีฐานะ มาแลกเปลี่ยนกันเถิด” เสี่ยหรานและเฮยหลินถ่ายทอดเสียงกันสองสามประโยคต่างเห็นด้วยเช่นกัน

“ในเมื่อสหายทุกท่านอยากเข้าร่วม ผู้แซ่หานย่อมไม่เป็นข้อยกเว้น” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ไม่มีข้อเสียเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่เข้าร่วม

“เยี่ยม หาที่แถวๆ นี้ เปิดการแลกเปลี่ยนกันเถิด” หญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตฉีกยิ้มเบิกบาน สีหน้างดงามเป็นอย่างยิ่ง

เสี่ยหรานและพวกพลันตกลงทันใด หานลี่พยักหน้า แต่เหมือนจะกวาดตาไปมองบึงเย็นเยียบเล็กน้อย

การเคลื่อนไหวนี้ลึกลับมาก ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นเลยสักนิด

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยามเหนือเกาะแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบึงเย็นเยียบนัก คนของเผ่าแมงมุมซิวหลัวก็โดยสารอินทรีย์ยักษ์สีดำโดยมีฮูหยินและหญิงสาวสวมกระโปรงสีโลหิตเป็นผู้นำ ค่อยๆ จากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ

กลางอากาศเหนือเกาะ ผู้ที่เหลือมีแค่ระดับมหายานจากภายนอกอย่างหานลี่และพวกทั้งสี่คนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

ระหว่างที่แลกเปลี่ยนกันเมื่อครู่ ไม่ว่าหานลี่ ม่อเจี่ยนหลี หรือว่าเสี่ยหราน เฮยหลิน ล้วนได้ผลประโยชน์ ได้รับทรัพยากรล้ำค้าที่มีเฉพาะแดนซิวหลัว

แม้ว่าทุกคนจะเสียค่าตอบแทนไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าพึงพอใจทั้งสองฝ่าย

“พี่หาน จะปล่อยเผ่าแมงมุมซิวหลัวเหล่านั้นกลับไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ หากยามนี้เปลี่ยนใจ ก็ยังไม่สาย” มองเผ่าแมงมุมซิวหลัวที่อยู่ไกลออกไป เสี่ยหรานพลันเอ่ยปากขึ้น

“เหตุใดถึงต้องเปลี่ยนใจ? หากเผ่านี้จัดการได้ง่ายจริงๆ พวกเราจะแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายทำไมกัน คงสังหารทิ้งที่รังของพวกนางแล้ว” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าแมงมุมซิวหลัวเหล่านี้มีฐานะมั่งคั่งเพียงนี้ การแลกเปลี่ยนเมื่อครู่อาจจะเอาของออกมาแค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือหรือว่าสหายไม่สนใจศิลาต้องใจของห้วงเวลาหรือ? สิ่งนี้มีพลังกฎเกณฑ์แห่งห้วงเวลาที่แข็งแกร่ง ต่อให้ผู้แซ่เสี่ยก็ยังไม่ค่อยพบเห็นเลย หากได้สิ่งนี้มาพวกเราแค่ผลัดเวรกันดูแล ไม่แน่ว่าอาจจะเรียนรู้พลังกฎเกณฑ์แห่งห้วงเวลาได้” เสี่ยหรานเลิกคิ้ว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสนอกสนใจ

ม่อเจี่ยนหลีที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ ก็อดที่จะมีสีหน้าแปลกประหลาดใจไม่ได้

“หึๆ น่าเสียดายมาก! ผู้แซ่หานไม่สนใจพลังของห้วงเวลา ดังนั้นจึงไม่คิดจะเสี่ยง หากสหายทั้งสองสนใจสิ่งนั้น ก็ปรึกษากับเผ่าแมงมุมซิวหลัวได้ ไม่แน่ว่าแค่จ่ายค่าตอบแทนที่เพียงพอ อีกฝ่ายก็อาจจะแลกเปลี่ยนสิ่งนี้กับสหายทั้งสองได้ แต่ข้าน้อยไม่ขอเข้าร่วมด้วย!” หานลี่หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น

เสี่ยหรานได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ก็หาววอดแล้วเอ่ยทันใด

“สหายล้อเล่นแล้ว! ดูแล้วแมงมุมซิวหลัวเหล่านั้นให้กับความสำคัญกับของสิ่งนั้นมาก เกรงว่าต่อให้พวกเราสองพี่น้องออกสมบัติออกมาจนหมด อีกฝ่ายก็ไม่มีทางแลกเปลี่ยนด้วย ในเมื่อพี่หานไม่อยากลงมือ เช่นนั้นก็คิดว่าผู้แซ่เสี่ยไม่เคยพูดก็แล้วกัน พวกเราสองพี่น้องยังมีธุระอีก คงแยกกับสหายทั้งสองตรงนี้”

ระดับมหายานของชนนอกด่านผู้นี้พูดไปพลาง ประสานมือคารวะบอกลาหานลี่และม่อเจี่ยนหลีไปพลาง

เฮยหลินที่อยู่ใกล้ๆ กัน ก็ประสานมือคารวะ

“สหายทั้งสองเดินทางปลอดภัยเถิด!” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วคารวะตอบเช่นกัน

ม่อเจี่ยนหลีเองก็เอ่ยคำพูดให้ดูแลตัวเองด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ดังนั้นเสี่ยหรานและเฮยหลินและพวกก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนี แยกกันกลายเป็นสายรุ้งยาวสองสายพุ่งแหวกอากาศไป พริบตาก็หายวับไปจากขอบฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

“พี่หาน จากนี้จะทำอย่างไร ยังเตรียมจะไปหาวัตถุดิบล้ำค่าอยู่หรือไม่?” ม่อเจี่ยนหลีรอจนลำแสงหลีกหนีหายไปแล้ว ถึงได้เอ่ยถามหานลี่ด้วยรอยยิ้ม

“น่าสนใจ ยังมีเวลาก่อนออกไปอีกสองสามวัน จากนี้คงต้องดูว่ามีวาสนาอันใดหรือไม่ พี่ม่อคิดอย่างไร?” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วถามย้อนกลับ

“ครั้งนี้ผู้แซ่ม่อได้แกนผลึกมาสามก้อน ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว จากนี้ไม่คิดจะเสี่ยงอันตรายอันใดอีก จากนี้ ข้าจะหาที่ลับนั่งสมาธิพักผ่อนสักหน่อย รอให้ถึงวันที่ต้องออกไป แม้ว่าสหายหานจะมีอิทธิฤทธิ์น่าตกตะลึง แต่จากนี้ก็ต้องระวังเผ่าแมงมุมซิวหลัวมาแว้งกัดด้วย” ม่อเจี่ยนหลีเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อือ พี่ม่อทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมมาก ส่วนเผ่าแมงมุมซิวหลัวนั้น ข้าอาจจะไม่อาจสังหารพวกนางได้ แต่หากพวกนางอยากต่อกรกับข้า ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” หานลี่หัวเราะร่า แล้วเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจมาก

“พี่หานดูจะมีแผนการณ์อยู่แล้ว ข้าเองก็วางใจ เรื่องนี้ล่าช้าไม่ได้แล้ว ผู้แซ่ม่อขอตัวก่อน อีกสองสามวันพวกเราค่อยพบกันที่แดนวิญญาณ” ม่อเจี่ยนหลีมีสีหน้าผ่อนคลายลง แล้วเผยรอยยิ้มให้หานลี่อีกครั้งพลางกล่าวลา

หานลี่ไม่ได้รั้งอีกฝ่ายเอาไว้ หลังจากเอ่ยคำพูดอวยพรสองสามประโยค ก็เห็นม่อเจี่ยนหลียกมือขึ้นปล่อยสำเภาลำเล็กออกมา พลิ้วไหวแล้วขึ้นไปบนนั้น พลางกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป

หานลี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมชั่วครู่ ถึงได้ชักสายตากลับมา หันหน้าไปมองเกาะยักษ์ที่บึงเย็นเยียบตั้งอยู่แวบหนึ่ง ใบหน้าเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา

เขาสะบัดแขนเสื้อชั่วขณะนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีเขียวพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วบินไปทางเกาะยักษ์

ทว่าเวลาหนึ่งมื้ออาหารต่อมา หานลี่ก็มาปรากฏตัวเหนือหุบเขาเดิมอีกครั้ง

เขาลอยอยู่กลางอากาศ กวาดสายตาไปยังบึงเย็นเยียบด้านล่างแวบหนึ่ง

เห็นเพียงไอเย็นเยียบของหุบเขาดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเดิมเล็กน้อย

แต่อากาศที่อยู่รอบๆ บึงเย็นเยียบ เป็นเพราะเขตอาคมถูกถอนออก กลับยังคงถูกแช่แข็งจนเป็นน้ำแข็งทมิฬก้อนใหญ่ ทำให้ทางเข้าบึงเย็นเยียบถูกแช่แข็งอีกครั้ง

สายตาของหานลี่จับจ้องก้อนน้ำแข็งยักษ์ด้านล่างแวบหนึ่ง ถึงได้อ้าปากออก เปลวเพลิงสีเงินพุ่งออกมา หลังจากพลิ้วไหวก็กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง

หานลี่พลันบริกรรมคาถา มือหนึ่งร่ายอาคมชี้ไปทางวิหคเพลิงสีเงิน

ชั่วขณะนั้นเสียง “พรึ่บ” พลันดังขึ้น วิหคเพลิงสีเงินเงยหน้าขึ้นส่งเสียงร้อง ผิวมีขนนกสีเงินแผดเผา ขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว

พริบตานั้นวิหคเพลิงสีเงินก็มีขนาดสิบจั้งเศษ ผิวมีเปลวเพลิงสีเงินแผดเผาไม่หยุด แค่ท่าทางดูเฉื่อยชา

เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ตะเกียงโบราณดวงนั้นเรียกนกยูงสีม่วงออกมาสู้รบก็สูญเสียพลังไปไม่น้อย

หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันขมวดคิ้ว แต่ทันใดนั้นก็อ้าปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พ่นไอบริสุทธิ์สีเขียวออกมาสองสามดวง หลังจากกะพริบวาบๆ ก็จมหายเข้าไปในร่างของวิหคเพลิงยักษ์อย่างไร้ร่องรอย…