สี่ตระกูลเข้ามายังเขตแดนลี้ลับแห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วนและจากที่ได้ยินมาจากหลินอวีฉี ในประวัติศาสตร์จำหนักเป่าหลิน คนที่ได้ระยะเวลาอยู่ในชั้นที่สองยาวนานที่สุดคือห้าวัน เขาเป็นชายผู้หลงใหลในสมุนไพร ที่ใช้เวลาทั้งหมดไปกำการจดจำสมุนไพรโดยไม่สนศาสตร์ปรุงยา
เมื่อเขาเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ เขาสามารถทำแต้มทดสอบได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ที่สามารถได้รับระยะเวลาถึงห้าวัน
ถัดจากยุคสมัยของเขา ก็มีอัจฉริยะคนอื่นๆปรากฏตัวแต่ก็ได้รับระยะเวลาเพียงสามวันเท่านั้น
สิ่งที่จำเป็นสำหรับเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่ใช่พลังเพียงอย่างเดียวแต่เป็นความเข้าใจในศาสตร์ปรุงยาและสมุนไพร
หลิงฮันสามารถได้รับเวลาถึงสิบวัน!
ระยะเวลาเท่านี้เพียงพอให้เขาอยู่ในชั้นที่สองถึงเก้าวันและใช้เวลาที่เหลือหนึ่งวันทดสอบวิหารเพื่อขึ้นไปชั้นสาม
‘ครืนนน’ ห้องหินพังทลายลงมา หลิงฮันรีบหยิบแผ่นตราประทับหยกบนโต๊ะ เมื่อห้องหินพังทลายอย่างสมบูรณ์ ร่างของเขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตแดนลี้ลับชั้นสอง
สภาพแวดล้อมของชั้นสองไม่ใช่เนินเขาแต่เป็นแอ่งน้ำ
ดูเหมือนว่าสมุนไพรที่เติบขึ้นที่นี่จะมีคุณสมบัติของธาตุวารี
“แผนที่ของชั้นสองมีรายละเอียดน้อยกว่าเดิมมาก” หลิงฮันนำแผนที่แผ่นใหม่ออกมา เนื่องจากระยะเวลาที่สามารถอยู่ในชั้นนี้มีจำกัด แผนที่ของชั้นสองจึงมีรายละเอียดน้อยลงมา
นี่ยังเพียงแค่ชั้นสอง ยิ่งชั้นสูงขึ้นรายละเอียดของแผนที่ก็จะลดลง ยิ่งเมื่อเป็นแผนที่ชั้นที่แปด แม้แต่ระดับของสมุนไพรก็ไม่มีบันทึกเอาไว้
หลิงฮันเก็บแผนที่และมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เขาหยิบแผ่นตราประทับหยกเพื่อเพิ่งได้รับออกมา ข้อมูลต่างๆมากมายในแผ่นหยกได้ไหลผ่านเข้ามาในห้วงจิตวิญญาณของเขา
ข้อมูลที่ปรากฏนั้นคือตำราเม็ดยายี่สิบชนิด ซึ่งมีตั้งแต่เม็ดยาระดับหนึ่งจนถึงระดับสิบสอง
เม็ดยาบางชนิดหลิงฮันรู้วิธีหลอมอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดยาที่เขาไม่เคยศึกษามาก่อนเสียมากกว่า
“เม็ดยาเชื่อมรากฐานเปิดสวรรค์!” ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย เม็ดยาชนิดนี้คือเม็ดยาระดับสิบที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ระดับดาราขั้นต้นจนถึงขั้นกลาง มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบ่มเพาะพลังหลายเท่า แต่ก็ยังเทียบกับเม็ดยาปราณโลหิตคลั่งที่ช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะถึงหนึ่งชั้นย่อยไม่ได้
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เม็ดยาชนิดนี้คือเม็ดยาที่ช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะได้ดีที่สุดสำหรับจอมยุทธระดับดารา
“สมุนไพรส่วนใหญ่ข้ามีอยู่แล้ว… เหลือเพียงสามอย่างที่ขาดไป!” หลิงฮันไม่กังวลว่าเม็ดยาจะหลอมได้ยากแค่ไหน ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เขาปวดหัวคือวัตถุดิบที่ไม่เพียงพอ
“หวังว่าจะเจอสมุนไพรที่เหลือทั้งหมดที่นี่”
หลิงฮันยังไม่ทันได้เก็บแผ่นตราประทับหยก ทันทีที่เขาจดจำตำราหลอมเม็ดยาที่ต้องการเสร็จ แผ่นหยกก็แตกสลายเป็นเศษซาก เห็นได้ชัดว่าหนึ่งคนสามารถรับตำราเม็ดยาได้หนึ่งชนิดเท่านั้น
เขาเหาะเหินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมายแรก
ที่ที่เขามุ่งหน้าไปมีดอกบัวสวรรค์งอกเงยอยู่ ตามการคำนวณแล้ว คงเป็นช่วงเวลานี้ที่ดอกบัวสวรรค์จะเติบโตเต็มที่
เขาเหาะเหินไปสักพักกลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยเข้าจมูก เพียงแค่สูดดมก็ทำให้จิตใจของเขาสดชื่น ปราณก่อเกิดในร่างสั่นไหวอย่างกระฉับกระเฉง
ผ่านไปสักพักดอกบัวสีเขียวก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเขา
ดอกบัวมรกตโบราณ สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบ!
ดอกบัวนี้มีความสูงเพียงสามฟุต มันลอยอยู่กลางบ่อน้ำทองคำ ดอกบัวขนาดเท่ากำมือมีเมล็ดดอกบัวอยู่สามสิบหกเมล็ด ภายในบ่อน้ำทองคำมีปลาคาร์พสีทองแหวกว่ายอยู่
ดอกบัวส่งกลิ่นฟุ้งไปทั่วบริเวณ ทุกคนที่อยู่ในละแวกนี้รู้สึกสดชื่นเพียงแค่สูดดมกลิ่นเข้าไป
หลิงฮันไม่ใช่คนแรกที่มาถึงที่นี่ ใกล้บ่อน้ำมีคนเจ็ดคนยืนอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าผลีผลามลงไปยังบ่อน้ำเนื่องจากสิ่งมีชีวิตในบ่อน้ำทองคำแห่งนี้ไม่ใช่สัตว์กินพืช
อย่ามองว่าตอนนี้มันยังไม่ทำอะไร แต่หากมีใครกล้าลงไปในบ่อน้ำล่ะก็ มันจะลงมือสังหารคนคนนั้นภายในพริบตา
เรื่องนี้ถูกพิสูจน์มาแล้วรับครั้งไม่ถ้วน
ชั้นแรกมีหุ่นเชิดคอยคุ้มกัน ส่วนชั้นที่สองคือสัตว์อสูร พวกมันเป็นสัตว์อสูรที่มีพลังสัมพันธ์กับสมุนไพรที่พวกมันคุ้มกันและคอยช่วยให้สมุนไพรเติบโต
“ฮ่าๆ ในเมื่อพวกเจ้ามัวแต่ลังเล ข้าก็ขอลงมือก่อนแล้วกัน!” รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าว เขาเดินลงไปเหยียบย่ำเหนือผิวน้ำราวกับกำลังเหาะเหิน
อย่างที่รู้ว่ามีเพียงจอมยุทธที่ทะลวงผ่านระดับดาราแล้วเท่านั้นถึงจะเหาะเหินได้ แต่รุ่นเยาว์คนนั้นเห็นได้ชัดว่ามีพลังเพียงระดับสุริยันจันทราเท่านั้น การคิดว่าเขาเหาะเหินได้จึงเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
หลิงฮันมองไปยังรองเท้าของอีกฝ่ายที่มีรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายอยู่ รองเท้านั่นสมควรเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้สวมเหาะเหินได้
รุ่นเยาว์ผู้นั้นก้าวเดินโดยไม่สร้างความตื่นตกใจให้กับปลาคาร์พทองคำใต้น้ำจนมาหยุดที่บริเวณรอบข้างดอกบัวมรกตโบราณในที่สุด
คนที่มาถึงยังไม่มีใครลงมือแม้แต่คนเดียว พวกเขารอให้รุ่นเยาว์คนนั้นเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้ก่อนถึงจะเริ่มการแย่งชิง
การทำแบบที่ว่าปลอดภัยว่าต้องไปสู้กับปลาคาร์พใต้น้ำแน่นอน
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เมื่อรุ่นเยาว์กำลังเข้าใกล้ดอกบัว ‘ตูม’ ผิวน้ำระเบิดออก ปลาคาร์พทองคำตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากบ่อน้ำและอ้าปากพ่นฟองอากาศเข้าใส่รุ่นเยาว์
ถ้ารุ่นเยาว์คนนั้นต้องการเก็บดอกบัว เขาก็จะไม่สามารถป้องกันฟองอากาศได้ทัน
เพราะเหตุนั้นเขาจึงนำกระจกเก่าแก่แผ่นหนึ่งออกมาถือเอาไว้เหนือหัว ‘ครืนน’ คลื่นลำแสงถูกยิงออกมาเข้าปะทะกันฟองอากาศ
แต่คลื่นลำแสงที่ถูกปลดปล่อยออกไปกลับไม่สามารถต้านทานฟองอากาศของปลาคาร์พทองคำได้แม้แต่น้อย
รุ่นเยาว์ผู้นั้นตกตะลึงและคิดจะหนีกลับขึ้นฝั่ง แต่เมื่อคิดเช่นนี้ทุกอย่างก็สายไปแล้ว ฟองอากาศปะทะเข้ากับร่างของเขาและโอบล้อมทั่วร่างเอาไว้
ปัง! ปัง! ปัง!
รุ่นเยาว์ผู้นั้นดิ้นรนตะเกียกตะกายโจมตีฟองอากาศเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นออกมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำลายฟองอากาศได้ หลังจากนั้นฟองอากาศก็ค่อยๆลอยลงสู่บ่อน้ำ ปลาคาร์พทองคำอ้าปากอีกครั้งและกลืนฟองอากาศลงไป
คนตัวใหญ่คนหนึ่งถูกปลาคาร์พที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งฟุตกินลงไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่างน่าเหลือเชื่ออย่างมาก
“ฮึ่ม สัตว์อสูรปลาคาร์พทองคำนั่นแข็งแกร่งขึ้น!” คนอีกหกคนที่อยู่ขอบบ่อน้ำอุทานออกมา
ในเมื่อพวกเขากล้าจะมาเก็บเกี่ยวดอกบัว แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำการบ้านมาก่อนและรู้ถึงพลังของปลาคาร์พทองคำเป็นอย่างดี แต่ทันทีที่ปลาคาร์พทองคำเมื่อครู่ลงมือ พลังของมันกลับแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้
“คำนวณผิดพลาด!”
“บางทีอาจจะเพราะดอกบัวมรกตโบราณเติบโตเต็มที่ ปลาคาร์พทองคำจึงได้ผลประโยชน์ตามไปด้วยและมีพลังแข็งแกร่งขึ้น”
“ใช่แล้ว สัตว์อสูรในเขตแดนนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสมุนไพรที่พวกมันคอยคุ้มกัน เมื่อสมุนไพรเติบโตเต็มที่ พวกของสัตว์อสูรก็จะแข็งแกร่งตามไปด้วย ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปเสียสนิท”
ทั้งหกคนส่ายหัว ดูเหมือนการเก็บเกี่ยวดอกบังจะสิ้นหวังเสียแล้ว
หลิงฮันส่ายหัวตาม มือขวาของเขายื่นออกไปและทำท่ากำอากาศที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง ปราณก่อเกิดได้ถูกควบแน่นเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าไปยังดอกบัวสีเขียว
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่ยอมแพ้ ทั้งหกคนก็แสยะยิ้มและรอดูการแสดงสนุกๆ