ร่างกายของหลิ่วหมิงขยับเล็กน้อย ใบหน้าทำหน้าไม่ถูกคล้ายยังปรับตัวกับความเย็นสายนี้ไม่ได้อยู่บ้าง แต่เขาไม่ลืมตากลับอดทนไว้

เขารู้สึกได้ถึงพลังของแสงสีน้ำเงินอย่างรวดเร็ว ความเจ็บปวดดุจเข็มทิ่มแทงบนร่างลดทอนลงไม่น้อยอย่างไม่รู้ตัว

สีหน้าของหลิ่วหมิงยินดีเล็กน้อย ดูท่ากำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์จะไม่เสียทีเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลโอวหยางจริงๆ เห็นชัดว่าไม่ได้มีผลชำระล้างจิตใจเท่านั้น

เขาใช้วิชาอีกครั้ง พลังจิตมหาศาลแผ่ไปยังเส้นลมปราณทั่วร่างควบคุมพลังเวทที่ถาโถมอยู่ไว้

หนึ่งเค่อ สองเค่อ เวลาผ่านไปทีละน้อย…

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ฉับพลันในหูหลิ่วหมิงก็ราวกับมีเสียงอสนีบาตนับไม่ถ้วนฟาดลงมา พลังเวทในเส้นลมปราณทั้งร่างรวมเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นธารพลังเวทมหึมาสายหนึ่ง ท้ายที่สุดแล่นตรงเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ

หัวใจเขาพลันเต้นแรง แต่เวลานี้เองรอบผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็มีเงาสีดำจางๆ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่นับไม่ถ้วนลอยออกมาขวางเบื้องหน้าพลังเวททั้งหมดไว้

เปรี้ยง!

พลังเวทที่ถาโถมมาถึงทยอยโจมตีลงบนเงาดำ ชั่วครู่หลังจากนั้นพวกมันก็แตกกระจายประหนึ่งฟองคลื่น

“ปรากฏออกมาแล้วจริง…‘กำแพงระดับ’ !” หลิ่วหมิงในใจเคร่งเครียด

กำแพงระดับที่ว่านี้ ความจริงหากเป็นคำเรียกทั่วไปก็คือคอขวดของระดับพลังที่อยู่เคียงคู่กับผู้ฝึกฝนทุกคนมาตลอดตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น

ทว่าคอขวดระดับพลังที่ผู้ฝึกฝนระดับต่ำพบอ่อนแออย่างยิ่ง ระดับพลังยิ่งสูง เครื่องพันธนาการที่กั้นขวางระดับพลังเช่นนี้ยิ่งใหญ่โต

โดยทั่วไปเมื่อผู้ฝึกฝนทั้งหมดทะลวงระดับแก่นเสมือนหรือแก่นแท้ กำแพงระดับถึงจะปรากฏออกมาชัดเจนมีรูปลักษณ์ใกล้เคียงวัตถุจริงเช่นนี้

ในเวลาเช่นนี้พรสวรรค์ในตัวแต่ละคนรวมถึงระดับความหนาแน่นและบริสุทธิ์ของพลังเวทที่สั่งสมมาจะเริ่มสำแดงผล!

กำแพงระดับของร่างจิตวิญญาณที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์กับชีพจรจิตวิญญาณพสุธาย่อมทะลวงง่ายกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก

หลิ่วหมิงถึงขนาดเคยเห็นในตำราที่นิกายยอดบริสุทธิ์บันทึกไว้ว่าในสมัยบรรพกาลมีตำนานจำนวนหนึ่งเล่าว่าร่างจิตวิญญาณที่ร้ายกาจบางชนิดถึงขนาดหลบเลี่ยงกำแพงระดับได้

หรือพูดอีกอย่างก็คือคนเหล่านี้ฝึกฝนไปจนถึงระดับแก่นแท้หรือกระทั่งระดับที่สูงกว่านั้นได้โดยไม่พบคอขวดสักนิด!

ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านในสมองของหลิ่วหมิงไป ร่างของตัวเขาเองคือร่างสามชีพจรจิตวิญญาณ พูดถึงพรสวรรค์แล้วนับได้ว่าเป็นจำพวกที่ด้อยที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนทั้งหมด

หลังความคิดแล่นเร็วรี่เขาก็ลืมตาขึ้นอย่างไม่ลังเลสักนิด มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวักเบาๆ แสงสีเขียวสายหนึ่งบินออกมาจากในกล่องหยกข้างกายจมหายเข้าไปในปากของเขา

นั่นคือโอสถหยกพิสุทธิ์เม็ดนั้นที่อินจิ่วหลิงมอบให้!

โอสถเข้าปากปุบก็ละลายกลายเป็นความอบอุ่นสายหนึ่งไหลไปทั่วสี่แขนข้าร้อยกระดูกของหลิ่วหมิงในพริบตา ปราณดำรอบร่างเขาพลุ่งพล่านตามออกมา หลังจากหมุนรอบหนึ่งก็กลายเป็นหนวดสีดำเส้นแล้วเส้นเล่าสะบัดบ้าคลั่งอยู่รอบตัวเขา

คลื่นพลังเวทที่ถูกขวางในเส้นลมปราณของเขารวมตัวกันอีกครั้งแล้วพุ่งปะทะกำแพงล่องหนในทะเลจิตวิญญาณระลอกแล้วระลอกเล่า

พลังเวทกับกำแพงระดับปะทะกันไม่หยุด ทำให้ความเจ็บปวดประหนึ่งเข็มทิ่มแทงในร่างหลิ่วหมิงเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง

แม้มีแสงสีน้ำเงินของกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็คล้ายไม่มีประโยชน์อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อในสมองเขาเวลานี้เหมือนมีใครบางคนถือเข็มเรียวเล็กนับไม่ถ้วนทิ่มแทงเข้ามาด้านใน แม้หลิ่วหมิงเป็นคนอดทนก็อยากยื่นมือเข้าไปตะกุยสักครั้งสองครั้งยิ่งนัก

“ฟู่…”

ในเวลาเดียวกับที่หลิ่วหมิงควบคุมพลังเวทให้ทะลวงคอขวด เขาก็ลองปรับจังหวะลมหายใจ แต่ไม่ว่าเขาพยายามสงบจิตใจอย่างไร ความเจ็บปวดในสมองก็ไม่ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ถูกสิ ตอนนี้จิตมารคงเริ่มสำแดงเดชแล้ว!”

ในใจเขาฉุกคิดได้รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ค้นพบความผิดปกติได้ในทันที

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ในใจเขาเริ่มกระสับกระส่าย นี่ก็คือสัญญาณว่าจิตมารกำลังจะแผลงฤทธิ์!

หลิ่วหมิงใจสะท้าน ฉวยโอกาสกวักมืออย่างฉับไว โอสถชำระวิญญาณในกล่องหยกอีกใบหนึ่งฉับพลันกลายเป็นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งจมเข้ามาในปากเขาอย่างรวดเร็ว

กระแสเย็นสบายสายหนึ่งไหลไปตามคอของเขา จากนั้นละลายเข้าไปในท้องน้อยแล้วแผ่ออกจนเต็มในทันที แล้วจึงค่อยๆ ลอยขึ้นไปยังสมองของเขา

เขารู้สึกว่าสติแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย พลังจิตในทะเลจิตรับรู้เหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นอยู่บ้าง

“ไม่เสียทีเป็นโอสถล้ำค่าของตระกูลโอวหยาง ฤทธิ์ไม่ธรรมดาจริงๆ!” ในใจหลิ่วหมิงอุทานชมหนึ่งประโยค ความกระสับกระส่ายที่ผุดออกมาในใจเขาคล้ายจะลดทอนลงไปมากนัก

กระแสพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณไหลหลากพุ่งชนโจมตีอีกหลายหน เงาดำของกำแพงระดับในที่สุดก็เริ่มพังทลายเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง

“แครก!”

เสียงแผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยินเสียงนี้สั่นสะเทือนทะเลจิตรับรู้ของหลิ่วหมิงราวกับอสนีบาตเก้าชั้นฟาดดังกึกก้อง กระแสพลังเวทถาโถมไหลบ่ากลบเงาดำไว้ด้านในจนมิด

จิตวิญญาณของเขาแทรกอยู่ในพลังเวทอย่างไม่รู้ตัวแล้วทะลวงผ่านเงาดำของกำแพงระดับไปทันที

ผลสุดท้ายครู่ต่อมา เบื้องหน้าก็พลันดำมืด

ทุกสิ่งรอบด้านมลายหายไปในพริบตา สิ่งที่เข้าสู่สายตามีเพียงความมืดอันเป็นอนันต์ เสียงสักนิดก็ไม่มี ความเงียบสนิททำให้คนจิตใจว้าวุ่นอย่างห้ามไม่ได้

“ภาพมายา ไม่ใช่ นี่คือพลังของจิตมาร!”

หลิ่วหมิงหัวใจเต้นดังตึกตัก!

อย่างไรกำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์ก็ทำได้เพียงชำระล้างจิตใจคน ลดทอนผลของจิตมาร ไม่อาจขวางการปรากฏของจิตมารได้อย่างสมบูรณ์

เขาเลียริมฝีปาก นึกย้อนถึงวิธีขจัดจิตมารที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์และเรื่องๆ ที่อินจิ่วหลิงเคยเตือน หลังสูดลมหายใจทีหนึ่ง เขาก็สงบจิตใจก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า

ทว่าเขาเพิ่งเดินไปได้สองก้าว ความมืดอันเงียบสนิทก็แตกสลายในทันใด เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นทีหนึ่ง แสงสีแดงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า เปลวเพลิงร้อนผ่าวอย่างที่สุดสายหนึ่งโถมเข้ามา

ร่างกายหลิ่วหมิงพร่าเลือนวูบหนึ่ง ขยับหลบทันที แต่ทันใดนั้นข้างกายก็กลายเป็นทะเลเพลิง เนื้อหนังทั้งร่างของเขายังคงถูกเปลวเพลิงที่ผุดขึ้นมากะทันหันแผดเผา ความเจ็บปวดสาหัสทะลักออกมาทั่วทุกส่วนของร่าง

หน้าของเขาบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด เนื้อหนังบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีดำอีกครั้งท่ามกลางเปลวเพลิงที่แผดเผา ผิวหนังภายนอกม้วนหยิกเป็นรอยยับย่น บนมือและเท้าปรากฏตุ่มน้ำใสขนาดใหญ่ตุ่มแล้วตุ่มเล่า จากนั้นพวกมันก็ระเบิดดัง “ปัง” ต่อเนื่องกัน

เปลวเพลิงรอบด้านอุณหภูมิสูงขึ้นทุกที เสียยงลุกไหม้ดังขึ้นทุกที กลางอากาศเต็มไปด้วยลายคลื่นจางๆ ไอความร้อนน่าหวาดกลัวสายหนึ่งแผ่ท่วมท้น

หลิ่วหมิงลืมสองตาขึ้น แม้ความเจ็บปวดบนร่างจะสาหัสขึ้นทุกที แต่เขาก็ยังกัดฟันแน่น เดินไปด้านหน้าช้าๆ อย่างแน่วแน่ แต่ละก้าวล้วนสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ส่งมาทั่วร่าง

“ความเจ็บปวดนี่เป็นเพียงความรู้สึกลวง…” หลิ่วหมิงประคับประคองสติแจ่มชัดเสี้ยวสุดท้ายไว้มั่นขณะที่ก้าวต่อไปข้างหน้าทีละก้าวๆ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เปลวเพลิงที่ลุกโหมรอบด้านก็ถดถอยไปช้าๆ รอบด้านเปลี่ยนกลับมาเป็นโลกว่างเปล่าใบหนึ่งใหม่อีกครั้ง แผลไหม้และความเจ็บปวดบนร่างก็หายตามไปด้วย

“ฟู่…”

หน้าผากหลิ่วหมิงผุดเหงื่อเย็นออกมาจากนั้นสายตาก็ยิ่งแน่วแน่กว่าเดิม ยกเท้าก้าวยาวไปด้านหน้า

“หมิงเอ๋อร์!”

ทันใดนั้นเสียงบุรุษทุ้มต่ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นไกลๆ เบื้องหลัง ชั่วพริบตานั้นหลิ่วหมิงประหนึ่งถูกอสนีบาตฟาด ร่างกายสะท้านรุนแรง บนใบหน้าเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา เท้าหยุดลงอย่างห้ามตนเองไม่ได้

เสียงนี้สำหรับเขาแล้วเป็นความทรงจำอันห่างไกลยิ่งนัก แล้วก็เป็นเสียงที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำเขาไม่เคยลืมเลือน!

หลิ่วหยางจง ผู้ปกครองเขตแห่งเมืองหยางหยวน บิดาของเขา!

มารดาคลอดยากจึงเสียชีวิตไปตั้งแต่ยามให้กำเนิดเขา ตั้งแต่เล็กบิดาเลี้ยงดูเขามากับมือ ภาพที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำฉับพลันลอยขึ้นมาในใจหลิ่วหมิงทีละภาพๆ

ริมฝีปากหลิ่วหมิงสั่นระริก แต่หลังจากนั้นเขาก็ก้าวเท้าออกไปอีกครั้ง ก้าวเดินไปข้างหน้า สุดท้ายก็ไม่ได้หันกลับไปสักครั้ง

“หมิงเอ๋อร์ ได้เห็นเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ พ่อปลื้มใจนัก ตอนนี้พ่อกำลังจะไปแล้ว แต่ก่อนจากไปอยากพูดกับเจ้าสักคำ”

เสียงที่น่าเกรงขามและเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตาอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ในน้ำเสียงแฝงแววขอร้องนิดๆ

หลิ่วหมิงกัดฟันกดความต้องการที่จะหันกลับไปไว้ แล้วหักห้ามใจไม่หยุดก้าวเท้าเช่นเดิม

“โจรกบฏหลิ่วหยางจงใจกล้านักนะ! เจ้ากระทำผิดต่อจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หลอกลวงเบื้องสูง โทษหนักถึงประหาร วันนี้ข้าได้รับคำสั่งจากกรมอาญาให้มาจับกุมเจ้า เอาตัวไป!” เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งตวาดดุดัน จากนั้นเสียงโซ่ตรวนสวมลงบนศีรษะของคนผู้หนึ่งก็ดังตามมา

“พาตัวไป!” เสียงเย็นชาออกคำสั่ง

“หมิงเอ๋อร์ ช่วยพ่อด้วย! เจ้าก็รู้ว่าพ่อบริสุทธิ์!” หลิ่วหยางจงขอความช่วยเหลือเสียงดังอย่างคับแค้น

ในสมองหลิ่วหมิงเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง เลือดไหลรินลงมาจากกระหม่อม การจับกุมของมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้ ด้วยพลังวันนี้ของเขา แค่ยกมือยกเท้าก็สังหารพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเศษเนื้อได้ เช่นนี้ย่อมช่วยบิดาได้แล้ว!

“หมิงเอ๋อร์ พ่อจากไปครานี้ เจ้ากับข้าคงไม่อาจพบหน้ากันได้อีกชั่วชีวิต กระทั่งหันมามองพ่อสักหน เจ้าก็ไม่ยอมหรือ?” ชั่วพริบตาเสียงของหลิ่วหยางจงก็แก่ชราลงไปมากจนใกล้จะเป็นการวิงวอน

ร่างกายของหลิ่วหมิงเริ่มสั่นเทิ้มเพราะความโกรธแค้นและความลังเลอย่างที่สุด ร่างกายประหนึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด เขาคิดจะทิ้งทุกสิ่งแล้วหมุนตัวกลับไปมองบิดาของตนอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งเมื่อถึงเวลานี้ล้วนมีความเย็นสบายเบาบางสายหนึ่งจากที่ไหนไม่ทราบแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขา ทำให้เขารักษาสติแจ่มใสเสี้ยวหนึ่งไว้ได้ เขาลำบากอดทนจนท้ายที่สุดก็ไม่ได้หันกลับไป

แม้ยามนี้ไม่มีความเจ็บปวดทรมาน แต่เสื้อผ้าของหลิ่วหมิงทั้งหมดเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าบิดเบี้ยวกว่าเดิมจากการดิ้นรน คล้ายกับว่าทรมานยิ่งกว่ายามเปลวเพลิงร้อนลามเลียเมื่อครู่เสียอีก

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรเสียงอ้อนวอนของหลิ่วหยางจงเบื้องหลังก็ค่อยๆ ลอยไกลออกไป ในที่สุดก็ลอยสลายหายไปกับอากาศ

หลิ่วหมิงหอบหายใจหนักหน่วงแทบจะหมดเรี่ยวแรงเซล้มลงกับพื้น

ทันใดนั้นเองเท้าของเขาก็เหยียบลงบนความว่างเปล่า พริบตาเดียวทั้งร่างก็ร่วงลงไปในความมืดที่มองไม่เห็นก้น

หลิ่วหมิงตาลายไปวูบหนึ่งแล้วรู้สึกว่าส้นเท้าถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งจับเหลี่วงอย่างแรงจนลอยไปบนฟ้า

เขาสะบัดแขนหมายจะกระตุ้นพลังเวทเหาะขึ้นไป ทว่าทันใดนั้นเขาก็พบว่าเขากลายเป็นเด็กน้อยอายุแปดเก้าขวบคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกทั้งไม่มีพลังเวทสักนิด

สภาพแวดล้อมรอบด้านมืดมิดไปหมด เสียงคลื่นน้ำกระทบชายฝั่งดังครืนลอยมาแต่ไกล ไกลออกไปกว่านั้นมองเห็นยอดเขาและป่าไม้มืดครึ้มที่ซ่อนอยู่จำนวนหนึ่ง

ที่นี่คือ…เกาะมฤตยู!

ครู่ต่อมาร่างกายของเขาก็ร่วงลงไปไม่หยุดอย่างไร้การควบคุม ในใจเขาเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้!

ขณะที่เขาจวนเจียนจะร่วงถึงพื้นนั่นเอง เบื้องล่างพลันมีนักโทษโหดเหี้ยมไม่น้อยโผล่ออกมากะทันหัน พวกเขาพากันชูมือสองข้างขึ้นคว้าร่างกายของเขาไว้จากนั้นโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างแรง เมื่อร่วงลงมาก็โยนขึ้นไปอีกครั้ง

หลิ่วหมิงรู้สึกหัวหมุน แต่ส่งเสียงร้องไม่ออกสักประโยค

เวลานี้ในหูเขาเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะโห่ฮาและเสียงเย้ยหยันเย็นชาที่ดังออกมาจากปากนักโทษทั้งหลายเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเขากำลังเล่นเกมอันสนุกสนานอยู่

แม้หลิ่วหมิงพยายามตั้งหลักอย่างสุดความสามารถ แต่เห็นชัดว่าพละกำลังของเขาตอนอายุแปดเก้าขวบกับนักโทษรอบด้านแตกต่างกันมากเกินไป

เสียง “ปึง” ดังขึ้นทีหนึ่ง!

ร่างกายผอมแกร็นของเขาฟาดลงบนพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นเท้าใหญ่โตข้างหนึ่งก็เหยียบหนักๆ ลงบนหน้าอกของเขาไม่ปล่อยให้เขาได้ลุกขึ้นมา