ตอนที่ 672 ความอ่อนโยนของซือเป่ย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แม้ว่าจะมีหลังคากระจกขวางกั้นอยู่ ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัว 

 

 

นั่นมาจากชั้นที่เก้ากระนั้นหรือ? 

 

 

ในใจของนางพลันเกิดความตื่นเต้นขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัยขึ้นด้วย 

 

 

ยากนักที่นางจะถูกบางสิ่งดึงดูดใจขึ้นมา ตอนนี้จึงยิ่งอยากรู้ว่า ข้างในนั้นตกลงแล้วเป็นตัวอะไรกันแน่ 

 

 

แต่ในตอนนี้ ดวงตาที่มีไอหมอกของนางคู่นั้นจดจ้องอยู่ที่ร่างของตี้เสีย นางกับเขาใกล้กันจนหัวไหล่แทบจะชนกันอยู่แล้ว 

 

 

สีหน้าของนางตื่นตระหนกตกใจอย่างที่สุด แต่ในมือกลับคีบยันต์สีแดงขึ้นมาแผ่นหนึ่ง 

 

 

ตี้เสียไม่มีเวลาจะมาใส่พระทัยสังเกตดูนาง พอเห็นอยู่ชัดๆว่ากำแพงเจดีย์ยิ่งทีก็ยิ่งแตกร้าวออกมา พระองค์ก็ไม่รีรออีกต่อไป 

 

 

แม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ทรงไม่สนพระทัยอีกแล้ว ตี้เสียกลายเป็นแสงสีทองสายหนึ่ง หายวับไปจากข้างกายนางในทันที 

 

 

พอพระองค์เสด็จไปคราวนี้ แม้แต่เก้าดวงอาทิตย์ที่หมุนวนอยู่ก็อับแสงลงไปในทันที 

 

 

ตี้เสียทรงดึงแก่นชีวิตทั้งหมดกลับเข้าสู้ร่างกาย แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกสัตว์อสูรหลุดออกมาจากเจดีย์นั้นหนักหนาอย่างแท้จริงตี้เสียทรงดึงแก่นชีวิตทั้งหมดกลับเข้าสู่ร่างกาย แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ที่พวกสัตว์อสูรหลุดออกมาจากเจดีย์นั้นหนักหนาอย่างแท้จริง 

 

 

ดังนั้นครั้งนี้ เขาต้องเอาจริงแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ใต้หลังคากระจก ไอหมอกที่เคยอยู่ในดวงตาสลายไปในพริบตา สิ่งที่มาแทนก็คือความเยือกเย็นที่ลึกล้ำขุมหนึ่ง 

 

 

ในมือของนาง มีแสงสว่างที่อ่อนจางกลุ่มหนึ่ง 

 

 

ขณะที่ซัดยันต์โลหิตเข้าสู่ร่างกายของตี้เสีย เขากำลังจิตใจว้าวุ่น จึงไม่ทันได้สังเกต 

 

 

มุมปากของตู๋กูซิงหลันปรากฏรอยยิ้มเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมา ทอดตาชมดูสถานการณ์ภายนอกอย่างสนใจ 

 

 

……….. 

 

 

ฮว๋ายยู่ยังทันไม่ได้กลับไปที่ตำหนักยู่หวางกงของตนเอง นางก็ได้ยินเสียงร้องคำรามกึกก้องดังมา พอเงยพระพักตร์มองขึ้นไป ก็เห็นสัตว์อสูรโผล่ออกมาจากเจดีย์ที่ละตัวทีละตัวฮว๋ายยู่ยังไม่ทันได้กลับไปที่ตำหนักยู่หวางกงของตนเอง นางก็ได้ยินเสียงร้องคำรามกึกก้องดังมา พอเงยพระพักตร์มองขึ้นไป ก็เห็นสัตว์อสูรโผล่ออกมาจากเจดีย์ทีละตัวทีละตัว 

 

 

เสียงคำรามนั้นสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น จนนางปวดแก้วหูไปหมดแล้ว 

 

 

นางขมวดคิ้วมุ่น พอขยับเดินออกไปก้าวหนึ่งก็เห็นเจ้านกยักษ์ที่อาละวาดอยู่บนยอดเจดีย์อ้าปากขึ้นพ่นลูกไฟหลายลูกออกมา 

 

 

ท่ามกลางแสงสว่างยามเช้า ลูกไฟเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ตำหนักต่างๆในพระที่นั่งหลิงเซียวเตี้ยน 

 

 

และมีสองลูกที่พุ่งตรงมายังตำหนักยู่หวางกงของฮว๋ายยู่ 

 

 

เหนือศีรษะมีลูกไฟลุกโชนกำลังร่วงลงมา แต่ว่าร่างของนางไม่อาจหลบได้ทัน 

 

 

ขณะที่นัยตาเบิกโพลงขึ้นมา ก็เห็นว่าลูกไฟนั่นกำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เส้นเกศาของนางก็ยังมีเสียงและกลิ่นไหม้ออกมา 

 

 

ชั่วขณะนั้นนางได้แต่ยืนอยู่ในที่เดิม ลืมกระทั่งความคิดจะหลบหลีก 

 

 

ขณะที่เห็นอยู่ว่าลูกไฟดวงนั้นกำลังจะกระทบถูกนางอยู่แล้ว ร่างในเงาสีทองร่างหนึ่งก็เหาะเข้ามาด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด บรรลุถึงก่อนลูกไฟดวงนั้นก้าวหนึ่ง ร่างนั้นโอบเอวของนาง พาเหาะหลบออกไปยังที่โล่ง 

 

 

และในตอนนั้นเอง ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมา จุดที่ลูกไฟตกลงไปกลายเป็นหลุมระเบิดขนาดเท่าตำหนักหลังหนึ่ง 

 

 

พื้นล่างถูกทำลายจนพังพินาศ หลุมระเบิดขนาดใหญ่ยังมีประกายไฟลุกโชนส่งเสียงดังซี่ซี่ออกมา รอบด้านกลายเป็นสีดำตะโกไปหมด 

 

 

ต้นไม้ดอกไม้ที่อยู่รอบด้านล้วยถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น 

 

 

ทำให้คิดได้ว่า หากฮว๋ายยู่ถูกระเบิดลูกนั้นเข้าไป เกรงว่าคงต้องสลายเป็นเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง 

 

 

สีพระพักตร์ของนางย่ำแย่ ขณะที่ทอดพระเนตรมองดูเถ้าถ่าน พระทัยก็หายวาบ 

 

 

ก่อนนี้นางรับกระบวนท่าปลิดชีวิตแทนตี้เสียไปครั้งหนึ่ง ทำให้ทั้งร่างและพลังตบะที่สะสมมาสูญสลาย บาดเจ็บถึงแก่นชีวิต ตลอดหลายปีมานี้ มิว่านางจะดูดซับพลังวิญญาณและไอทิพย์ในแดนสวรรค์ไปมากเท่าไร ก็ไม่อาจชดเชยได้ 

 

 

ตบะของนางไม่อาจฟื้นฟูคืนมาได้อีกแล้ว ตบะที่นางมีอยู่ในตอนนี้ ยังไม่อาจเทียบกับเทพน้อยๆองค์หนึ่งเลยด้วยซ้ำ 

 

 

“เทียนโฮว่ อย่าได้ทรงกลัว” 

 

 

เห็นสีหน้าของนางย่ำแย่ บุรุษที่โอบอุ้มนางเอไว้จนแนบแน่นถึงได้เอ่ยปากขึ้นมา 

 

 

น้ำเสียงของเขาแหบต่ำ มีความกังวลใจอย่างแท้จริง 

 

 

ฮว๋ายยู่เหลือบตามองดูเขาแวบหนึ่ง เกราะสีทองที่สะท้อนแสงเพลิงทำให้แสบตาจนตาพร่า 

 

 

“เจ้าปล่อยข้าก่อน” เหลือบเนตรมองดูมือของเขาบนเอวของตนเอง ฮว๋ายยู่ก็ตรัสออกมาอย่างเย็นชา 

 

 

ซือเป่ยชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยปล่อยมือจากเอวของนางด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด จากนั้นก็ถอยไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ถวายคำนับให้นางครั้งหนึ่ง “ข้าแม่ทัพล่วงเกินพระองค์แล้ว เรื่องราวรีบร้อน ของเทียนโฮว่ทรงประทานอภัย” 

 

 

พอได้รับข่าวเรื่องสัตว์อสูรในเจดีย์อาละวาด เขาก็รีบรุดมาในทันที บุกเข้ามาในตำหนักยู่หวางกงโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น 

 

 

เพราะเกรงว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะก่อความวุ่นวายใหญ่โตสร้างความตื่นตระหนกให้กับนาง 

 

 

ยังโชคดี ที่เขามาได้ทันเวลา 

 

 

ฮว๋ายยู่ไม่สนใจเขา เมื่อครู่พอถูกเสียงของสัตว์อสูรคำรามใส่ สมองของนางก็อื้ออึงไปหมดแล้ว 

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ถูกตู๋กูซิงหลันยั่วโมโหมารอบหนึ่ง ครรภ์ของนางรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งทรมานกว่าเดิม 

 

 

นางประคองท้องน้อยๆเอาไว้ ดวงพักตร์ซีดขาว ดูราวกับว่าแค่ลมพัดมาก็สามารถล้มคว่ำได้ทุกเมื่อ 

 

 

แถบผ้าสีเขียวอมควันถูกลมพัดจนลอยพลิ้วขึ้นมา พลิ้วไปสัมผัสกับลำคอของซือเป่ยเข้าพอดี 

 

 

เขามิได้ปัดออกไป แต่ในชั่วขณะนั้น แววตาที่มองไปยังฮว๋ายยู่ ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมา 

 

 

เขาขยับเข้าไปใกล้ฮว๋ายยู่อีกก้าวหนึ่ง ยื่นมือออกไปคว้าหัตถ์ของนางเอาไว้ “ท่านกำลังตั้งครรภ์ โปรดถนอมร่างกาย พระที่นั่งหลิงเซียวเตี้ยนอันตรายเกินไป ข้าแม่ทัพจะนำท่านไปยังที่ที่ปลอดภัย” 

 

 

ยามอยู่ต่อหน้าฮว๋ายยู่ เขาก็มิใช่เทพสงครามที่สูงส่ง เลือดเย็นและไร้น้ำใจอีกต่อไป แต่กลับนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างยิ่ง 

 

 

ความร้อนระอุจากจากใจกลางฝ่ามือ อังหลังหัตถ์ของฮว๋ายยู่จนร้อนลวก 

 

 

พอเนื้อหนังสัมผัสกัน ก็ทำให้คิดถึงเรื่องที่ไม่อยากจะคิดถึงอีกขึ้นมา 

 

 

นางตัดสินพระทัยปัดมือของซือเป่ยทิ้งไป พระขนงขมวดเป็นปม “ข้าคือเทียนโฮว่ จงหยุดความคิดอันไม่บังควรของเจ้าเสีย” 

 

 

มือของซือเป่ยค้างอยู่กลางอากาศ ด้วยความละอายอยู่หลายส่วน สีหน้าของเขาเข้มขึ้นมาแต่กลับไม่กล้าแสดงความโมโหใส่นาง 

 

 

ทำไม่ลง 

 

 

ฮว๋ายยู่ปรายตามองดูซือเป่ยอย่างเย็นชา “เหล่าสัตว์อสูรในเจดีย์หลุดออกมาหมดแล้ว ในวังมีแต่ความวุ่นวายไปหมด…” 

 

 

พอเอ่ยถึงตรงนี้ สมองของนางก็สว่างวาบขึ้นมา 

 

 

ทันใดนั้น แววเนตรของนางก็มืดครึ้มขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ข้าต้องการให้เจ้าฉวยโอกาสนี้สังหารนางมารผู้นั้นเสีย!” 

 

 

“ตอนนี้นางอยู่ในตำหนักไท่เหิงกง เทียนตี้จะต้องทรงวุ่นวายกับพวกสัตว์อสูรในเจดีย์ เขตอาคมของไท่เหิงกงคงจะไม่เสถียรไปชั่วคราว” 

 

 

“ข้าต้องการให้นางมารนั้นจิตวิญญาณแตกสลาย มิว่าจะต้องใช้วิธีใดก็ตาม!” 

 

 

พอคิดถึงตู๋กูซิงหลันขึ้นมา ฮว๋ายยู่ก็ต้องกัดฟันกรอด 

 

 

เดิมทีคิดจะรอให้นางแต่งเข้ามาแล้วค่อยทรมานด้วยวิธีต่างๆจนตายไป แต่ในเมื่อวันนี้ขนาดฟ้าดินช่วยเหลือตน หากสามารถทำให้นางมารนั่นตกตายท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย แม้แต่เทียนตี้ก็คงไม่รู้ว่าจะสืบหาจากที่ใด 

 

 

มิว่านางจะเป็ยจู่ฮว๋ายหรือไม่ นางก็ต้องตายเท่านั้น! 

 

 

ซือเป่ยมองดูสีหน้าที่โหดเหี้ยมของนาง ก็เอ่ยว่า “ไม่ต้องให้ท่านบอกออกมา ข้าก็จะฆ่านางอยู่แล้ว…” 

 

 

“ในร่างของนางมีหยกสรรพชีวิตอยู่กว่าครึ่งชิ้น สังหารนางแล้ว ข้าจะนำหยกมามอบให้แก่เจ้า เมื่อมีหยกสรรพชีวิต ตบะของเจ้า…” 

 

 

วันนั้นที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ ขณะที่ตู๋กูซิงหลันปลุกพลังของหยกสรรพชีวิตขึ้นมา ฮว๋ายยู่มิได้อยู่ในสถานการณ์จริง นางย่อมไม่รู้สึกถึงมัน 

 

 

พอได้ยินซือเป่ยพูดออกมา สีพระพักตร์ของนางก็พลันเปลี่ยนไปในทันที 

 

 

“หยกสรรพชีวิต?” 

 

 

พอเอ่ยสี่คำนั้นออกไป ในสมองของนางก็ผุดภาพของจู่ฮว๋ายขึ้นมา! 

 

 

แสดงว่านางมารจากโลกเบื้องล่างผู้นั้น ไม่เพียงแต่ครอบครองคฑาไม้ฮว๋าย แต่ว่ายังมีหยกสรรพชีวิตกว่าครึ่งค่อนอยู่ในกาย? 

 

 

“ใช่แล้ว” ซือเป่ยพยักหน้าติดๆกัน ฝ่ามือของเขาแผ่พลังขุมหนึ่งออกมา กลายเป็นเขตอาคมปกป้องคนทั้งสองเอาไว้ด้านใน ทั้งยังสกัดกั้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรเอาไว้ด้วย 

 

 

“นาง….ก็คือนางจริงๆ…” ฮว๋ายยู่กำพระหัตถ์แน่น มิน่าเล่าเทียนตี้ถึงได้ร้อนรนขนาดนี้ ที่แท้ก็เพราะว่าเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า นางมารผู้นั้นก็คือจู่ฮว๋าย…..กลับชาติมาเกิด? 

 

 

……………..