บทที่ 516.2 ขัดเกลา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิ่วจื้อชิงจำต้องถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง “ไม่เจ็บจริงๆ หรือ?”

ตอนนั้นเฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

หลังจากประมือกันไปสามครั้ง

ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน

ทั้งเฉินผิงอันและหลิ่วจื้อชิงต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแต่ว่าไม่มีใครยินดีพูดออกมาก็เท่านั้น

ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยชอบเก็บตัวสันโดษของหลิ่วจื้อชิงแล้ว มีหรือจะยินดีไปช่วยเป็นหน้าม้าให้เฉินผิงอันที่ร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหว แถมยังฝืนใจ ฝืนนิสัยของตัวเองลากโครงกระดูกขาวโครงหนึ่งเดินไปบนถนนด้วย?

เวลานี้เบื้องใต้หน้าผาอวี้อิ๋งกลับคืนสู่ทัศนียภาพที่ก้นบ่อน้ำมีประกายแสงเรืองรอง สิ่งที่สูญหายไปได้กลับคืนมาที่เดิมอีกครั้ง มองดูแล้วน่าประทับใจเป็นพิเศษ หลิ่วจื้อชิงจึงอารมณ์ดีไม่น้อย

ส่วนเรื่องที่สะพานแห่งความเป็นอมตะของเฉินผิงอันขาดสะบั้น

แม้หลิ่วจื้อชิงจะตื่นตะลึงอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง แต่เขากลับไม่คิดจะถามให้มากความ

หลิ่วจื้อชิงสลายเจียวเพลิงตัวเล็กเรียวยาวสองเส้นที่เกิดจากการรวมตัวกันของอักขระยันต์บนโต๊ะออกไป ถามว่า “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นอะไร ช่วงเวลาที่อยู่บนถนนเหล่าไหวข้าทั้งหาเงินและรักษาตัวไปพร้อมๆ กัน”

หลิ่วจื้อชิงถามอีก “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าตำราหมัดที่เป็นพื้นฐานวิชาหมัดของเจ้ามาจากแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปเรา มีเบาะแสเกี่ยวกับมดแดงย้ายหินลงน้ำ ตอนนี้ได้คำตอบบ้างหรือยัง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้เพื่อประหยัดแรงกายแรงใจเวลาหาเงินจึงป่าวประกาศไปว่าทางร้านจะไม่มีการลดราคาเด็ดขาด เป็นเหตุให้ข้าเสียโอกาสที่จะพูดคุยกับคนอื่นไปไม่น้อย ค่อนข้างจะน่าเสียดายอยู่สักหน่อย”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้า “สมควรแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างจนใจ

นอกจากประวัติความเป็นมาของตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นแล้ว อันที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่ง

นั่นก็คือโศกนาฎกรรมที่ปีนั้นเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวดับสูญอยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แต่ไม่ต้องให้เฉินผิงอันไปถาม เพราะย่อมไม่ได้คำตอบใดๆ ตระกูลเซียนแห่งนั้นปิดภูเขาไปหลายปีแล้ว ก่อนหน้านี้ในรายงานข่าวปึกที่ภูตน้ำน้อยซื้อมาจากบนเรือข้ามฟากก็มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับภูเขาต่าเจี้ยวอยู่สองสามข่าว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข่าวลือไร้แก่นสารที่เล่าลือกันไปอย่างส่งเดช อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นแค่คนต่างถิ่นคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ให้ไปถามเรื่องวงในของภูเขาต่าเจี้ยว ย่อมมีเรื่องไม่คาดฝันอย่างคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิตเกิดขึ้น เฉินผิงอันย่อมต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าจะไปเยือนภาคกลางของอุตรกุรุทวีป ไปท่องแม่น้ำใหญ่เส้นที่ไหลผ่านจากตะวันออกจรดตะวันตกของทวีปแล้วไหลลงสู่มหาสมุทรเส้นนั้นดูสักหน่อย

จุดที่ต้องหลบเลี่ยงอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าต้องเป็นตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน

หากไม่พูดถึง ‘บัณฑิต’ ซึ่งเป็นร่างจำแลงจากความคิดอันชั่วร้ายที่ถูกหล่อหลอมให้เล็กเท่าเมล็ดงา อันที่จริงหยางหนิงซิ่งผู้นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ล้อมวนอยู่รอบกายคนหนึ่ง

แต่ชื่อเสียงของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนในอุตรกุรุทวีปกลับมีทั้งดีและร้ายปะปนกัน อีกทั้งเวลาทำอะไรก็มักจะเผด็จการและอารมณ์รุนแรงอยู่เสมอ นี่ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า

ดังนั้นการเดินทางไปเยือนแม่น้ำใหญ่ที่เส้นทางยาวไกล การตรวจสอบภูเขาแม่น้ำ ศาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของแต่ละแคว้นจึงเป็นสิ่งที่เฉินผิงอันต้องระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไร หากไม่พูดถึงเรื่องแผนการของลู่เฉิน ในเมื่อนั่นเป็นโชควาสนาในการพิสูจน์มรรคาของเด็กชายชุดเขียวของบ้านตนในอนาคต อีกทั้งเฉินผิงอันยังเคยอนุมานเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมากับชุยตงซานและเว่ยป้อมาก่อน พวกเขาต่างก็คิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สามารถทำได้ ดังนั้นเฉินผิงอันย่อมทุ่มเททำเรื่องนี้อย่างเต็มที่

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีสืออู่พากันบินออกมา

หลิ่วจื้อชิงชำเลืองตามองแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ย่ำยีวัตถุสวรรค์”

อันที่จริงเขามองออกตั้งนานแล้วว่ากาเหล้าสีชาดใบนั้นคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่ง อาศัยการดูภาพปรากฎการณ์ภายนอกของมันครึ่งหนึ่งและการคาดเดาของตัวเองครึ่งหนึ่ง

ส่วนข้อที่ว่ากระบี่บินสองเล่มซึ่งยังมองไม่ออกว่าระดับขั้นสูงเท่าไรนี้มาตกอยู่ในมือของเฉินผิงอัน แล้วเขาเอ่ยคำว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์นั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการใส่ร้าย ‘พี่ชายคนดี’ ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเนิบช้า “ความเร็วของกระบี่บินทั้งสองเล่มนี้ หากผู้ฝึกกระบี่หล่อหลอมมันจริงๆ จะต้องเร็วมาก น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด และพวกมันก็ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้า ข้าไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเฒ่าที่เจ้าพูดถึงคนนั้นพลังสังหารเป็นอย่างไร และยังไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์อันแปลกประหลาดของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเขา อย่างน้อยความเร็วของกระบี่บินเขาก็ช้ามากจริงๆ หากเจ้ารู้สึกว่ายกเว้นข้าหลิ่วจื้อชิงแล้ว กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในอุตรกุรุทวีปเราล้วนช้าเป็นเต่าคลานเช่นนั้น หลังจากนี้เจ้าก็ต้องเจอเรื่องลำบากใหญ่หลวงแน่ ยามที่ผู้ฝึกกระบี่เซียนดินตั้งคำสัตย์ว่าจะเข่นฆ่ากับใครขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ได้ออกกระบี่ด้วยแรงสิบส่วนเท่านั้น หลังจากร่ายวิชาอภินิหารซึ่งอาจเผาผลาญพลังต้นกำเนิดโดยไม่เสียดายแล้ว สิบสองส่วนก็ยังเป็นไปได้”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมา กระบี่บินจิ๋วสองเล่มหนึ่งขาวหิมะหนึ่งเขียวมรกตก็พากันมาลอยอยู่กลางฝ่ามือของเขา สายตาของเขาทอดมองไปยังชูอีที่มีชื่อเดิมว่าเสี่ยวเฟิงตู “ช่วงแรกเริ่มสุด ข้าอยากหลอมมันให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตนอกเหนือจากห้าธาตุ หากโชคดีทำสำเร็จ ไม่กล้าพูดว่าจะดีเท่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่เทียบกับสภาพการณ์ในตอนนี้ แน่นอนว่าย่อมแข็งแกร่งกว่ามาก เพราะคนที่มอบมันให้ข้า ข้าไม่ระแวงแคลงใจในตัวเขา เพียงแต่ว่ากระบี่บินเล่มนี้ไม่ค่อยเต็มใจนัก แค่ยินดีติดตามข้าไป คอยอยู่อาศัยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เท่านั้น และข้าก็ไม่อยากจะบังคับมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่คิดจะบังคับก็ทำไม่ได้ด้วย”

เส้นสายตาของเฉินผิงอันขยับเบี่ยงมามองกระบี่บินสืออู่ “เล่มนี้ ข้าชอบมาก คนที่ทำการค้ากับข้า ข้าเองก็ใช่ว่าไม่เชื่อใจเขา ตามหลักแล้วสามารถพูดได้ว่าไม่มีความกังขาในตัวเขาเลย แต่ข้าก็กลัว กลัวหนึ่งในหมื่นนั้น ดังนั้นจึงรู้สึกผิดต่อมันมาโดยตลอด”

หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “การหลอมกระบี่บินที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ ยิ่งระดับขั้นสูงเท่าไรก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น ข้าจะพูดแค่เรื่องเดียว เจ้ามีช่องโพรงลมปราณสำคัญที่เหมาะจะให้พวกมันพักพิง บำรุงความอบอุ่นและเติบโตหรือ? หากเรื่องนี้ทำไม่ได้ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องหวัง นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าหาเงินเทพเซียนมาได้มากน้อยเท่าไร หรือมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินมากน้อยเท่าไร เหตุใดผู้ฝึกกระบี่ถึงมีราคาแพงที่สุดในโลก คำกล่าวนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “มี แถมยังมีถึงสามแห่งด้วย”

หลิ่วจื้อชิงพลันเอ่ยว่า “คนแซ่เฉิน เจ้าช่วยสอนข้าด่าคนหน่อยสิ!”

เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าคนนี้ วิชาหมัดยังถือว่าพอมีน้ำหนักอยู่บ้าง แต่กลับด่าคนตำหนิคนไม่เป็นที่สุด”

หลิ่วจื้อชิงลุกขึ้นยืน “ไม่มีอะไรให้คุยแล้ว ไปล่ะ”

เฉินผิงอันเองก็ลุกตาม เขาหุบรอยยิ้ม ถามว่า “หลิ่วจื้อชิง ก่อนเจ้าจะกลับไปชำระล้างกระบี่ที่ตำหนักจินอู ข้ายังอยากถามเจ้าเรื่องสุดท้าย”

หลิ่วจื้อชิงกล่าว “เชิญพูดมาได้เลย”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เจ้าอาศัยอะไรถึงจะต้องให้ทุกเรื่องในตำหนักจินอูสมดังใจปรารถนาของเจ้า?”

หลิ่วจื้อชิงเงียบงันไม่ตอบคำถาม

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนจะชำระล้างกระบี่ เจ้าควรจะคิดให้กระจ่างเสียก่อนจึงจะดี”

หลิ่วจื้อชิงคลี่ยิ้ม “ง่ายมาก ขอแค่ข้าชำระล้างกระบี่สำเร็จ ตำหนักจินอูก็จะมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ได้รับความยากลำบากจากการชำระล้างกระบี่ของข้า ในอนาคตก็จะได้เสวยสุขจากการมีก่อกำเนิดคอยปกป้อง”

เฉินผิงอันเบ้ปาก “ผู้ฝึกกระบี่ทำอะไรตรงไปตรงมาดีจริงๆ”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นจะให้เอาอย่างเจ้า วันๆ นั่งอาบแดดอยู่หน้าประตูร้าน แล้วก็มาเก็บก้อนหินในลำธารอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไสหัวไปเถอะ เห็นเจ้าแล้วก็รำคาญ พอคิดถึงว่าเจ้าอาจจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยิ่งรำคาญเข้าไปใหญ่ วันหน้าหากได้ประมือกันอีกครั้ง จะยังให้เซียนกระบี่หลิ่วอย่างเจ้ากินดินอีกได้อย่างไร”

หลิ่วจื้อชิงหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าน่ะหรือรำคาญ? หินไข่ห่านในน้ำของหน้าผาอวี้อิ๋ง เดิมทีเป็นหินที่มีราคาแค่ไม่กี่ร้อยตำลึงเงิน แต่เจ้าก็ขายได้ราคาสูงเทียมฟ้าตั้งหนึ่งหรือสองเงินเกล็ดหิมะไม่ใช่หรือ? ข้าว่าเจ้าเองก็น่าจะคิดไว้เรียบร้อยแล้วว่า จะยังไม่รีบร้อนขายหินไข่ห่านสี่สิบเก้าก้อนนั้นก่อน เอาเก็บไว้ รอให้ได้ราคาดีแล้วค่อยขาย ทางที่ดีที่สุดรอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดแล้วค่อยเอาออกมาขายมากกว่ากระมัง?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “เจ้าไม่เรียนรู้การทำการค้าจากข้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ เป็นคนที่สั่งสอนได้ เป็นคนที่สั่งสอนได้”

ในขณะที่หลิ่วจื้อชิงเตรียมจะขี่กระบี่เดินทางไกล เฉินผิงอันก็พลันเอ่ยว่า “มีคำแนะนำเล็กๆ ที่ไม่เก็บเงินให้แก่เจ้า ไปถึงตำหนักจินอูแล้วอย่าเพิ่งรีบร้อนชำระล้างกระบี่ สามารถเป็น…นักบัญชีดูก่อนได้ เอาสำเนาของทำเนียบวงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์มาวางไว้ข้างมือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็มองดูตำหนักจินอูผ่านทางยอดเขาของตัวเองเงียบๆ ไปสักปีครึ่งปี มองดูการกระทำและคำพูดของผู้ฝึกตนทุกคนอยู่ไกลๆ ใครพูดอะไร ใครทำอะไรบ้าง ล้วนจดเอาไว้ แล้วเอามาเปรียบเทียบกับชาติกำเนิดแรกเริ่มสุดกับขอบเขตปัจจุบันของพวกเขาดู คิดให้มากหน่อยว่าทำไมพวกเขาถึงต้องพูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ยิ่งเจ้ามองดูอยู่นานเท่าไรมากเท่าไร ก็จะยิ่งเรียบเรียงความคิดและเส้นสายในหัวใจของคนได้ชัดเจนมากเท่านั้น เหมือนเทพมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ ในอนาคตเมื่อเจ้าลงมือชำระล้างกระบี่ ก็น่าจะยิ่งราบรื่นมากกว่าเดิม”

หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ตกลง”

เฉินผิงอันโบกมือลา “ขออวยพรล่วงหน้าให้เซียนกระบี่หลิ่วชำระล้างกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่งออกมาได้”

หลิ่วจื้อชิงถาม “เจ้าจากไปแล้ว ร้านที่ถนนเหล่าไหวจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไหว้วานลูกศิษย์คนใดของซ่งหลานเฉียวหรือผู้ฝึกตนคนใดของเรือนเย่ฉ่าวก็ได้แล้ว ส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่ง สมบัติอาคมไม่กี่ชิ้นที่ข้าทิ้งไว้ในร้าน มีมงกุฎทองเล็กใหญ่ที่เป็นคู่อยู่คู่หนึ่ง แล้วก็มีเก้าอี้มังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นหนึ่งตัว ถึงอย่างไรราคาก็ตายตัวอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นพอกลับมาถึงร้าน ตรวจสอบสินค้าดูก็รู้แล้วว่าควรได้เงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไร หากข้าไม่อยู่ร้านแล้วของหายหรือถูกขโมยไป คิดดูแล้วทางสวนน้ำค้างวสันต์ก็น่าจะชดใช้ให้ในราคาเดิม สรุปก็คือข้าไม่ต้องกลัดกลุ้ม จะน้ำท่วมหรือมีภัยแล้งก็รับประกันว่าต้องได้ผลเก็บเกี่ยวแน่นอน”

ส่วนวัตถุอย่างพวกชุดคลุมอาคมสีม่วงนั้น เฉินผิงอันไม่มีทางขาย

วัตถุตระกูลเซียนประเภทนี้ค่อนข้างจะมีความพิเศษ หาได้ยากอย่างถึงที่สุด คล้ายคลึงกับเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร ส่วนใหญ่แล้วราคามักจะเพิ่มขึ้นสูงเรื่อยๆ แต่กระนั้นก็ยังหาซื้อได้ยาก วันหน้าเมื่อมีคนมากขึ้นในภูเขาลูกต่างๆ ซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่ว มีแต่จะเจ็บใจว่ามีของประเภทนี้น้อยเกินไป

หลิ่วจื้อชิงพลันมีสีหน้าลังเล

เฉินผิงอันจึงเอ่ย “ถูกใจชิ้นไหน? สหายส่วนสหาย การค้าส่วนการค้า อย่างมากสุดข้าสามารถแหกกฎลดราคาให้เจ้าได้…แปดส่วน ลดมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “ภาพเทพหญิงบนกระดาษไขของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูกมีอยู่ตั้งหลายชุด เจ้าขายในร้านด้วยราคาสองเหรียญเงินร้อนน้อย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเก็บเอาไว้อีกไม่น้อย เจ้ายกให้ข้าสักชุดหนึ่งเป็นอย่างไร? พูดเรื่องเงินทองทำลายมิตรภาพ ลดแปดส่วนไม่แปดส่วนอะไรกัน ข้าไม่ซื้อ เจ้ายกให้ข้าก็พอ”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังทิศทางของถนนเหล่าไหว “อยู่ไกลมากเลยล่ะ”

หลิ่วจื้อชิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าสามารถไปเอาที่ร้านผีฝูด้วยตัวเองได้ คราวหน้าเจ้าก็จำไว้ว่าต้องเปลี่ยนกุญแจลูกใหม่ด้วย”

เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะหยิบเอาภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มที่อยู่ในวัตถุจื่อชื่อออกมามอบให้กับหลิ่วจื้อชิงพร้อมกับกล่องบรรจุ

หลิ่วจื้อชิงเก็บไว้ในชายแขนเสื้ออย่างพึงพอใจ

สาวงามทัศนียภาพที่งดงาม สุราดีชารสเลิศ เขาหลิ่วจื้อชิงล้วนชื่นชอบ สาวใช้หลายสิบคนที่อยู่บนยอดเขาหรงจู้ของเขานั้นล้วนมีหน้าตางดงามโดดเด่น แต่ก็แค่เอาไว้มองให้สบายตาเท่านั้น อีกอย่างหากยอดเขาหรงจู้ไม่รับพวกนางไว้ ด้วยหน้าตาและพรสวรรค์อันดาษดื่นของพวกนาง หากตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฮูหยินเจ้าของตำหนักที่เป็นศิษย์หลานของเขาคนนั้นก็หนีไม่พ้นได้ไปเพิ่มริ้วคลื่นสายฟ้าให้แก่บ่อสายฟ้าในวันใดวันหนึ่งเท่านั้น

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงข้ายังมีผลงานที่ผังซานหลิ่งภาคภูมิใจที่สุดอยู่อีกสองชุด เทียบกับภาพฉบับเติมเต็มที่ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกแล้วก็ยังมีความต่างราวก้อนเมฆกับดินโคลนอยู่ดี”

หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “เจ้าเก็บไว้เถอะ วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาสองนิ้วแล้วถูเข้าด้วยกันเบาๆ

หลิ่วจื้อชิงคำรามเดือดดาล “ไม่มีเงิน!”

เฉินผิงอันเก็บมือลงไป ยิ้มกล่าวว่า “ภาพเทพหญิงสองชุดนั้นไม่อาจมอบให้เจ้าได้จริงๆ แต่วันหน้ารอให้ข้าได้กลับไปที่สำนักพีหมาจะลองคุยกับท่านอาจารย์ผังดู ดูสิว่าจะขอให้ท่านผู้อาวุโสจับพู่กันวาดให้ได้หรือไม่ หากสำเร็จ ข้าจะส่งไปให้ที่ยอดเขาหรงจู้ตำหนักจินอู หากไม่สำเร็จ เจ้าก็คิดเสียว่าไม่มีเรื่องนี้แล้วกัน”

หลิ่วจื้อชิงขี่กระบี่ไปจากหน้าผาอวี้อิ๋ง

ส่วนเฉินผิงอันก็เรียกเรือยันต์ลำเล็กออกมา ย้อนกลับไปยังทะเลไผ่

—–