ตอนที่ 882 คำสารภาพของหานโม่ฉือ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อทราบว่าจางซือฉีถูกฉงฉีกลืนกินไปแล้ว จางซือถงก็ชะงักค้างและสีหน้าแสดงความสับสนออกมาในทันที

“ข้ากินน้องสาวของท่านไปแล้ว หากต้องการจะระบายความโกรธแค้นก็เชิญลงไม้ลงมือกับข้าได้เลย ข้าจะไม่ตอบโต้”

ในตอนนี้ฉงฉีไม่โง่เขลาอีกต่อไปและเข้าใจความรู้สึกอึดอัดของฉินอวี้โม่ดี มันเดินตรงเข้าไปหาจางซือถงและต้องการใช้วิธีนี้แทนคำขอโทษ

“ช่างมันเถอะ มันเป็นความผิดของนางเอง โทษใครไม่ได้หรอก”

จางซือถงโบกมือปัดและแอบรู้สึกโล่งใจอยู่ลึก ๆ

การที่จางซือฉีต้องลงเอยเช่นนั้นเป็นผลจากการกระทำของตัวนางเอง ฉงฉีคืออสูรร้ายอย่างที่ทุกคนรู้จักกันดี ทว่าจางซือฉีก็ยังคิดเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ จึงไม่แปลกที่นางจะลงเอยด้วยการกลายเป็นเหยื่อเสียเอง ยิ่งไปกว่านั้น จางซือฉีก็ต้องการจะสังหารฉินอวี้โม่เช่นกัน ต่อให้ฉงฉีไม่กลืนกินนางไปเสียก่อน ฉินอวี้โม่ก็ไม่มีทางปล่อยนางไปอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองอู๋เริ่นก่อนหน้านี้ จางซือฉีก็ยังคิดร้ายและผลักนางเข้าไปสู่สถานการณ์ที่เสี่ยงตาย กล่าวได้ว่าความเป็นพี่น้องของทั้งสองถูกทำลายไปแล้ว ก่อนหน้านี้ จางซือฉีก็ยังพยายามสังหารนางและเมิ่งเยี่ยอีกครั้งจนเมิ่งเยี่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส จางซือถงไม่มีทางให้อภัยน้องสาวผู้มีจิตใจชั่วร้ายนี้อย่างแน่นอน

สาเหตุที่จางซือถงเอ่ยถามออกไปก็เป็นเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น

“จางซือถง น้องสาวของเจ้าเป็นทายาทคนโปรดของตระกูล หากบิดาของเจ้าทราบว่าเจ้ารอดชีวิตออกไปโดยที่น้องสาวต้องตายอยู่ในสมรภูมิรบเดนตาย เจ้าจะไม่ถูกลงโทษรึ ?”

เมิ่งเยี่ยมองจางซือถงและเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาทราบสถานการณ์ของตระกูลจางเป็นอย่างดี จางซือถงไม่เป็นที่นิยมชมชอบมากเท่ากับจางซือฉีและต้องเผชิญกับความเจ็บช้ำน้ำใจหลายครั้งหลายครา อย่างไรก็ตาม จางซือถงเป็นคนเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและเป็นคุณหนูรองของตระกูลจาง เพราะเหตุนั้นจึงมีคนเพียงไม่มากที่กล้ารังแกนาง ทว่าหากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างจางซือถงและจางซือฉี ตระกูลจางมักเลือกที่จะเข้าข้างจางซือฉีอยู่เสมอ

“ไม่ต้องห่วง จางซือฉีตายไปแล้ว ต่อให้ท่านพ่อของข้าจะลำเอียง เขาก็คงไม่โทษว่าเป็นความผิดของข้าหรอกและข้ามิใช่คนที่ฆ่าจางซือฉี ในตระกูลจางก็มีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งเพียงไม่มาก หากเขาทำให้ข้าอึดอัดและลำบากใจจริง ๆ การออกจากตระกูลจางก็มิใช่เรื่องใหญ่จนเกินไป”

จางซือถงกล่าวด้วยสีหน้าใจเย็นและไม่มีความหวาดกลัว อีกอย่าง เมื่อนางกลับไปที่เมืองเทียนยง นางจะเปิดเผยความจริงกับทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ และจะเปิดโปงธาตุแท้ของจางซือฉีด้วย ถึงอย่างไรแล้วชาวเมืองเทียนยงก็มิใช่คนโง่เขลา เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลจางคงไม่กล้าทำสิ่งใดที่เป็นภัยต่อนาง

“เหลือเวลาอีกเพียงสี่วัน ไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีคนรอดชีวิตอีกมากเพียงใด”

หลังจากที่ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซ่างจู๋มู่ก็กล่าวเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์

ในตอนนี้เหลือเวลาอีกสี่วันก่อนสิ้นสุดการคัดเลือกในรอบสุดท้าย ตราบใดที่เอาตัวรอดจนถึงตอนนั้น จอมยุทธ์ผู้นั้นก็จะได้เข้าร่วมหนึ่งในสามสำนักและเก้านิกายและกลายเป็นศิษย์ของขุมกำลังอันดับต้น ๆ ของดินแดนมหาเทพไปโดยปริยาย

กล่าวได้ว่าการคัดเลือกในรอบนี้เต็มไปด้วยภยันตรายอย่างแท้จริง สมรภูมิรบเดนตายเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดอย่างที่สุด

“ฉงฉี สมรภูมิรบเดนตายแห่งนี้คืออะไรกันแน่ ?”

ฉินอวี้โม่มองไปที่ฉงฉีและเอ่ยถามสิ่งที่สงสัย พวกนางยังไม่มีแผนการที่จะเดินทางต่อในวันที่เหลือ ตราบใดที่พักอยู่ที่นี่ เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายปรากฏ พวกนางก็จะออกไปได้ทันที หากไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง พวกนางจะผ่านการคัดเลือกรอบนี้ไปได้อย่างแน่นอน

“ที่นี่ไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากสมรภูมิรบระหว่างเทพและปีศาจที่ถูกปิดผนึกไว้ ซึ่งอาจจะมีอันตรายที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ ที่อื่น ๆ ก็ไม่มีผู้ใดที่แข็งแกร่งอีกแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ท่านจะสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย”

หลังจากได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่มานาน มันย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับสมรภูมิรบเดนตายมากพอสมควร ในอดีตเคยมีจอมยุทธ์ผู้ทรงพลังอาศัยอยู่บนยอดเขาของภูเขาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในตอนนี้เขาก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และในสมรภูมิรบที่ถูกปิดผนึกไว้ก็อาจจะมีภยันตรายที่ร้ายแรงซ่อนอยู่ นอกเหนือจากนี้ กล่าวได้ว่าฉงฉีคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนที่เหลือเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตระดับราชาเซียนทั่วไปเท่านั้นซึ่งไม่เป็นภัยต่อฉินอวี้โม่และทุกคน

“ถ้าเช่นนั้นเราพักแรมกันที่นี่เถอะ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้พวกนางอยู่ใกล้ทะเลสาบซึ่งเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมและกว้างขวางมากพอ

คนอื่น ๆ ก็พยักศีรษะและแยกย้ายกันหาที่พักผ่อน

ฉินอวี้โม่หยิบเต็นท์ที่พักจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติและมอบให้กับพวกเขา แน่นอนว่าอวิ๋นซื่อเทียนไม่ต้องการมันเพราะนางก็มีเต็นท์เป็นของตนเอง

หลังจากจับมือหานโม่ฉือเดินเข้ามาในเต็นท์ของตน ฉินอวี้โม่ก็เงยหน้าขึ้นสบตาและเอ่ยถามอย่างจริงจัง “โม่ฉือ เจ้ามีอะไรจะบอกข้าหรือไม่ ?”

นับตั้งแต่อยู่ในเมืองอู๋เริ่นจนมาถึงที่นี่ ตั้งแต่เนตรปีศาจจนมาถึงฉงฉี ทุกอย่างล้วนเปิดเผยถึงสิ่งหนึ่งนั่นก็คือชีวิตในอดีตของหานโม่ฉือจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และปฏิกิริยาของหานโม่ฉือก็แสดงให้เห็นว่าเขาทราบเรื่องบางอย่างแล้วเช่นกัน

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเจ้า…”

หานโม่ฉือยิ้มอย่างอบอุ่นพลางดึงมือฉินอวี้โม่นั่งลงเบา ๆ

“โม่เอ๋อร์ ข้าเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ไม่นาน เมื่อพลังของข้าบรรลุถึงระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ความทรงจำบางอย่างก็ย้อนคืนกลับมาเช่นกัน เพียงแต่มันยังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก”

เขาโอบร่างบางเข้าหาอ้อมแขนและเล่าสิ่งที่ทราบในช่วงที่ผ่านมาอย่างละเอียด

ไม่กี่วันหลังจากสยบเนตรปีศาจ ภาพความทรงจำบางอย่างก็เริ่มผุดขึ้นมาในความคิดของหานโม่ฉือมากขึ้นเรื่อย ๆ …และบางส่วนเป็นความทรงจำเกี่ยวกับโลกปีศาจ

เดิมทีเขาไม่ได้สนใจพวกมันเท่าใดนัก ทว่าจากภาพความทรงจำในช่วงหลัง ๆ ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าตัวเขาและโลกปีศาจมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

กายโกลาหลเป็นเพียงสภาวะกายภายนอกเท่านั้น ทว่าร่างกายที่แท้จริงของหานโม่ฉือเป็นสิ่งที่พิเศษกว่านั้นมาก และพลังงานปีศาจในร่างกายก็เป็นสิ่งที่เขาเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม เนตรปีศาจก็เตือนเขาไว้ว่าไม่ควรใช้พลังงานปีศาจเหล่านั้นพร่ำเพรื่อและกล่าวว่ามันอาจดึงดูดผู้ที่มีจุดประสงค์ชั่วร้ายมาได้ซึ่ งเป็นภัยต่อทั้งเขาและฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือจึงไม่เคยใช้มันมาก่อน

ทว่าในช่วงเวลาวิกฤต เมื่อฉงฉีพยายามที่จะระเบิดตัวเอง เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังนั้นจะหยุดยั้งการระเบิดตัวเองของฉงฉีได้ เขาจึงตัดสินใจใช้มัน ทว่าในตอนนี้ผู้ที่ซ่อนตัวในมุมมืดก็อาจค้นพบตัวตนของเขาแล้ว เกรงว่าหลังจากนี้อาจจะมีปัญหาใหญ่ตามมาได้

“ข้ารู้สึกได้ว่าสถานะของเจ้าในโลกปีศาจคงจะสูงมากทีเดียว ทั้งเนตรปีศาจและฉงฉีต่างก็แสดงความหวาดหวั่นและความเคารพต่อเจ้าอย่างชัดเจน”

ฉินอวี้โม่เขย่ามือหานโม่ฉือเบา ๆ พลางกล่าวข้อสันนิษฐานของตน

ไม่ว่าเนตรปีศาจหรือฉงฉี พวกมันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังและเหนือธรรมชาติซึ่งไม่มีทางก้มหัวให้ผู้ใดง่าย ๆ ทว่าเมื่อพบกับหานโม่ฉือ พวกมันกลับยอมจำนนแต่โดยดีและมีปฏิกิริยาราวกับว่าการยอมจำนนต่อหานโม่ฉือจะนำพาผลประโยชน์มาสู่พวกมันอย่างมหาศาล

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องพิสูจน์ได้พอสมควรว่าสถานะของหานโม่ฉือในโลกปีศาจจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจเคยเป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลกปีศาจ…

“มันก็คงจะเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ มีความทรงจำอีกมากที่ยังไม่ย้อนคืนกลับมาและข้าก็ไม่มั่นใจว่าในอดีตข้าเคยเป็นใครในโลกปีศาจ นับพันปีก่อนตอนที่เกิดสงครามครั้งใหญ่ในดินแดนเทพมายา อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในโลกปีศาจ ข้าจึงไม่เคยปรากฏตัวในสงครามครั้งนั้น”

หานโม่ฉือไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป เขาแอบสังหรณ์ใจอยู่ลึก ๆ ว่าเผ่าปีศาจอาจมีส่วนร่วมบางอย่างในสงครามของดินแดนเทพมายา เพียงแต่ตอนนี้ความทรงจำของเขากลับมาเพียงบางส่วนและยังไม่ชัดเจนนัก

ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้สึกได้ว่าโชคชะตาที่เกี่ยวพันกับฉินอวี้โม่อาจมิใช่เป็นเพียงชีวิตของชิงเหอและอวี้เฟิงเท่านั้น ทว่าอาจล้ำลึกยิ่งกว่านั้นเสียอีก บางทีเขาอาจรู้จักกับฉินอวี้โม่มาตั้งแต่เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทว่าเกิดเรื่องบางอย่างที่กีดกันมิให้ทั้งสองได้ครองรักและอยู่ร่วมกัน

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจ ในสายตาของข้า…เจ้าก็เป็นสามีที่ข้ารักและเป็นพ่อของอ้ายฉือและอ้ายโม่ ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญอุปสรรคปัญหาใดในภายภาคหน้า ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าและจะไม่มีวันปล่อยมือเจ้าอย่างแน่นอน !”

ฉินอวี้โม่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากของหานโม่ฉือและแววตาบ่งบอกถึงความรักอย่างเต็มเปี่ยม