บทที่ 82 เคลื่อนพล
ในวันนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ดูแล้วไร้พิษภัยอันใดในเผ่ามนุษย์ แต่ในอนาคตจะส่งผลกระทบลึกล้ำขึ้น
จักรพรรดิหลงซางถูกปลดแล้ว !
คนที่ปลดเขาลงเองก็มาจากตระกูลหลิน มีสายเลือดตระกูลหลินเช่นกัน
คนที่ไม่รู้เรื่องราวก็ราวกับไร้เรื่องอะไรเกิดขึ้น ตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังครองอำนาจเจ็ดสายเลือดเทพอสูรยังคงปกครองเจ็ดอาณาจักร
แต่ก็ได้มีขั้วอำนาจใหม่ก่อกำเนิดขึ้น
คือนิกายไร้ขอบเขต
แม้คนส่วนมากจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนิกายไร้ขอบเขตและหลงซาง แต่อย่างไรก็ยังรู้ว่านิกายแห่งนี้จู่ ๆ ก็มีอำนาจรุดหน้าขึ้นมา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา นิกายไร้ขอบเขตจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวางอย่างสมบูรณ์
คนทั้งหลายอยากเข้าร่วมด้วยมากขึ้น
นิกายไร้ขอบเขตพยายามปรับความต้องการให้เข้มงวดขึ้น แต่ก็ยังมีศิษย์มีความสามารถอีกมากมายที่ต้องการเข้าร่วมนิกาย
เพื่อแก้ปัญหานี้ ฝ่ายในของนิกายไร้ขอบเขตจึงต้องตั้งกฎขึ้นมา ต้องมีการสอบ ผู้เข้าสอบต้องปีนเขา ผ่านป่า ข้ามแม่น้ำ การสอบในแต่ละขั้นค่อนข้างอันตราย โดยทดสอบทั้งการตัดสินใจ ความสามารถภายใน และความกล้าหาญ มีแต่ผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดนี้ได้จึงจะได้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายนอก
ยังมีการจัดระเบียบนิกายใหม่อีกเล็กน้อยด้วย
ศิษย์ฝ่ายนอกต้องบำเพ็ญเพียรอย่างน้อยเป็นเวลาสามปี ก่อนจะได้เข้ามาเป็นศิษย์ฝ่ายใน และได้รับถ่ายทอดวิชาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดาร
นอกจากความพยายามแล้ว ศิษย์ฝ่ายในจะต้องใช้คะแนนอุทิศมากมายเพื่อให้ได้กลายเป็นศิษย์คนสนิท
อีกทั้งยังมีการปรับการถ่ายทอดวิชาใหม่ โดยใช้วิชาพิเศษในการถ่ายทอดข้อมูลไปสู่ทะเลความรู้ของเหล่าศิษย์ ป้องกันไม่ให้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ไปที่อื่นได้
แน่นอนว่าเป็นเพราะวิชาทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารที่ในอดีตตั้งใจเผยแพร่ออกไป ทำให้ตอนนี้มันกระจายออกไปอย่างช้า ๆ ทว่าวิชาทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณนั้นมีแต่ศิษย์ระดับสูงที่ได้ถือครองแน่นอน
วิชาทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินยิ่งหาได้ยากมากขึ้นไปอีก
แท้จริงแล้วซูเฉินยังไม่สามารถทำวิชาทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินให้สมบูรณ์ได้ ทำได้แค่ใช้น้ำจากท้องสมุทรโศกาเพื่อผลิตยาเม็ดเท่านั้น
นอกจากน้ำที่ได้จากท้องสมุทรโศกาแล้ว ยาเม็ดเหล่านี้ยังต้องใช้ส่วนผสมหายากอีกสามอย่าง ที่ต้องใช้รองเท้าเคลื่อนกายข้ามแดนของซูเฉินหามาเท่านั้น ดังนั้นจึงมีจำนวนจำกัด แม้จะได้ตัววิชามา ก็ยังนำมาใช้อะไรไม่ได้
นิกายเริ่มขยับขยายอิทธิพลออกไป นับวันก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ
พริบตาเดียว คนส่วนมากก็ให้ค่ากับอำนาจของนิกาย มากกว่าอำนาจของอาณาจักรเสียอีก
อีกหกอาณาจักรจึงหวาดหวั่นกับอิทธิพลเช่นนี้ คนรุ่นเก่าหลายคนกล่าวอ้างว่าหากไม่ทำลายนิกายไปเสีย เผ่ามนุษย์จะถูกทำลาย
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะมีใครออกความเห็นเช่นนี้มากเท่าไหร่แต่ก็ไร้ผล
ความเจริญรุ่งเรืองของนิกายไร้ขอบเขตเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะหกอาณาจักรใจอ่อนยอมให้ แต่เป็นเพราะความหัวแข็งดื้อรั้นและความแข็งแกร่งของนิกายเองต่างหาก
เมื่อมีวิชาทะลวงพลังด้วยแล้ว ศิษย์ที่ทะลวงผ่านด่านทั้งหลายจึงทำให้นิกายกลับกลายเป็นแข็งแกร่งและมีอนาคตไกลอย่างคาดไม่ถึง
แม้นิกายไร้ขอบเขตจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหกอาณาจักร แต่หากไม่ถูกโจมตีร้ายแรง ก็จะฟื้นคืนกลับมาใหม่จนกว่าจะแกร่งพอและเอาชนะศัตรูได้
หากหกอาณาจักรไร้ศัตรูภายนอกให้ต้องคอยห่วงก็คงจัดการนิกายไร้ขอบเขตไปแล้ว
แต่ด้วยความที่มีศัตรู ทั้งยังเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งไม่น้อย ดังนั้นจึงได้แต่นั่งมองอิทธิพลของนิกายขยายขอบเขตออกไปเรื่อย
เวลาผ่านไปเร็วนัก
ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะเบ่งบานในไม่ช้า หนึ่งปีผ่านไปในพริบตา
ระหว่างปีนี้ นิกายไร้ขอบเขตขยับขยายอย่างรวดเร็ว จำนวนศิษย์ทั้งหมดมากกว่าแสนคน ไม่นานก็พุ่งสูงถึง หนึ่งแสนสองหมื่นคน
แต่ตัวเลขนี้อาจดูสูงเกินจริงอยู่บ้าง คนส่วนมากเป็นคนไร้สายเลือด นับว่าเป็นอนาคตของนิกาย แต่ตอนนี้ยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมให้ไม่ได้ มองในบางมุม คนเหล่านี้เป็นส่วนที่สูบทรัพยากรในนิกายไปใช้มากเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังต้องใช้กำลังคนมากพอสมควรในการดูแล
เคราะห์ดีที่แก่นแท้ของนิกายไร้ขอบเขตนั้นเต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่งโดยแท้จริง
ในตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตมีด่านสู่พิสดารสองหมื่นสี่พันคน และใกล้แตะถึงสองหมื่นห้าพันคนไปทุกวัน
อีกทั้งตอนนี้นิกายไร้ขอบเขตยังมีด่านผลาญจิตวิญญาณมากกว่าสองพันคนแล้ว
ทั้งยังมีด่านหยั่งรู้ฟ้าดินเพิ่มขึ้นอีกสี่คน
นั่นคือฉู่อิงหว่าน จวินโม่เสีย หลินเฉ่าเซวียน กู่ชิงลั่ว
นอกจากภายในอาณาจักรแล้ว อิทธิพลของนิกายไร้ขอบเขตยังเริ่มแพร่ออกไปสู่หกอาณาจักรด้วย
ประโยชน์จากการเป็นสถาบันหลักของหลงซางเริ่มเผยให้เห็นก็ตอนนี้ ในฐานะที่เป็นสถาบันที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง นิกายไร้ขอบเขตจึงสามารถมีอิทธิพลต่ออาณาจักรอื่น ๆ ได้โดยไม่ส่งผลร้ายอะไร
ไม่นานนิกายไร้ขอบเขตจึงเริ่มมีชื่อเสียงในอาณาจักรอื่นเช่นกัน
ส่งผลให้หกอาณาจักรต้องตอบกลับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้อาวุโสหลายคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเริ่มวางแผนรับมือกับนิกายไร้ขอบเขต ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงการดำเนินงานของนิกาย
ความสัมพันธ์ของนิกายไร้ขอบเขตกับหกอาณาจักรจึงเริ่มเกิดรอยร้าว
ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเพราะมีจุดยืนกันคนละอย่าง ความต่างระหว่างตระกูลสายเลือดชั้นสูงกับคนไร้สายเลือดธรรมดาเริ่มแสดงให้เห็นแล้ว
กระนั้นซูเฉินก็ไม่ได้ต้องการจะต่อสู้กับหกอาณาจักร
หากเป็นไปได้ ชายหนุ่มก็อยากแก้ปัญหาอย่างสงบมากกว่า
“อย่างสงบหรือ ? ความสงบอะไรนั่นไม่มีหรอก ตาแก่พวกนั้นเป็นปรปักษ์กับพวกเรามานาน วิธีไล่ให้ศัตรูกลับเข้ากระดองก็คือต้องทำให้พวกมันกลัว ถ้าหากเราหาทางสั่งสอนพวกนั้นได้ สุดท้ายความสงบสุขก็จะตามมาเอง”
เฉิงเถียนไห่ว่าเสียงมั่นใจอยู่ภายในตำหนักบนเขตเขาหมื่นดาบ
“เช่นนั้นแล้วก็ต้องมีคนตายนับไม่ถ้วนเลยสิ” ฉู่อิงหว่านเอ่ยเสียงเบาพลางเหลือบมองซูเฉิน
นางเข้าใจซูเฉินดี
“พวกเราตายก็ช่างสิ มีสงครามใดไร้ความตายบ้าง ?” เฉิงเถียนไห่ว่าอย่างโหดร้าย
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าตายไปแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ การที่มนุษย์ต้องห้ำหั่นกันเองไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการ” ซูเฉินเอ่ย
ทันทีที่ซูเฉินเอ่ยคำ คนอื่น ๆ จึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งท่านเจ้านิกาย ทอดสายตามองไปไกล “เผ่าอื่นยังคอยรุกล้ำเราอยู่ตลอดเช่นนี้ พวกเราแค่เอาชีวิตรอดยังลำบาก หากก่อสงครามกลางเมืองตอนนี้ พวกมันคงหัวเราะเยาะเรา เจ็ดอาณาจักรก่อตั้งมากว่าสามพันปี ผ่านพายุผ่านฝนมานับไม่ถ้วนเพราะร่วมมือกันต้านศัตรู หากนิกายไร้ขอบเขตจะก่อสงครามกลางเมืองทันทีที่เรืองอำนาจขึ้นมา… คนอื่นจะคิดอย่างไร ?”
เฉิงเถียนไห่จึงพูดไม่ออก
ใช่แล้ว ตระกูลสายเลือดชั้นสูงไม่เคยรบกันเองมาก่อน มักเป็นพันธมิตรกันเพื่อต่อสู้กับศัตรูภายนอกเสียมากกว่า นิกายไร้ขอบเขตจะเมินเฉยต่อภัยภายนอกเช่นนี้ได้งั้นหรือ?
หากเป็นเช่นนั้น นิกายไร้ขอบเขตก็คงมองอะไรเพียงสั้น ๆ ไม่อาจอดกลั้นความโลภเพื่อมองภาพรวมได้เป็นแน่ กระทั่งศิษย์นิกายเองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน
“แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้นขัดขวางพวกเรามากขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงขยายนิกายได้ลำบาก” จวินโม่เสียเอ่ย
“ขยายลำบากก็ให้มันลำบากไป” ซูเฉินตอบ “จนถึงตอนนี้ ดูท่าเรื่องราวทุกอย่างจะไหลลื่นเกินไป เราแทบจะรับมือปัญหาน้อย ๆ ไม่ได้กันแล้ว หากแค่เพราะขยายนิกายไม่ได้แล้วเราเปิดศึกฆ่าล้างศัตรูขึ้นละก็ นับว่าเรามองข้ามโอกาสมากมายหลายอย่างเชียว แน่นอนว่าศัตรูบางพวกก็เป็นข้อยกเว้น”
ลูกน้องจะใจร้อนเท่าไหร่ก็ได้ แต่ในฐานะเจ้านิกาย ซูเฉินจำเป็นต้องใจเย็นอยู่เสมอ
เขารู้ว่าปัญหาเล็กน้อยเรื่องการขยายนิกายจะไม่ส่งผลต่อภาพรวมของนิกายแต่อย่างไร
เป้าหมายสูงสุดของเขายังเป็นเผ่าพันธุ์อื่น
สุดท้ายก็เป็นฉือไคฮวงที่เข้าใจความคิดศิษย์ตนเองดี “เจ้าหมายถึง…. เผ่าวิญญาณหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “ถึงเวลาเราลงมือกับพวกนั้นแล้ว”
“จะโจมตีเผ่าวิญญาณตอนนี้หรือ? แล้วพวกชนชั้นสูงที่คอยก่อความรำคาญนั่นเล่า ?” หลินเฉ่าเซวียนถามขึ้น
“อยากก่อปัญหามากเท่าไหร่ก็ช่างพวกเขา ตอนนี้เราควรปล่อยเรื่องขยายนิกายไปก่อน รีบถอนกองกำลังของเรากลับคืนมาทันที” ซูเฉินตอบ
การถอนกำลังออกเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมเต็มกำลัง
ก่อนการโจมตีสำคัญในทุกครั้ง จำเป็นที่จะต้องเตรียมพร้อมพอสมควร ลดการควบคุมสถานที่โดยรอบเพื่อรวบรวมกองกำลัง
ตอนโจมีหุบเหวพวกเขาก็ทำเช่นนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ซูเฉินว่าต่อ “หากพวกคนชั้นสูงอยากก่อปัญหาก็ปล่อยไป ยิ่งก่อมากก็ยิ่งดี นิกายไร้ขอบเขตไม่ควรมุ่งสนใจว่าจะได้หรือเสียจากเมืองเล็กน้อยเหล่านี้ เราต้องมองถึงอนาคต ครึ่งหนึ่งของทวีปต้นกำเนิดยังอยู่ในกำมือสัตว์อสูร อีกครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ พวกเรามีพื้นที่น้อยกว่าหนึ่งในสามเสียอีก ยังมีดินแดนให้เอาชนะ มีศัตรูให้สังหารอีกมาก เรากำชัยชนะกลับมาได้เมื่อไหร่ พวกเจ้าก็ลองดูแล้วกันว่ายังมีใครกล้าสร้างปัญหาให้อีกหรือไม่ หากยังมีอยู่ ถึงตอนนั้นก็สามารถจัดการได้โดยเร็ว !”
ไม่ว่าใครได้ยินประโยคสั้น ๆ เหล่านี้ กลับทำให้จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาได้ในพลัน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่ามีสายตากว้างไกล
ในสายตาซูเฉิน ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็ไม่ต่างอะไรจากตัวตลก ไม่ควรค่าให้สนใจใส่ใจ เมื่อจัดการศัตรูที่ทรงพลังจริง ๆ ได้เมื่อไหร่ เขาก็จะมีอำนาจเหนือกว่าและกวาดล้างพวกที่ยังกล้าสร้างปัญหาได้โดยง่าย
การประชุมจึงจบลงอย่างรวดเร็ว
ในวันนั้น นิกายไร้ขอบเขตจึงเริ่มเรียกกองกำลังกลับมาเพื่อเตรียมโจมตีเผ่าวิญญาณ
ศิษย์นิกายที่จัดกระจายอยู่ทั่วแดนมนุษย์จึงได้กลับมา
คนบางกลุ่มที่รังแกนิกายไร้ขอบเขตจึงคิดว่าฝ่ายตนชนะ ทำการเฉลิมฉลอง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่คิดว่าการกระทำของนิกายไร้ขอบเขตดูแปลกไป จึงพอรู้ว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น
แต่ไม่มีใครรู้ว่าซูเฉินคิดเตรียมการทำอะไร
แท่นบูชาลมปีศาจเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ชายแดนอาณาจักรนกฮูกและเขตแดนเผ่าวิญญาณ
ด้วยเป็นสถานที่ที่อยู่ไกลและร้างผู้คน จึงมีคนอาศัยอยู่ไม่มาก ประโยชน์หนึ่งของการอาศัยอยู่ที่นี่คือมีพื้นที่มากมาย แต่ข้อเสียคือที่นี่มักถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง
บางครั้ง เผ่าวิญญาณก็จะเข้าโจมตี และบางครั้งก็เป็นฝ่ายมนุษย์ที่โจมตีกลับ
ปกติแล้วจะเป็นฝ่ายมนุษย์ที่โจมตีเสียมากกว่า
เผ่าวิญญาณไม่ถนัดการต่อสู้ประจันหน้าเท่าไหร่
ดังนั้นในการต่อสู้ระยะประชิด มนุษย์จึงมีความได้เปรียบมากกว่า
อาณาจักรนกฮูกเป็นเพียงอาณาจักรเดียวที่ได้เปรียบยามมีกองกำลังเข้าโจมตีจากภายนอก
แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองโชคดีแต่อย่างใด
แม้เผ่าวิญญาณจะต่อสู้ระยะประชิดไม่เก่ง แต่ก็ใช่ว่าจะรับมือง่าย
กลอุบายเจ้าเล่ห์ทั้งหลายและความสามารถในการควบคุมมนุษย์เป็นสิ่งที่รับมือได้ยาก คนบางคนก็ยอมตายอยู่ในสนามรบดีกว่าต้องต่อสู้กับเผ่าวิญญาณเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ ทหารอาณาจักรนกฮูกจึงไม่เคยส่งกองทัพขนาดเล็กออกไปต่อสู้กับเผ่าวิญญาณเลย แต่จะเคลื่อนไปเป็นทัพใหญ่ กระทั่งในจุดที่อยู่ห่างไกลที่สุด พวกเขาก็จะเลือกว่าจะให้ทั้งกองทัพไปประจำการอยู่ หรือไม่ก็ไม่ส่งใครไปเลย
นอกจากนี้ พวกเขายังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดหลายประการ
ไปเข้าห้องน้ำเองก็ยังไม่ได้
แท่นบูชาลมปีศาจก็เช่นกัน แม้จะมีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่กี่สิบคน แต่ก็มีทหารนับพันประจำการอยู่ที่นี่
เป็นเหมือนเช่นทุกวัน ทหารทำการฝึกฝนช่วงกลางวัน และเฝ้ายามช่วงกลางคืน
พวกเขายืนเฝ้ายามกันเป็นคู่ แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนและพูดคุยกัน
“นี่ ตื่นตัวไว้ อย่าให้ศัตรูซุ่มโจมตีโดยไม่ทันรู้ตัวได้” หัวหน้าร้องบอกมาแต่ไกล
“ซุ่มโจมตีอะไรกัน” ทหารผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเอื่อย “เผ่าวิญญาณไม่บุกเข้ามาหรอก มีแต่จะหลบแล้วคอยควบคุมเรามากกว่า ยังไม่ทันรู้ตัวก็จบแล้ว”
“ใช่ ข้าเป็นทหารมานาน แต่ยังไม่เคยเห็นทหารกลุ่มใหญ่มาก่อนเลย”
คนหนึ่งแทรกขึ้น “พวกเราก็เป็นทหารกลุ่มใหญ่ไม่ใช่หรือ?”
ทั้งหมดหัวเราะขึ้น
แต่หัวเราะกันอยู่ ทหารคนหนึ่งก็รู้สึกผิดปกติ
เขาแหงนมองฟ้า ก่อนหน้าจะเปลี่ยนสี “ห… หัวหน้า !”
“อะไรหรือ ?” คนหัวหน้าเอ่ยถามไม่รีรอ
เขาตะกุกตะกัก “ม… มีทหารกองใหญ่ อ… อยู่ขอรับ”
“อะไรนะ ?” หัวหน้าทหารชะงักไป หมุนดูรอบกาย “เจ้าจะเล่นอะไรกัน ? เผ่าวิญญาณไปเอาทหารกองทัพใหญ่มาจากไหน ?”
ทหารนายนั้นชี้ไปเหนือหัว “อยู่… อยู่บนนั้นขอรับ”
คนที่เหลือจึงหันหน้ามองฟ้าแล้วตกตะลึงไปในพลัน
พวกเขามองผู้เชี่ยวชาญพลังนับไม่ถ้วนบินผ่านไป พุ่งออกไปยังท้องฟ้าสีดำมืดเบื้องหน้า