“เมื่ออยู่บนเตียงบรรทม จะต้องทุ่มเทจิตใจถวายการปรนนิบัติ เทียนตี้ทรงมีพระวรกายแข็งแรง เจ้าจะต้องรักษาสุขภาพให้ดี”
“…..”
ฮว๋ายยู่ร่ายยาวออกมาราวกับนับเม็ดไข่มุกในบ้าน ทั้งยังต้องการให้ตู๋กูซิงหลันจดจำเข้าไปให้หมด
พอเอ่ยถึงเทียนตี้ แววตาของนางก็ทอประกายสดใส ราวกับว่ารักใคร่บุรุษผู้นี้จนถึงแก่นกระดูก เกรงว่าผู้อื่นจะปรนนิบัติเขาได้ไม่ดี
ตี้เสียทรงยืนอยู่ที่ข้างนอหน้าต่าง รับฟังอย่างเงียบงัน
ฮว๋ายยู่อุปนิสัยนุ่มนวลกว่าผู้ใดเสมอมา หากว่าจู่ฮว๋ายจะมีความใส่ใจได้สักหนึ่งในสิบของนางบ้างเขาก็คงไม่เสียทีที่ต้องเฝ้าทนรอมาเนิ่นนานหลายปี
ตู๋กูซิงหลันฟังหูซ้ายก็ทะลุออกไปทางหูขวา ไม่เข้าใจเลยว่า ฮว๋ายยู่ไปถูกใจเจ้าพ่อม้านี่ที่ตรงไหน?
ถูกตราประทับดวงอาทิตย์บนหน้าผากของเขาทำเอาตาบอดไปหรือไง?
ตอนนี้ในสมองของนางมีแต่ความชอบของจีเฉวียน
เขาไม่ชอบให้คนผายลม ต่อไปนางจะต้องไม่ตดต่อหน้าเขาอีก
เขาไม่ชอบให้คนพูดมาก นางจะพยายามพูดให้น้อยลงหน่อยก็แล้วกัน
เขาชอบกินขนมกุ้ยฮวาเกา ตอนนี้นางทำเป็นแล้ว
เขาอยากให้โลกมีสันติสงบสุข นางก็จะทุ่มเททั้งชีวิตต่อสู้เพื่อสิ่งนี้
เขา…ชอบนาง
พอดีเชียว นางก็ชอบเขาเช่นกัน
พอคิดไปว่าอีกไม่นานก็จะได้เจอเขาแล้ว มุมปากของตู๋กูซิงหลันก็อดจะโค้งขึ้นมาไม่ได้ แม้แต่ด้วยตาก็ยังมีรอยยิ้ม
ฮว๋ายยู่กวาดพระเนตรมองมารอบหนึ่ง พอดีได้เห็นรอยยิ้มอบอุ่นในแววตาของนางเข้า
ประกายตาเช่นนั้นนางเองก็รู้จักดี นั่นเป็นประกายตาที่ีมีต่อคนรักอย่างแน่นอน
นางมารนั่นยังจะกล้ามาพูดกับนางว่าตนเองมิได้พอใจในตัวองค์เทียนตี้อีก?
ดูแววตานั่นสิ แทบจะรอคอยที่จะได้ร่วมสัมพันธ์กับเทียนตี้จนทนไม่ไหว!
ฮว๋ายยู่คลี่ยิ้มเย็นชาอยู่ในพระทัย ต่อให้นางได้เข้าวังมา แล้วจะอย่างไร?
เมื่ออยู่ใต้นัยตาของตน ยังจะไม่มีวิธีให้นางต้องใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตายอีกหรือ!
“เห็นเจ้าดูมีความสุขเช่นนี้ แสดงว่าคงจะมีเทียนตี้อยู่ในหัวใจของเจ้าแล้ว ข้าก็พอจะวางใจได้แล้ว”
ว่าแล้ว ฮว๋ายยู่ก็ลุกขึ้นยืน
พวกนางทั้งสองไม่เพียงแต่มีดวงตาที่เหมือนกัน แม้แต่รูปร่างก็ละม้ายจนมิได้แตกต่างจากกันสักเท่าไร เพียงแต่ท้องของฮว๋ายยู่จะใหญ่กว่าเล็กน้อยเท่านั้น
นางยืนอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ด้วยแววเนตรที่เย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง แต่สีพระพักตร์ยังคงอบอุ่นดุจสายน้ำ
ตู๋กูซิงหลันยื่นริมฝีปากส่งจูบให้นาง “มั๊วะ..”
ฮว๋ายยู่ “….” หัวใจที่พึ่งจะสงบลงต้องว้าวุ่นขึ้นมาอีกในทันที ทั้งยังรู้สึกขนลุกไปทั้งร่าง!
นางไม่ต้องการมาเจอกับนางมารผู้นี้อีกแล้ว!
ดังนั้นนางจึงมิได้รั้งอยู่อีกต่อไป ร่างกายเป็นแสงสว่างกลุ่มหนึ่ง หายวับไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูซิงหลันมองดูผ้ารัดอกที่ถูกม้วนเอาไว้และวางอยู่บนเตียง แววตาต้องเย็นยะเยือกขึ้นมา
…………..
ท้องฟ้าสว่างแล้ว หมอกในยามเช้าปกคลุมไปทั่วทั้งแดนสวรรค์
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังจดจ้องไปยังเจดีย์กำราบมารที่อยู่ด้านนอก ตี้เสียก็ปรากฏพระองค์ขึ้นมาอย่างกระทันหัน
พอสลายแสงสีทองบนร่างออกไป ร่างท่อนบนของเขาก็แทบจะเปลือยเปล่า เส้นเกศาสีทองพลิ้วอยู่ในอากาศ ดวงพักตร์หล่อเหลาคมคายอย่างที่สุด
เขาเสด็จมาตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน รัศมีสีทองที่ด้านหลังแทบจะสกัดกั้นแสงสว่างจากบนหลังคาเอาไว้จนหมดสิ้น
พระองค์หรี่ดวงเนตรลง ทอดเนตรมองดูตู๋กูซิงหลันที่นั่งอยู่บนพื้น “กำลังรอเราอยู่หรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “….”
“เรามีภารกิจมากมาย ย่อมไม่อาจมาหาเจ้าได้ตลอดเวลา”
ตู๋กูซิงหลันหัวเราะฮาฮาอยู่ในใจ เออเนอะ พ่อพันธุ์ม้าย่อมต้องวุ่นวายกับเรื่องผสมพันธุ์ไปทั่ว
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เรื่องที่เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นพระสนม เจ้าคงจะได้ยินจากเทียนโฮว่มาแล้วสินะ?”
ตู๋กูซิงหลัน “จะไม่ได้ยินได้อย่างไร?” ตี้เสียทอดพระเนตรมองดูผิวพรรณที่ขาวสะอาจดุจหิมะของนาง ในพระทัยก็ยิ่งเปรมปรี
“พรุ่งนี้ยามพลบค่ำ เจ้าและข้าก็จะได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว” พระองค์ถอนพระทัยยาว วันเช่นนี้พระองค์รอคอยมานานแสนนานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ในที่สุดก็จะได้ตัวนางมาแล้ว
เพียงแต่ว่ายังมีปัญหาใหญ่อยู่ข้อหนึ่ง ตอนนี้นางยังเป็นเพียงแค่จิตวิญญาณ พอจะร่วมเตียงกันย่อมรู้สึกว่าแปลกๆอยู่บ้าง
ดังนั้นพระองค์จึงได้สั่งให้แม่ทัพสวรรค์และนักรบสวรรค์ลงไปยังโลกเบื้องล่างเพื่อตามหาร่างเนื้อของนาง
สัมผัสที่อบอุ่นนุ่มนวลประดุจหยก หากได้โอบกอดเอาไว้ย่อมรู้สึกสุขสบาย
ว่าแล้วตี้เสียก็เขยิบเข้าไปใกล้นางอีกนิด พลางยื่นพระหัตถ์ออกมา คิดจะโอบกอดนางเอาไว้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจทำให้พระองค์หักห้ามพระทัยได้
พระทัยที่เฝ้าคะนึงหามาเนิ่นนาน ก็เหมือนกับลาที่หิวกระหายในแดนทะเลทรายพลันได้เห็นน้ำแร่หยดหนึ่ง พระองค์ย่อมอยากจะลงมือจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไป สกัดตี้เสียเอาไว้
“อย่า ก็แค่เมียน้อย ใช่สามีภรรยาที่ไหนกัน?”
น้ำเสียงเช่นนี้เหมือนจะมีความขุ่นเคืองอยู่บ้าง
ตี้เสียทรงชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เข้าใจไปว่านางคงจะกำลังโกรธที่ตนมิได้แต่งตั้งนางเป็นเทียนโฮว่
“ฮว๋ายเอ๋อร์ เทียนโฮว่ติดตามเรามานานหลายหมื่นปี ทั้งยังให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง ตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์ เราย่อมไม่อาจผิดต่อนางได้”
เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน ตี้เสียก็ทรงมีความอดทนอย่างหาได้ยาก
พระองค์ตรัสต่อไปว่า “แต่ว่าเรารักเจ้าอย่างจริงใจ เจ้าคือสตรีที่เรารักที่สุด ตั้งแต่เมื่อก่อน จนถึงบัดนี้ก็ยังใช่”
ตู๋กูซิงหลันอยากจะขำแทบตายแล้ว เขาช่างตลกจริงๆ!
นางไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น คร้านจะพูดกับเขาต่อไป
เห็นนางไม่พูดไม่จา ตี้เสียก็เข้าใจว่านางคงจะโกรธเคือง จึงตรัสอย่างปลอบโยนว่า “หากว่าภายหน้าเจ้ามีบุตรชายให้เรา เราจะแต่งตั้งเจ้าเป็นเทียนโฮ่ววังตะวันออกดีหรือไม่?”
โอ้โห เอาแบบนี้เลยนะ?
“เทียนโฮว่วังตะวันออกมีฐานะทัดเทียมเทียนโฮว่วังตะวันตก เช่นนี้เราจะได้มิต้องผิดต่อทั้งสองฝ่าย” ตี้เสียตรัสด้วยดวงเนตรที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึก
มีคนบางคน ทั้งๆที่เจ้าชู้เสเพลถึงแก่นกระดูก แต่ก็ยังคิดว่าตนเองจริงใจโดยมิได้ผิดต่อผู้ใดทั้งสิ้น
ตี้เสียก็เป็นคนเช่นนี้เอง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาช่างขี้โม้อย่างที่สุด!
“ฮว๋ายเอ๋อร์ มิว่าอย่างไร ความจริงใจที่เรามีต่อเจ้านั้นฟ้าดินล้วนเป็นพยานได้ เจ้าเองก็มีใจให้เราถึงได้ยอมรับเราอย่างเต็มใจมิใช่หรือ?”
การแสดงออกของตี้เสียเมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลันย่อมแตกต่างจากยามที่อยู่ต่อหน้าฮว๋ายยู่
ฮว๋ายยู่ตามใจพระองค์ เอาอกเอาใจห่วงใยอยู่เสมอ
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันนั้นเหมือนดั่งกุหลาบดอกหนึ่ง ทั้งหยิ่งทนงและแหลมคม พระองค์ได้แต่ต้องเอาอกเอาใจนาง
แต่เพราะองค์ก็เต็มพระทัยที่จะทำ
ต่อให้ตู๋กูซิงหลันจะมีท่าทีเช่นไร แต่ในสายตาของพระองค์ ล้วนสามารถกระตุ้นให้ร่างกายของพระองค์เกิดความกระสับกระส่ายได้ทั้งสิ้น
นั้นเป็นความปรารถนาที่อธิบายไม่ถูก เพียงต้องการหลอมรวมนางเข้ากับเลือดเนื้อของตน โปรดปรานให้เต็มที่
ในที่สุดก็ทรงอัดอั้นจนทนไม่ไหว พริบตาเดียวก็ขยับเข้าไปถึงเบื้องหน้าของนาง พระหัตถ์ข้างหนึ่งคว้าเอวของนาง พระหัตถ์อีกข้างสอดเข้าไปในเส้นผมของนาง ส่งริมโอษฐ์เข้าไปที่ริมใบหู ผลักนางจนชิดติดกำแพงห้อง
กระแสลมอุ่นร้อนพวยพุ่งอยู่ที่ริมใบหูของนาง “ฮว๋ายเอ๋อร์ เรารักเจ้าแทบเป็นแทบตายแล้ว ยิ่งปรารถนาจะได้ครอบครองเจ้า”
“ให้ข้า ได้หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลัน “! ! !” ให้เจ้ากับผีน่ะสิ! เป็นบ้าไปแล้วรึ!
น่ารังเกียจฉิบห++! %%!
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่วิญญาณ แต่ว่านางก็รู้สึกขนลุกขนพอง จนทุกสิ่งในท้องแทบจะพลิกกลับหมดแล้ว
พระโอษฐ์ของตี้เสียอยู่ที่ริมใบหู หากขยับอีกนิดก็จะสัมผัสใบหูของนางอยู่แล้ว
ยิ่งได้ใกล้ชิด ตี้เสียก็ยิ่งทรงปรารถนาจะครอบครองนาง
สตรีผู้นี้ ที่ผ่านมาวางตนสูงส่งอยู่บนปลายยอด ทั้งยังปฏิเสธอย่างแข็งขันมาตลอด
มิว่าพระองค์จะทรงอ้อนวอนสักเท่าไร ก็ไม่เคยตอบรับ
วันนี้คนมาอยู่ในอ้อมพระกรแล้ว ไหนเลยจะยังทนต่อไปได้อีก?
พอคิดเช่นนี้แล้ว ริมโอษฐ์ของพระองค์ก็พุ่งเข้าไปยังเบื้องหน้า
ตู๋กูซิงหลันยกขางอเข่าขึ้นมาแล้ว กะจะทักไอ้น้องชายของเขาให้เต็มที่!
แต่ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงร้องคำรามดังมาจากด้านนอก
พร้อมกันนั้น ทั่วทั้งพระราชวังก็สั่นสะเทือนขึ้นมา
สีพระพักตร์ของตี้เสียเปลี่ยนไปในทันที
…………………