ตอนที่ 1104 ความมืดมน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 1104 ความมืดมน

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหลงจู๊และโจวฮุย หนิงซือเหยียนก็ได้โยนทั้งหกคนนั้นออกไปที่ถนน

แน่นอนว่าสิ่งนี้ก่อให้เกิดความแตกตื่นขึ้นมาทันใด เมื่อคนที่เดินผ่านไปมาเหล่านั้นเห็นใบหน้าของคนทั้งหกที่นอนอยู่บนถนนอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งหนีราวกับกระรอกที่กำลังแตกตื่น เห็นได้ชัดว่าอันธพาลกลุ่มนี้มิได้เพิ่งก่อเรื่องในเมืองเซี่ยเย๋เพียงแค่วันหรือสองวันอย่างแน่นอน

ด้านโจวฮุยรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก ชาวต่างถิ่นผู้นี้มองดูแล้วคงจะเป็นพวกไร้สมอง ต่อให้วรยุทธจะสูงส่งเพียงใด แต่จะสามารถสู้กับทหารต้าเซี่ยได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเขาสามารถสังหารปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย !

การที่พวกท่านทั้งสองนั่งอยู่ที่นี่ มิได้เป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ ?

ดูเหมือนว่าหลงจู๊ผู้นี้จะค่อนข้างขี้ขลาด มือทั้งสองข้างของเขากำผ้ากันเปื้อนเอาไว้แน่น ยังมิทันได้เอ่ยอันใดออกมาก็พบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบธนบัตรจำนวน 1,000 ตำลึงออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อและวางลงต่อหน้าเขา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“จงนำชาที่ดีที่สุดมาให้ข้า จากนั้นพวกเจ้าก็ออกไปเสีย คาดว่าธนบัตรใบนี้จะสามารถชดเชยสิ่งที่เจ้าสูญเสียไปได้”

หลงจู๊รู้สึกดีอกดีใจมากยิ่งนัก เขาเก็บธนบัตรใบนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เช่นนั้น…ข้าน้อยมิเกรงใจแล้วนะขอรับ”

โจวฮุยครุ่นคิดอยู่ในใจว่า เพื่อบุตรสาว…เขาจะยังตายมิได้

ดังนั้นเขาจึงได้ยกมือขึ้นคารวะ แล้วเอ่ยออกมาอย่างไร้หนทางว่า “คุณชายผู้นี้…มองดูแล้วท่านคงจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ทว่าข้าน้อยจะขอเตือนคุณชายว่า คุณชายจะหาเรื่องผู้ใดก็ได้ ทว่าอย่าได้ไปหาเรื่องเหล่าทหารเลยขอรับ ! ”

“เพราะเหตุใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสนุกขึ้นมา

“พวกเขามิได้ศึกษาตำรา ผู้รู้หนังสือเผชิญหน้ากับทหารต่อให้มีเหตุผลมากมายเพียงใด พวกทหารป่าเถื่อนก็คงมิสนใจ เนื่องจากพวกเขามิฟังเหตุผลใด ๆ พวกเขาจะสู้กันด้วยกำปั้นเท่านั้น มองดูแล้วคุณชายก็มีหมัดที่แข็งแกร่งอยู่พอสมควร แต่จะสู้คนจำนวนมากกว่าได้เยี่ยงไรขอรับ ! ”

“อีกอย่าง…สถานที่แห่งนี้พวกเขาคือเจ้าถิ่น ข้าน้อยขอเเนะนำให้คุณชายรีบเดินทางออกไปเถิดขอรับ ! ”

“น้ำใจของเจ้า ข้าจะรับเอาไว้แล้ว ! ข้าเพียงอยากจะเห็นเสียเหลือเกินว่าต้าเซี่ยอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่บังคับใช้กฎหมาย จะมีสถานที่อันมืดมนเช่นนี้อยู่จริงหรือ”

โจวฮุยหัวเราะพลางนึกในใจว่า ช่างเป็นคุณชายที่มีความคิดง่ายดายเสียเหลือเกิน

“พื้นที่มืดมนในต้าเซี่ยยังมีอยู่อีกมากมายเลยทีเดียว แม้ว่าฝ่าบาทของเราจะทรงวางนโยบายได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว แต่ถึงเยี่ยงไรก็ยังมีพื้นที่ที่พระองค์เข้ามิถึง ข้าน้อยยังมีบุตรสาวต้องดูแล จะเป็นอันใดไปตอนนี้มิได้ ขอบคุณคุณชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ข้าน้อยขอตัวก่อน ! ”

“ตามสบาย ! ”

โจวฮุยเดินจูงมือลู่เอ๋อร์ออกไปด้านนอก ส่วนลู่เอ๋อร์เดินไปได้เพียงสองสามก้าวก็ได้หันหลังกลับไปมอง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าพี่ชายผู้นั้นช่างเก่งกาจเสียจริง

“ท่านพ่อ…พี่ชายผู้นั้นเขามิกลัวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ลู่เอ๋อร์…คนเราต้องรู้จักหาโอกาสที่เหมาะสมเพื่อหลีกหนี เมื่อใดที่ควรจะก้มหลังก็ควรก้มหลัง เขาพบเจอกับเรื่องเหล่านี้มาน้อยจนเกินไป จึงมิรู้และมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด”

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าการกระทำของพี่ชายผู้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องกันเล่า ? ”

“อีกประเดี๋ยวพวกเราค่อยกลับมาเก็บศพพวกเขาเถิด สิ่งที่เจ้าว่าถูกต้องนั้น…มักต้องแลกมาด้วยสิ่งล้ำค่าเสมอ”

……

……

โรงน้ำชาชุนยุนอันกว้างใหญ่นี้ เหลือเพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนและหนิงซือเหยียนสองคนเท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งต้มชา ส่วนหนิงซือเหยียนจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางเป็นกังวล “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นี่อันตรายมากยิ่งนัก ! ”

“หากว่าข้ามองเฮ้อซานเตาผิดไป… เจ้าเองก็เป็นถึงปรมาจารย์แล้ว จงจำเอาไว้ว่าฆ่าเขาทิ้งเสีย ! ”

“ทว่าชีวิตของเขาจะสามารถเปรียบเทียบกับชีวิตของฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ? อีกอย่าง…หากกระหม่อมเดินทางกลับไปแล้วจะอธิบายกับเหนียงเหนียงว่าเยี่ยงไร อีกทั้งยังมีขุนนางมากมายและบรรดาราษฎรในใต้หล้าอีก ? ”

“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก กองนาวิกโยธินยังมีถังเชียนจวินอยู่มิใช่หรือ ? เขาคือหลานชายของถังจู้กั๋ว คาดว่าคงจะมิทำพฤติกรรมย่ำแย่เยี่ยงเฮ้อซานเตาหรอกจริงหรือไม่ อีกอย่างหนึ่ง…” เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินใส่ถ้วยชาสองถ้วย จากนั้นก็ส่งให้หนิงซือเหยียนหนึ่งถ้วย “อีกอย่างข้าเชื่อมั่นว่าพ่อค้าที่ดินเยี่ยงเฮ้อซานเตามิได้เปลี่ยนไป ต่อให้เขามีความคิดแปรเปลี่ยน ทว่าคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งจะมิยินยอมให้เขามีความคิดเช่นนั้นอย่างแน่นอน”

“ฝ่าบาททรงหมายความว่า… เจ้าชีจ่างห้าวนั้นกำลังทำให้เฮ้อซานเตาตาบอดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มีความเป็นไปได้สูง โดยหลักแล้วเฮ้อซานเตามีหน้าที่ดูแลกองนาวิกโยธิน ส่วนกองทัพเรือที่สาม เขามิอาจดูแลได้ทั่วถึง การที่ลูกน้องก่อเรื่องเช่นนี้ จึงถือเป็นเรื่องปกติ ข้าเองก็เช่นกัน ข้าก็มิอาจดูแลขุนนางทุกคนให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมดจริงหรือไม่ ? ”

หนิงซือเหยียนมิรู้ว่าจะเอ่ยเตือนฝ่าบาทเยี่ยงไรดี ในใจของเขารู้สึกมิสงบเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเฮ้อซานเตาผู้นั้น มิเกรงกลัวต่อผู้ใด หากว่าเขาถือตนเป็นใหญ่ในเซี่ยเย๋…เรื่องนี้ก็คงสามารถจัดการได้ยาก

ส่วนฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ประมาทเลินเล่อ เขารู้ดียิ่งกว่าหนิงซือเหยียนเสียด้วยซ้ำว่าจิตใจของมนุษย์ยากเกินกว่าจะคาดเดา ดังนั้นจึงได้ให้หลงจู๊เดินทางจากไป

หลงจู๊แห่งโรงน้ำชาชุนยุนเป็นสายลับของหอเทียนจี เมื่อตอนที่เขายื่นธนบัตรให้ ในธนบัตรนั้นมีจดหมายลับถึงถังเชียนจวินหนึ่งฉบับ ด้านในกล่าวเอาไว้ว่าหากเฮ้อซานเตาคิดกบฏขึ้นมา ให้ถังเชียนจวินเข้าควบคุมกองนาวิกโยธินและจัดการเฮ้อซานเตาเสียให้สิ้นซาก

แต่สิ่งนี้คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากเห็นมากที่สุด

เขานึกย้อนไปถึงตอนนั้นที่ได้พบกับเฮ้อซานเตานอกเมืองเจี้ยนเหมิน เขาชื่นชอบเจ้าหมอนี่มากยิ่งนัก เนื่องจากเจ้าหมอนี่มีท่าทีที่เข้าตา และเขาก็เห็นเฮ้อซานเตาเป็นเหมือนพี่น้องมาโดยตลอด เขามิเชื่อหรอกว่าเฮ้อซานเตาจะหักหลังทรยศเขา

ทั้งสองคนนั่งดื่มชาอย่างเงียบ ๆ ผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้น

“ไสหัวไป ไปให้พ้นจากสายตาข้า ! ”

“นายท่านเจ็ดจะจัดการธุระ ราษฎรชั้นต่ำเยี่ยงพวกเจ้ากล้ามามุงดูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หลีกไปให้พ้นเสีย ! ทุกคนกลับบ้านของตนเองไป ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งถ้วยชา มิเช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเจ้าให้หมด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยกกาน้ำชาขึ้น หนิงซือเหยียนมองไปที่ด้านนอกประตู จากนั้นก็หยิบปืนเหมาเซ่อสองกระบอกออกมา

เขาตั้งใจบรรจุกระสุนลงในปืนสองกระบอกนั้น จากนั้นก็วางไว้บนโต๊ะ “หากว่ามีคนบุกเข้ามา สังหารหรือมิสังหาร ? ”

“แน่นอนว่าต้องสังหาร ! ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เสียงจากด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ ต่อจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของม้าตามมาด้วยเสียงปืน เสียงตะโกนคำราม และเสียงร้องโหยหวน

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ทรงรีบหลบหนีไปเถิด”

“มิเป็นไรหรอก ข้าเองก็มีปืน”

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบปืนสั้นออกมาวางไว้บนโต๊ะ อยู่ ๆ เขาก็ยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ซือเหยียน… ต่อให้แสงสุริยาจะเจิดจ้าเพียงใด ใต้หล้านี้ก็มีสถานที่ที่แสงสุริยาเข้ามิถึงอยู่ดี”

“เมื่อครู่ ข้าได้แต่ครุ่นคิดถึงคำเอ่ยของผู้เล่าเรื่อง เขาขึ้นเหนือล่องใต้เดินทางมามากมายกว่าข้านัก เขาเอ่ยว่าสถานที่มืดมนในต้าเซี่ยมีมากมาย ท้ายที่สุดแล้วก็มีบางจุดที่ข้ามองมิเห็น”

“ในวันนี้ที่เมืองเซี่ยเย๋ เรื่องที่เราได้พบถือเป็นเรื่องดี สองปีมานี้ข้าประมาทจนเกินไป” เขาสูดหายใจเข้าลึก “เดิมทีข้าคิดว่าตนเองเป็นจักรพรรดิที่ดีแล้ว ข้าคิดว่าในต้าเซี่ยข้าสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง ข้าคิดว่าขุนนางทุกคนกำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างมุ่งมั่นเพื่อราษฎร”

“ทว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ มีนายท่านเจ็ดปรากฏขึ้นในกองทัพเรือที่สาม มิแน่ว่าอาจจะมีนายท่านแปดและเก้าตามมา”

หนิงซือเหยียนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรขุนนางก็ล้วนมิได้บริสุทธิ์กันทุกคนมิใช่หรือ จักรพรรดิที่อยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยมเเล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยอีกหนึ่งประโยคว่า “เมืองจินหลิงในอดีตนั้น ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีเคยเอ่ยกับข้าไว้ว่า เมื่อน้ำใสเราจะมองมิเห็นปลา…บัดนี้ข้ารู้แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ข้าจินตนาการมากจนเกินไป พวกเขามาถึงแล้ว จงไปสังหารเสีย ! ”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบ หนิงซือเหยียนก็หยิบปืนขึ้นมา

“ปัง… ! ” เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง นายทหารที่ก้าวเข้ามาในประตูล้มลงทันใด

“ผู้ใดบังอาจสังหารท่านหัวหน้าจาง ? พี่น้อง ! บุกเข้าไปล้อมโรงน้ำชานี้เอาไว้ แล้วสังหารคนที่อยู่ด้านในให้สิ้น ! นี่คือคำสั่งของนายท่านเจ็ด ! ”

ทหารกลุ่มหนึ่งแบกปืนเดินตรงเข้าไป หนิงซือเหยียนหยิบปืนขึ้นมาสองกระบอก เสียงปืนดังขึ้นระลอกหนึ่งเขาจัดการทหารได้ห้าคน จากนั้นเขาก็วางปืนลงแล้วหยิบดาบขึ้นมา เขากำลังจะออกไปเผชิญหน้ากับพวกที่อยู่ด้านนอก ทว่าอยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากด้านนอกว่า

“ผู้ใดกันช่างกล้าหาญมากยิ่งนัก ออกมาทำลายความสงบสุขของราษฎรถึงที่นี่ ? ที่นี่ผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบกัน ? ก้าวขาออกมาประเดี๋ยวนี้ ! ”

“ทุกคนจงกลับไปเสีย และวางปืนในมือของพวกเจ้าลง มิเช่นนั้นข้าจะยิงพวกเจ้าให้ตกตายจนสิ้น ! ”

“ข้าคือเฮ้อซานเตา พวกเจ้ากินสิงโตมาหรือเยี่ยงไรกัน เหตุใดถึงได้อาจหาญถึงเพียงนี้ ? จงออกจากเมืองแล้วกลับไปยังกองทัพเสีย ! ”