เมื่อสามพันเพลิงคำรามสิ้นสุดลง แน่นอนว่าพลังมายาของฉินอวี้โม่ก็หมดไปมากพอสมควร หานโม่ฉือจึงไม่รอช้าและปรากฏตัวขึ้นมาข้างกายของนางก่อนสวมกอดร่างบางเข้าในอ้อมแขนทันที

ขนทั่วลำตัวของฉงฉีถูกเพลิงทรงพลังแผดเผาและร่วงกองบนพื้นพร้อมส่งกลิ่นเหม็นไหม้ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก

เวลานี้ หมอกหนาทั่วบริเวณก็หายไปแล้ว แม้เพลิงของซิวเพียงอย่างเดียวจะไม่ส่งผลกระทบต่อพวกมัน ทว่าภายใต้กระบวนท่าโจมตีอันทรงพลังอย่างสามพันเพลิงคำราม หมอกเหล่านั้นก็กระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบแน่นกลับคืนสภาพเดิมได้ในเวลาสั้น ๆ

“อ๊ากกกก !”

ฉงฉีคำรามเสียงดังจนสะท้อนไปทั่วหุบเขา ระยะรัศมีของสามพันเพลิงคำรามขยายออกเป็นวงกว้างมากเกินไปจนมันไม่สามารถหลบหลีกได้ ยิ่งไปกว่านั้น เพลิงแผดเผาดังกล่าวก็ยังมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ แม้ฉงฉีจะแผ่พลังมายาออกไปป้องกัน ทว่ามันก็ยังลงเอยด้วยอาการบาดเจ็บที่รุนแรง

“ข้าจะกินพวกเจ้าให้ได้ !”

เสียงตะโกนดังขึ้นอีกครั้งและจู่ ๆ ร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้น แม้แต่พลังของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภายในเวลาอันสั้น ร่างของมันก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่ากับเนินเขา

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็อยู่ในตำแหน่งพื้นที่เปิดโล่งในใจกลางของหุบเขา

ลำตัวขยายใหญ่ของฉงฉีก็ครอบคลุมพื้นที่ถึงหนึ่งในห้าส่วนของพื้นที่เปิดโล่งนี้ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่าหวาดกลัวไม่น้อย

ตูมมม !

ทันใดนั้น กรงเล็บของฉงฉีก็ฟาดตะปบลงมาในจุดที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือยืนอยู่ พลังที่อัดแน่นในการโจมตีดังกล่าวทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้ไม่ยาก

หานโม่มือโอบกอดร่างบางไว้แน่นและหลบหลีกออกไปได้อย่างรวดเร็ว กรงเล็บของฉงฉีจึงลงเอยด้วยการตะปบลงบนพื้นอย่างแรงจนทั้งหุบเขาสั่นสะเทือน

“นายหญิง ดูเหมือนว่าข่ายอาคมที่ข้าวางไว้จะไร้ประโยชน์”

มารยากล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ข่ายอาคมหลายชนิดที่มันวางไว้ก่อนหน้านี้มีจุดประสงค์เพื่อลดความเร็วของฉงฉี ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนกลยุทธ์การต่อสู้จึงเป็นธรรมดาที่ข่ายอาคมเหล่านั้นจะไม่เกิดผลอีกต่อไป ในตอนนี้ฉงฉีเพียงต้องการอาศัยพลังอำนาจอันมหาศาลและเผด็จการของตนเพื่อสังหารฉินอวี้โม่และทุกคนให้สิ้นซาก

กิเลนอัคคีก็ก้าวออกไปข้างหน้าและปล่อยการโจมตีเข้าใส่กรงเล็บของฉงฉีอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม มันกลับถูกอีกฝ่ายฟาดเข้าจนกระเด็นออกไปโดยที่ไม่สามารถต้านทานได้เลย

“บัดซบ ! พลังของมันพัฒนาขึ้นมากเกินไป !”

กิเลนอัคคีอดสบถออกไปไม่ได้ ความแข็งแกร่งของฉงฉีในตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าตัวภายในเวลาเพียงครู่เดียวและโอกาสที่จะสังหารมันในตอนนี้ยากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“นายท่าน เราหาทางออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ รอให้ผ่านช่วงเวลาไประยะหนึ่งและเราค่อยกลับมาจัดการกับมันอีกครา”

มันกล่าวข้อเสนอออกไปทันที

ฉงฉีน่าจะใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองเป็นการชั่วคราวและสภาวะเช่นนี้มักคงอยู่ได้เพียงไม่นาน ตราบใดที่ทุกคนหลีกเลี่ยงการประจันหน้าไปสักระยะเพื่อรอให้ผ่านช่วงที่สภาวะพลังของมันเพิ่มขึ้นเช่นนี้และกลับมาในภายหลัง พวกเขาอาจเอาชนะมันได้สำเร็จ

“พวกเจ้าไปกันก่อนเถอะ”

เมื่อหมอกรอบตัวสลายไปมากและมองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจนมากขึ้น ฉินอวี้โม่จึงหันไปกล่าวกับซ่างจู๋มู่และคนอื่น ๆ ทันทีที่ได้ยินข้อเสนอของกิเลนอัคคี

ความแข็งแกร่งของฉงฉีในตอนนี้เหนือกว่าพวกนางมากจนเกินไป นางและหานโม่ฉือยังมีไพ่ตายซ่อนไว้อีกมาก ทว่าต่อให้ซ่างจู๋มู่และคนอื่น ๆ อยู่ต่อก็อาจช่วยอะไรได้ไม่มากนัก ทางที่ดีที่สุดก็คือการขอให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ก่อน

“เข้าใจแล้ว”

พวกเขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างดีและเตรียมตัวหลบหนีออกไป

“อย่าคิดว่าจะหนีไปได้แม้แต่คนเดียว !”

ฉงฉีตะโกนอย่างดุร้ายและจู่ ๆ ม่านอาคมสีดำทะมึนบางอย่างก็ครอบคลุมไปทั้งทั่วบริเวณหุบเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อซ่างจู๋มู่และคนอื่น ๆ สัมผัสกับม่านดังกล่าว พวกเขาก็กระเด็นสะท้อนกลับมาโดยพลังที่รุนแรงบางอย่างและไม่มีทางออกไปจากที่นี่ได้เลย

“มันคือทักษะพิเศษของฉงฉี—คุกทมิฬ ม่านพลังของทักษะนี้แข็งแกร่งอย่างมาก เว้นแต่ว่าจะเอาชนะฉงฉี มันก็ยากที่จะฝ่าทะลวงออกไป”

กิเลนอัคคีกลับคืนร่างมนุษย์และกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง

คุกทมิฬถือเป็นไม้ตายที่ดีที่สุดของฉงฉีในตอนนี้ซึ่งสามารถกักขังทุกคนไว้ข้างในและไม่ปล่อยให้ใครหลบหนีไปได้ เว้นแต่ว่าตัวฉงฉีจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ แม้แต่จอมยุทธ์ยอดฝีมือก็ไม่มีทางฝ่าผ่านม่านป้องกันของมันไปได้ง่าย ๆ

หากเป็นฉงฉีในสภาวะก่อนหน้านี้ มันก็คงจะไม่สามารถใช้คุกทมิฬนี้ได้ ทว่าตอนนี้พลังของมันเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างยิ่งและสามารถวางคุกทมิฬล้อมรอบฝ่ายฉินอวี้โม่เพื่อกักขังมิให้ผู้ใดหลบหนีออกไป

แน่นอนว่าจุดประสงค์ของฉงฉีนั้นชัดเจนอยู่แล้ว มันต้องการถือโอกาสในการใช้พลังที่พัฒนาขึ้นชั่วคราวนี้เพื่อสังหารฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ให้สิ้นซาก มันเองก็ทราบดีว่าเมื่อช่วงความแข็งแกร่งชั่วคราวนี้ผ่านพ้นไป มันจะไม่มีทางเอาชนะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ไม้ตายเพื่อเพิ่มพลังเป็นการชั่วคราวนี้ย่อมมาพร้อมกับผลข้างเคียงเช่นกัน นั่นคือเมื่อช่วงเวลาของสภาวะนี้ผ่านพ้นไป มันจะเข้าสู่ช่วงที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่ามันอาจจะรับมือกับคณะของฉินอวี้โม่ไม่ได้อีกต่อไป

“ถ้าเช่นนั้นก็ลุยกันเถอะ !”

ฉินอวี้โม่ดึงกระบี่เล่มยาวออกมาก่อนทั้งจะร่างปกคลุมไปด้วยพลังมายาที่ล้นหลามและแววตาแสดงถึงจิตวิญญาณของการต่อสู้อย่างชัดเจน

หานโม่ฉือและคนอื่น ๆ ก็หยิบอาวุธคู่กายออกมาอย่างไม่หวาดกลัวเช่นกัน

“นายท่าน ข้าจะช่วยท่านเอง !”

เนตรปีศาจปรากฏตัวบนไหล่ของหานโม่ฉือขณะแสงประกายบางอย่างฉายวาบในดวงตาของมัน อึดใจต่อมา ลำแสงหลายเส้นที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลก็พุ่งตรงไปที่ร่างของฉงฉีทันที

“เจ้าทำอะไรข้าผู้นี้ไม่ได้หรอก !”

ฉงฉีไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนขณะเหวี่ยงกรงเล็บตรงไปข้างหน้าเพื่อบดทำลายลำแสงจากเนตรปีศาจ แรงกดดันอันทรงพลังของมันก็แผ่ตรงไปที่ฉินอวี้โม่และทุกคนเพื่อกดข่มมิให้พวกนางใช้พลังได้อย่างเต็มที่

เคร๊ง !

กระบี่ของฉินอวี้โม่แทงตรงเข้าที่ลำตัวของฉงฉีจนเกิดเสียงประหลาดราวกับกระแทกเข้ากับโลหะ

พลังการป้องกันของฉงฉีอยู่ในระดับที่เหนือจินตนาการของทุกคน หากเปรียบเทียบกับอสูรยักษ์บนภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้านี้ การป้องกันของฉงฉีก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่ามากนัก

กระบวนท่าโจมตีของคนอื่น ๆ ก็พุ่งตรงไปที่ฉงฉีเช่นกัน ทว่าการโจมตีทั้งหมดดูเหมือนว่าจะขีดข่วนเป้าหมายได้เท่านั้น อสูรร้ายตรงหน้าไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“อ่อนแอเกินไป !”

วาจาเยาะเย้ยและยโสโอหังดังมาจากฉงฉี

ทว่าในขณะที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ กำลังโจมตีอยู่ แน่นอนว่าฉงฉีก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน กรงเล็บทั้งสองของมันโจมตีฉินอวี้โม่และทุกคนอย่างไม่หยุดหย่อนโดยมีเพลิงสีดำพุ่งออกจากปากของมันเป็นครั้งคราวซึ่งยากที่จะต้านทานได้

เพลิงสีดำทะมึนอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวและเพลิงส่วนหนึ่งก็ตกลงไปที่ก้อนหินด้านข้างซึ่งเผาไหม้หินก้อนใหญ่ดังกล่าวจนละลายกลายเป็นเพียงกองของเหลว

สิ่งนี้ทำให้ฝ่ายของฉินอวี้โม่หวาดหวั่นเป็นอย่างมากและพวกนางก็เริ่มที่จะจดจ่อสมาธิกับการโจมตีฉงฉีไม่ได้อีกต่อไป

โชคดีที่เมื่อพลังของฉงฉีเพิ่มขึ้น ความเร็วของมันก็ลดน้อยลง แม้การโจมตีทั้งหมดของมันจะมาพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัว แต่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็หลบหลีกมันได้อย่างฉิวเฉียดและไม่เพลี่ยงพล้ำในช่วงระยะหนึ่ง

ระหว่างการประจันหน้าเช่นนี้ เวลาหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและทั้งสองฝ่ายปะทะใส่กันมากกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว

หลังจากต่อสู้เป็นเวลานานโดยที่ยังคว้าชัยชนะไม่ได้ ฉงฉีก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา มันทราบดีว่ายิ่งเวลายืดเยื้อนานเพียงใด ตัวมันก็จะยิ่งเสียเปรียบมากเพียงนั้น พลังที่เพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราวสามารถคงอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากไม่สามารถเอาชนะฉินอวี้โม่และบรรดาสหายได้ภายในเวลานี้ มันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

สิ่งที่น่าหงุดหงิดใจมากที่สุดคือดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่และทุกคนจะคาดเดาความคิดของมันได้ อีกฝ่ายจึงไม่รีบร้อนโจมตีทว่าหาทางหลบหลีกมัน ความเร็วของฉงฉีในตอนนี้ลดน้อยลงพอสมควรและทุกคนสามารถหลบหลีกการโจมตีของมันได้อย่างทันท่วงที ในหลายครั้งหลายครา เมื่อฉงฉีพยายามสังหารใครสักคน อีกคนก็จะตรงเข้ามาขวางมันไว้ได้ทันซึ่งทำให้ฉงฉีทั้งโกรธแค้นและหงุดหงิดมากยิ่งขึ้น

หลังจากหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราว ฉงฉีก็ก้มลงมองฉินอวี้โม่และทุกคนด้วยแววตาโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด

“พวกมนุษย์ต่ำต้อยเอ๋ย หมดเวลาเล่นสนุกแล้ว !”

น้ำเสียงข่มขวัญดังมาจากฉงฉีและแรงกดดันอย่างมหาศาลแผ่ออกไปทั่วบริเวณ จากนั้นร่างสองร่างก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน