บทที่ 517.2 ภูเขาสายน้ำยาวไกล

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันหลับตาลง ทำการหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรต่อไป

ในเรื่องของการฝึกตนนั้น เมื่อก้าวเดินลงไปบนเส้นทางอย่างแท้จริงแล้วก็จะค้นพบว่าสิ่งที่ไม่มีค่ามากที่สุดและก็ทั้งมีค่ามากที่สุด ก็คือเวลา

ส่วนเหตุการณ์ในยุทธภพครั้งนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันล้วนไม่มีความคิดที่จะลงมือ

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกไปเบาๆ ทอดสายตามองไป บนสะพานปรากฏร่างชายหญิงคู่หนึ่ง หญิงสาวคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่พื้นฐานใช้ได้ อยู่ที่ประมาณขอบเขตสาม บุรุษมีรูปโฉมสุภาพคล้ายลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่มีความรู้อยู่เต็มท้อง ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่แท้จริง สตรีเดินมาบนสะพานแขวนที่แกว่งไกวเบาๆ อย่างเนิบช้า ส่วนบุรุษที่อายุไม่มากแต่กลับดูแก่กว่าวัยนั้นมีท่าทางกังวลใจ พอมาถึงหัวสะพาน สตรีก็กระโดดลงไปเบาๆ แล้วจึงถูกบุรุษกุมมือเอาไว้

คนทั้งสองจูงมือกันเดินเลียบมาบนทางภูเขา พุดคุยกันเบาๆ สารพัดเรื่อง

เดินตรงมายังทิศทางที่เฉินผิงอันอยู่พอดี

เฉินผิงอันจึงได้ยินเรื่องวงในบางอย่างของราชสำนักและยุทธภพแคว้นจินเฟย

ที่แท้หลายปีมานี้ในยุทธภพไม่ค่อยสงบสุขนัก หลังจากที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันยึดครองบัลลังก์มาได้ ตามคำกล่าวของขุนนางที่เขียนเกร็ดประวัติศาสตร์ของแคว้นจินเฟย เรื่องแรกที่ฮ่องเต้องค์นี้ทำหลังจากได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ก็คือวางดาบพาดไว้บนหัวเข่า จากนั้นก็สั่งให้คนไปนำตัวเชื้อพระวงศ์ที่มีคุณูปการซึ่งดูแลเรื่องสมุดบันทึกเก้าชั่วโคตรและแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์มาที่ท้องพระโรง ครั้นจึงพลิกเปิดบันทึกบนทำเนียบวงศ์ตระกูลไปทีละหน้า นอกจากจักรพรรดิองค์ก่อนที่รัดคอฆ่าตัวตายไปแล้ว ชื่อใดถูกเรียกออกมา ด้านนอกท้องพระโรงก็มีจะมีศีรษะหนึ่งหลุดออกจากบ่า หลังจากสังหารกากเดนของราชวงศ์ก่อนจนสิ้นซากแล้ว ภายในค่ำคืนเดียวเลือดก็นองเป็นสายน้ำอยู่นอกตำหนัก ทว่าสุดท้ายก็ยังคงมีปลาที่หลุดรอดตาข่ายไปได้ คือบุตรชายคนเล็กของฮ่องเต้องค์ก่อนที่ถูกนางกำนัลพาออกไปจากวังหลวง จากนั้นภายใต้การปกป้องคุ้มครองจากขุนนางที่จงรักภักดีจึงโชคดีหนีรอดออกไปจากเมืองหลวงได้สำเร็จ นับแต่นั้นมาก็หายไปในกระแสน้ำของยุทธภพ แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีก จนถึงทุกวันนี้ก็ยังหาตัวไม่เจอ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ในยุทธภพมักจะมีโศกนาฎกรรมที่คนทั้งตระกูลถูกฆ่าตายอย่างน่าประหลาดใจเกิดขึ้นเป็นประจำ อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นพรรคใหญ่สำนักใหญ่ด้วย ต่อให้เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นการตายจากน้ำมือของศัตรูคู่แค้น ทว่าที่ว่าการของแต่ละพื้นที่กลับไม่กล้าสืบสาวเอาความผิด ด้วยกลัวว่าหากไม่ระวังจะเป็นการข้ามเข้าไปในบ่อสายฟ้า ไปแตะเกล็ดย้อนของท่านที่อยู่ในเมืองหลวงเข้า ฝ่ายของทางการถูกมัดมือมัดเท้าทำอะไรไม่สะดวก และเดิมทีแคว้นจินเฟยก็เลื่อมใสฝ่ายบู๊ แม่ทัพบู๊ของที่ต่างๆ ก็ยิ่งชอบใช้ข้ออ้างว่ากวาดล้างรังโจร ใช้ศีรษะของคนในยุทธภพกลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาฝึกปรือฝีมือ พวกชาวยุทธที่มีกิจการบ้านเรือนอย่างถูกทำนองคลองธรรม แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างที่ไม่อาจหาคำมาบรรยายได้

ยุทธภพมักจะมีเหตุการณ์ที่หากปล่อยให้วุ่นวายต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องแบบนี้อยู่เสมอ ดังนั้นผู้มีชื่อเสียงและปรมาจารย์ในยุทธภพหลายสิบท่าน รวมไปถึงเหล่าผู้กล้าแห่งพรรคมารอีกเจ็ดแปดท่านที่เดิมทีเป็นดั่งน้ำกับไฟ ต่างก็พากันวางอคติลงชั่วคราวอย่างที่หาได้ยาก คิดว่าจะมาพบกันเป็นการส่วนตัว จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าหาใช่เพื่อก่อกบฏไม่ แต่เพราะคิดว่าแทนที่จะให้ฮ่องเต้นอนหลับอย่างไม่เป็นสุข ทำให้คนทั้งราชสำนักได้ยินเสียงนกก็หวาดกลัวลมพัดก็หวาดผวากันไปหมด ก็ไม่สู้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยฮ่องเต้ควานหาขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ พลิกค้นให้ทั่วยุทธภพที่เดิมทีก็ขุ่นมัวแห่งนี้ พยายามหาตัวองค์ชายของราชวงศ์ก่อนที่สมควรตายมานานแล้วผู้นั้นให้เจอ เมื่อคนผู้นี้ตาย ฮ่องเต้ย่อมปิติยินดี สถานการณ์ในยุทธภพที่วุ่นวายก็น่าจะดีขึ้นมาได้หลายส่วน แล้วก็จะได้ทำให้เหล่าผู้กล้าในยุทธภพหายใจหายคอกันคล่องบ้าง

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่นี้พูดถึงภาพเหตุการณ์แสงดาบแสงกระบี่ตัดสลับ เลือดสดซาดกระเซ็นไปสี่ทิศด้วยความรู้สึกเป็นกังวล

เพราะสำนักที่พวกเขาอยู่มีชื่อว่าสำนักเจิงหรง คือกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นจินเฟย หากอิงตามการแบ่งระดับของพวกคนในยุทธจักรด้วยกันเอง พรรคน้อยใหญ่ในยุทธภพเกือบร้อยแห่งที่มีหลักฐานให้ตรวจสอบล้วนมีเส้นแบ่งขอบเขตอยู่เส้นหนึ่ง โดยใช้การขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นเส้นบรรทัดฐาน ในยุทธภพมีการแบ่งเก่าและใหม่ พรรคในยุทธภพใหม่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ที่มีคุณณูปการหรือไม่ก็กองกำลังที่ประจำอยู่ตามหัวเมือง ส่วนยุทธภพเก่ากลับได้แต่มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ แน่นอนว่าพรรคเจิงหรงย่อมถือเป็นยุทธภพเก่า บิดาของสตรีก็ยิ่งเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือที่แท้จริง

แต่นางได้รับข่าวช้าที่สุด เพิ่งจะรู้ว่าสถานที่ในการจัดงานเลี้ยงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว เป็นใจกลางทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง ปรมาจารย์ใหญ่ทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมต่างก็ไม่มีโอกาสจะลงมือได้

ขาวดำสองวิถี แน่นอนว่าไม่มีใครยินดีไปพูดคุยปรึกษาในเขตอิทธิพลของฝ่ายตรงข้าม สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นงานหรือไม่ พวกคนของฝ่ายธรรมะรู้สึกว่าคนของพรรคมารใช้วิธีการที่อำมหิตโหดร้าย กำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง ส่วนผู้กล้าแห่งเส้นทางสายดำมืดก็รู้สึกว่าพวกจอมยุทธผู้มีคุณธรรมกลุ่มนั้นแสร้งทำเป็นวางมาดภูมิฐาน มีแต่พวกวิญญูชนจอมปลอมที่ชายเป็นโจรหญิงเป็นคณิกา ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่นอกเหนือจากความน่ากังวลที่ชวนให้คนขมวดคิ้วพรั่นใจซึ่งอยู่ไกลตัวแล้ว ยามนี้คนตรงหน้าที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ ต่างก็เป็นคนในใจของอีกฝ่าย ฟ้าดินเงียบสงัด รอบกายไร้ผู้คน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจห้ามอารมณ์ได้ไหว จึงมีการกระทำบางอย่างที่คลุมเครือกระหนุงกระหนิง

ก่อนหน้านี้ในมือของสตรีถือกิ่งหลิวอยู่กิ่งหนึ่ง ระหว่างที่เดินก็ใช้มือข้างหนึ่งออกหมัด ส่วนมีอีกข้างใช้กิ่งหลิวร่ายกระบวนท่ากระบี่ที่ลูกเล่นแพรวพราว

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ เจ้าประมุขพรรคเจิงหรงผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของยุทธภพสามคนที่รอดชีวิตเหลืออยู่ท้ายที่สุดบนทะเลสาบคราวนั้น วิธีการออกหมัดของคนผู้นั้นคล้ายคลึงกับสตรีที่อยู่ใต้ต้นไม้อยู่หลายส่วน ตรงเอวของเขารัดพันด้วยกระบี่อ่อนเล่มหนึ่ง หลังจากออกกระบี่ก็ตวัดรัดคอปาดศีรษะคน วิชากระบี่อ่อนโยนทว่าแปลกประหลาดยิ่ง

ชายหญิงสองคนแนบชิดอิงแอบกัน มือไม้พัวพันพลิ้วไหว

หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอทำเนา อย่างมากเฉินผิงอันก็แค่หลับตาฝึกตนต่อไปก็เท่านั้น แต่เขากลัวก็แต่ว่าชายหญิงคู่นี้จะเกิดอารมณ์กระสัน ชักนำให้ฟ้าร้องไฟแลบแผ่นดินโยกคลอน

กลัวอะไรก็เจออย่างนั้นจริงๆ หลังจากชายหญิงอ้อมมาถึงด้านหลังต้นไม้ ฝ่ายสตรีก็บอกว่าจะขึ้นไปบนต้นไม้หาจุดที่มีใบดกหนาอำพรางตาได้ดีสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเขามือไม้พัวพันเป็นปลาหมึกอีก

บุรุษยิ้มตอบรับ หญิงสาวจึงจับไหล่ชายคนรัก หมายจะกระโดดขึ้นไปด้านบน

เฉินผิงอันที่บนร่างแปะยันต์แบกศิลากวาดตามองไปรอบด้าน ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ในพุ่มหญ้าใต้ต้นไม้ก็แตกออกเบาๆ

ชายหญิงตกใจสะดุ้งโหยง รีบหันหน้าไปมอง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตัวออกไป

ก็ได้ๆๆ ยกพื้นที่ให้พวกเจ้าก็ได้

เฉินผิงอันไปอยู่ตรงมุมที่สูงยิ่งกว่าของภูเขาลูกเดียวกันนี้ แล้วหลอมเล็กให้กับแท่นสังหารมังกรต่ออีกครั้ง

แต่ชายหญิงคู่นั้นที่ถูกทำให้ตกใจก็เพียงแค่คลอเคลียแนบชิดกันอีกครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็รีบข้ามสะพานแขวนกลับไป เพราะหลังคาเรือนทุกหลังตลอดทั้งพรรคเจิงหรงต่างพากันจุดตะเกียงจนเห็นเป็นสีขาวหิมะโพลนทั้งแถบ

จากนั้นผู้คนก็พากันกรูกันไปที่หน้าประตูใหญ่ ราวกับว่าจะรอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติคนใด

เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล บนถนนสายเล็กกลางภูเขาปรากฎมังกรเพลิงเส้นเล็กเส้นหนึ่งที่กำลังเลื้อยคลานมาเบื้องหน้าอย่างเนิบช้า เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของเขาก็แทบไม่ต่างอะไรจากมังกรเพลิงอักขระยันต์ที่หลิ่วจื้อชิงวาดบนโต๊ะ

น่าจะมีคนขบวนใหญ่เดินทางมาเยี่ยมเยือนภูเขาเจิงหรงในคืนนี้

อันที่จริงเมื่อคืนวานเฉินผิงอันก็พอจะพบเบาะแสบางอย่างบ้างแล้ว เขาค้นพบว่าผู้ฝึกยุทธในยุทธภพหลายคนที่ทำหน้าที่คล้ายทหารลาดตระเวนได้มาแอบหลบซ่อน ทำท่าลับๆ ล่อๆ สำรวจภูมิประเทศของพื้นที่แถบนี้

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมทางไกลไปยังริมหน้าผาของภูเขา พยายามอยู่ให้ห่างจากแสงไฟของประตูภูเขาให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วพุ่งตัวออกไป มือข้างหนึ่งคว้าจับหน้าผาที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวของภูเขาเจิงหรง จากนั้นก็ป่ายปีนขึ้นไปในแนวขวาง สุดท้ายไปหลบอยู่ใกล้กับด้านใต้สะพานอย่างเงียบเชียบ มือข้างหนึ่งเกร็งนิ้วทั้งห้างอเป็นตะขอปักตรึงไปในหน้าผาหิน ร่างของเขาแกว่งไกวเบาๆ ไปตามสายลม มือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า

ฝั่งหนึ่งของสะพานแขวน หลินซูเจ้าประมุขของพรรคเจิงหรงสีหน้าซีดขาวน้อยๆ ศึกบนทะเลสาบเขาได้รับบาดเจ็บไม่เบา จนถึงตอนนี้บาดแผลก็ยังไม่หายดี แต่เดิมพันมากก็ชนะมาก ได้ความร่ำรวยอู้ฟู่มาอยู่ในมือ ท่าทางจึงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

แขกสูงศักดิ์สามท่านที่ผ่านทางมาเยี่ยมเยียนพรรคเจิงหรงในครั้งนี้คือแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นอย่างตู้อิ๋ง และเขายังเป็นบุตรบุญธรรมที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันประทานแซ่ให้ นอกจากนี้ยังมีขันทีผู้ควบคุมตรากองม้าที่ฝีมือลึกลับเกินจะหยั่งอีกคนหนึ่ง รวมไปถึงแขกผู้สูงศักดิ์ในผู้สูงศักดิ์ที่มาจากราชวงศ์ต้าจ้วน นามว่าเจิ้งสุ่ยจู วิชากระบี่ของนางเลิศล้ำ อาจารย์ก็คือคนเฝ้าพิทักษ์ประตูวังหลวงของราชวงศ์ต้าจ้วนท่านนั้น

เจิ้งสุ่ยจูก็คือหนึ่งในห้าของลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของเทพีแห่งสงครามของต้าจ้วนท่านนั้น อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย พรสวรรค์ดีเยี่ยมที่สุด ได้รับความรักความเอ็นดูมากที่สุด ครั้งนี้นางเข้าร่วมการล้อมโจมตีบนทะเลสาบแคว้นจินเฟยก็แค่เป็นการผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีภารกิจสำคัญจากสำนักติดตัว ตอนนั้นหลินซูก็คือปรมาจารย์ในยุทธภพคนแรกที่เลือกสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ หลังจากนั้นก็จำศีลแฝงตัวอยู่ในยุทธภพมาหลายสิบปี ข่าวสารว่องไว เล่าลือกันว่ามีเจียวสีดำดุร้ายตัวหนึ่งยึดครองลำคลองนอกเมืองหลวงต้าจ้วน ตบะสูงอย่างถึงที่สุด ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์อย่างสงบสุขมานานนับพันปีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ช่วงที่ผ่านมานี้ถึงได้เกิดอุทกภัยขึ้นติดต่อกันหลายครั้งจนมองดูคล้ายว่าน้ำนั้นจะท่วมกลบทับเมืองหลวง ดังนั้นหลินซูจึงพอจะเดาออกว่า การที่เจิ้งสุ่ยจูเดินทางลงใต้ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับดาบเล่มที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบู๊ของเมืองหลวงแคว้นจินเฟย เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ของเจิ้งสุ่ยจูที่ถึงแม้จะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่สามารถบังคับลมเดินทางไกลได้ อีกทั้งกระบี่ประจำกายก็เป็นศาสตราวุธเทพชิ้นหนึ่ง ทว่าเผชิญหน้ากับการสร้างคลื่นลมมรสุมของเจียวน้ำตัวหนึ่งก็เรียกว่าขาดอาวุธตระกูลเซียนที่สามารถสยบเผ่าพันธ์เจียวหลงได้ชิ้นหนึ่งอยู่พอดีจริงๆ

และดาบวิเศษของแคว้นจินเฟยเล่มนั้นก็ได้กินเลือดสดของลูกหลานมังกรของราชวงศ์ก่อนๆ มาหลายร้อยท่าน ไม่เพียงเท่านี้ ในอดีตที่ห่างไกลยิ่งกว่านั้นมันยังเคยตัดศีรษะของอดีตแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้นมาก่อน และแม่ทัพบู๊ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ ชื่อเสียงดีงามเลื่องลือไปทั่วราชสำนักผู้นั้นก็คืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดในการเดินสู่บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

สามารถพูดได้ว่า เป็นเพราะดาบเล่มนี้ที่สะบั้นโชคชะตาแคว้นเชื้อสายมังกรของราชวงศ์ก่อนไปอย่างสิ้นเชิง

อีกฝั่งหนึ่งของสะพานแขวน ตู้อิ๋งแม่ทัพใหญ่ยังคงสวมเสื้อเกราะสีขาวหิมะของสำนักการทหารตัวนั้นอยู่เหมือนเดิม เขาใช้ดาบปักตรึงไว้บนพื้น ไม่ได้เดินขึ้นไปบนสะพาน

สตรีมือกระบี่อายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปีคนหนึ่งสะพายกระบี่ยาว ‘หลบจันทร์’ กระบี่เล่มนี้เป็นวัตถุที่อาจารย์ของนางรักมาก ผ่านกาลเวลายาวนานอยู่เคียงข้างอาจารย์ของนางมาตั้งแต่ตอนที่นางหลอมเรือนกายและหลอมลมปราณขอบเขตหก จนกระทั่งเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมจิต อาจารย์ถึงได้มอบมันให้แก่เจิ้งสุ่ยจูที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ศิษย์พี่ชายหญิงสี่คนก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เคยได้รับเกียรตินี้ ตอนที่มอบกระบี่ให้ เจิ้งสุ่ยจูเพิ่งจะอายุหกขวบ มือทั้งสองจับประคองกระบี่ กระบี่ยังสูงกว่าตัวคน พออาจารย์ที่ไม่ชอบยิ้มไม่ชอบพูดเห็นภาพนั้นเข้าก็หัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ แต่เจิ้งสุ่ยจูที่เฉียวฉลาดก่อนวัยกลับสังเกตเห็นว่าสายตาของศิษย์พี่ชายหญิงร่วมสำนักในเวลานั้นแตกต่างกันออกไป

เวลานี้เจิ้งสุ่ยจูกวาดตามองไปรอบด้าน ลมภูเขาพัดโชยมาเป็นระลอก เมืองเล็กที่สร้างอยู่บนยอดเขาเดียวดายฝั่งตรงข้ามสว่างไสวไปด้วยแสงจากตะเกียง ท่ามกลางม่านราตรีมันจึงคล้ายโคมไฟดวงใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศดวงหนึ่ง

ส่วนขันทีเฒ่าสวมชุดหม่างผู้ถือตราคุมกองม้าก็ถูมือเบาๆ แม้ว่าเส้นผมจะขาวโพลน แต่ผิวพรรณกลับยังขาวเนียนละเอียด สีหน้าเปล่งปลั่งมีราศี เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ถูกขนานนามให้เป็นเทพท่องราตรีแห่งเมืองหลวงแคว้นจินเฟย

หากว่ากันตามขอบเขตและพลังในการเข่นฆ่า อันที่จริงขันทีเฒ่าล้วนเหนือกว่าเจิ้งสุ่ยจูอยู่ระดับใหญ่ เพียงแต่ว่าตลอดทางที่เดินทางไกลลงใต้กลับเหนือร่วมกันมานี้ ขันทีเฒ่ามีท่าทีเคารพนอบน้อมต่อหญิงสาวตลอดเวลา ตบะและร่างกายของขอบเขตห้า แต่กลับสามารถใช้ปราณกระบี่และพลังพิฆาตที่เทียบเท่ากับขอบเขตหกได้ นี่ก็คือข้อดีของการได้รับสืบทอดจากสำนักขั้นสูง คือยันต์คุ้มกันกายในการท่องยุทธภพ และชื่อเสียงของอาจารย์นางก็ยิ่งเป็นยันต์คุ้มกันชีวิต รวมไปถึงกระบี่วิเศษที่ใช้ประหารก่อนรายงานทีหลังตามแคว้นใต้อาณัติและเพื่อนบ้านใกล้เคียงของราชวงศ์ต้าจ้วนอย่างกำเริบเสิบสาน การฆ่าคนของเจิ้งสุ่ยจู ขอแค่ไม่ใช่แม่ทัพอัครเสนาบดีของแคว้นอื่น ก็ไม่มีใครคิดจะถือสานาง เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจิ้งสุ่ยจูเดินทางออกจากเมืองหลวงต้าจ้วน บวกกับที่มีภารกิจลับติดกาย ดังนั้นชื่อเสียงของนางจึงยังไม่เลื่องลือได้เท่ากับศิษย์พี่ชายหญิงทั้งสี่คนของนาง

แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสามท่านหยุดเดิน หลินซูจึงได้แต่หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม

ตู้อิ๋งพลันเอ่ยว่า “ข้ารับผิดชอบตามหากวาดล้างกากเดนของราชวงศ์ก่อนมาสิบกว่าปี พรรคน้อยใหญ่ในยุทธภพมีร้อยกว่าแห่ง พวกคนที่อายุใกล้เคียงกันล้วนเคยตรวจสอบผ่านตาตัวเองมาแล้วรอบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นในวงการขุนนาง ยุทธภพแคว้นเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่กองกำลังตระกูลเซียนบนภูเขาอีกไม่น้อย หาตั้งแต่เด็กที่อายุสี่ปี วันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งทุกวันนี้ต้องคอยตามหาบุรุษอายุยี่สิบ ข้าเป็นนักสู้บนสนามรบคนหนึ่ง อีกทั้งยังมียศเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์แคว้น แต่กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ได้แต่ออกเดินทางไกลในยุทธภพ มีบ้านก็ไม่อาจหวนคืน ลำบากยิ่งนัก ต่อให้พ่อแท้ๆ ตามหาบุตรชายบุตรสาวที่พลัดพรากจากกันไปก็ยังไม่ลำบากเท่าข้า เจ้าคิดว่าอย่างไร เจ้าประมุขหลิน?”

หลินซูกุมหมัดกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ตรากตรำสร้างคุณูปการอันยิ่งใหญ่! ครั้งนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ก็ยิ่งวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมจนสามารถกวาดล้างกลุ่มอิทธิพลในยุทธภพได้อย่างราบคาบ เชื่อว่าเมื่อท่านแม่ทัพใหญ่กลับไปถึงเมืองหลวง…”

ตู้อิ๋งโบกมือตัดบทคำพูดของหลินซู “เพียงแต่ครั้งนี้ได้ร่วมมือกับเจ้าประมุขหลิน ถึงได้ค้นพบอย่างฉับพลันว่า ตนเองเป็นดั่งเงาใต้โคมไฟ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าถึงขนาดไม่เคยค้นหาภูเขาเจิงหรงของเจ้าประมุขหลินเลยแม้แต่ครั้งเดียว”

หลินซูพลันเหงื่อแตกท่วมศีรษะ

—–