สิ่งที่ซูจิ่นซีเกลียดที่สุดในชีวิตคือการข่มขู่ ยิ่งเป็นประเภทคนอาวุโสข่มผู้น้อยยิ่งแล้วใหญ่
นางกระชากเสียงเย็นชา “สิ่งที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือการถูกคนใต้หล้าประเมินค่า ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว หากคิดจะร้องขอความเมตตาภายหลัง อาจจะสายเกินไป”
นางพูดพลางเดินไปยืนอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยาอย่างทะนงตน
เป่ยถังเฮ่อที่เมื่อครู่ยังไม่รู้สึกอันใด ทว่าในไม่ช้า เขาก็รู้สึกร้อนไปทั่วผิวหนังทั้งร่าง และเริ่มรู้สึกไม่สบายเล็กน้อย จากนั้นก็คันคะเยอไปทั่วร่าง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังอย่างควบคุมไม่ได้
เยี่ยโยวเหยาเก็บกระบี่เสวียนหยวน อวิ๋นจิ่นยกเท้าออก เป่ยถังเฮ่อหัวเราะกลิ้งไปมาบนพื้น ในไม่ช้าก็หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาเล็ด แม้กระทั่งผิวหนังทั่วร่างก็เจ็บปวดจากการหัวเราะ
องครักษ์ที่ไล่ตามซูจิ่นซีและคนอื่นๆ เข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าต่างก็พากันหนาวสะท้าน
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
เมื่อครู่ พวกเขาเห็นกับตาตนเองว่าสตรีผู้นี้เพียงสนทนากับอ๋องรองและไม่ได้ทำอันใด จากนั้นอ๋องรองก็เริ่มหัวเราะไม่หยุด
นางทำอันใดกับอ๋องรองกันแน่? ลงมือเมื่อไร?
จากนั้น ทุกคนก็นึกได้ว่าก่อนหน้านี้ อ๋องรองเรียกสตรีผู้นี้ว่าซูจิ่นซี ทันใดนั้น แววตาของแต่ละคนก็มองไปที่ซูจิ่นซีราวกับเห็นปีศาจ สีหน้าพลันซีดขาว และอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้
มีเรื่องเล่าขานว่า พระชายาโยวอ๋องแคว้นจงหนิงนามว่าซูจิ่นซี วิชาแพทย์และวิชาพิษไร้ผู้ใดเทียบ โดยเฉพาะด้านการใช้พิษ แม้กระทั่งราชครูกูสือซานและหลานอวี่ ประมุขสำนักห้าพิษ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง วันนี้ได้เห็นฝีมือแล้ว เป็นจริงสมคำร่ำลือจริงๆ
วางยาพิษอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อเห็นเป่ยถังเฮ่อหัวเราะไม่หยุดจนใกล้จะขาดใจตาย องครักษ์เหล่านั้นที่ถือกระบี่ก็เริ่มหวาดกลัวจนตัวสั่นและถอยไปด้านหลังไม่หยุด พวกเขาถอยออกจากเรือนอี๋หงไปเรื่อยๆ กลัวว่าต่อไป ซูจิ่นซีจะวางพิษใส่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของพวกเขาพวกเขาต้องถูกฝังไปพร้อมกับเป่ยถังเฮ่อเป็นแน่
ในที่สุด เป่ยถังเฮ่อก็ทนไม่ไหว เขาพยายามคลานไปที่เท้าของซูจิ่นซีอย่างยากลำบาก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า พระ… พระชายาโยวอ๋อง ข้า… ข้าขอร้องเจ้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า… พระชายาโยวอ๋อง เจ้า… เจ้าเมตตาข้าเถิด! เมตตาข้าด้วยเถิด! ”
ซูจิ่นซีมองต่ำไปที่เป่ยถังเฮ่ออย่างหยิ่งทะนง
“เป็นเช่นไร? อ๋องรองเป่ยถังยินยอมมอบเพลิงอัคคีจิ่วโยวให้ข้าแล้วหรือ? ”
เป่ยถังเฮ่อชะงักครู่หนึ่ง ทว่าในไม่ช้าก็พูดว่า “มอบ… มอบ… ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยว ตราบใด… ตราบใดที่แม่นางซูถอนพิษให้ข้า ข้าก็จะพาพวกเจ้าไปเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยว”
“ตกลง! ”
ซูจิ่นซียกมือโบกแล้วโปรยผงสีขาวไม่ทราบชื่อจำนวนหนึ่งลงบนร่างของเป่ยถังเฮ่อ ทันใดนั้น เสียงหัวเราะของเป่ยถังเฮ่อก็หยุดลง
เป่ยถังเฮ่อยิ้มทั้งน้ำตาที่เปื้อนใบหน้า หลังผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับคืนมา
อู๋จุนก้าวมาข้างหน้าแล้วเตะเป่ยถังเฮ่ออย่างรุนแรง “ยังไม่รีบพาพวกเราไปเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยวอีก”
เป่ยถังเฮ่อรีบลุกขึ้น “ได้ ได้ ได้ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเดี๋ยวนี้! ”
เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น อู่จุน และคนอื่นๆ ไม่ว่าอย่างไร เป่ยถังเฮ่อก็ไม่กลัวเกรง แย่ที่สุดก็แค่ตาย ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ได้รับเพลิงอัคคีจิ่วโยว พวกเขาไม่มีทางสังหารตนแน่ ทว่าซูจิ่นซีผู้นี้น่ากลัวเกินไป นางสามารถทำให้เขาตายทั้งเป็นได้จริงๆ
เมื่อครู่ ความรู้สึกที่ว่าจะอยู่ก็อยู่ไม่ได้ จะตายก็ตายไม่ได้ เป่ยถังเฮ่อไม่อยากสัมผัสอีกแล้ว
เป่ยถังเฮ่อเดินตัวสั่นงกๆ ไปข้างหน้า โดยมีอู๋จุนเดินนำ เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีเดินตามหลังอู๋จุน และคนที่เหลือเดินอยู่ด้านหลังสุด
ในเรือนอี๋หงเป็นทางวกวน ไม่รู้ว่าเดินวนอยู่นานเท่าไรถึงออกจากประตูมาเป็นลานด้านนอก
แม้เรือนแห่งนี้จะไม่ทันสมัยและดึงดูดใจเหมือนจวนเป่ยอี้อ๋อง ทว่ามีความละเอียดอ่อนและหรูหราอย่างที่หาได้ยากในแคว้นเป่ยอี้ อู๋จุนผลักเป่ยถังเฮ่ออย่างแรง “อย่าตุกติก เพลิงอัคคีจิ่วโยวอยู่ที่ใดกันแน่? ”
เป่ยถังเฮ่อกล้าตุกติกหรือ? เขารีบชี้ไปที่สวนภูเขาเทียมที่อยู่ไกลออกไป “เพลิงอัคคีจิ่วโยว… เพลิงอัคคีจิ่วโยวอยู่ที่นั่น! ”
เดิมที ใต้สวนภูเขาเทียมเป็นทางลับ
“นำไป! ” อู๋จุนเตะเป่ยถังเฮ่ออีกครั้ง
เป่ยถังเฮ่อรีบนำทางเดินไปที่หินภูเขาเทียม จากนั้นจึงเคลื่อนหินก้อนหนึ่ง ในไม่ช้า ประตูก็ปรากฏขึ้นมาบนภูเขาหินจำลอง
บนประตูมีกระดานหมากรุกสีดำขาวสลับกัน เป่ยถังเฮ่อสลับหมากรุกสองสามตัว กระดานหมากรุกพลันแยกออก และประตูก็เปิดออก
ที่แท้ ใต้ภูเขาหินจำลองลูกนี้มีห้องลับ เป่ยถังเฮ่อเป็นผู้นำทาง ซูจิ่นซีและคนอื่นตามอยู่ด้านหลัง เดินเข้าสู่ห้องลับ
เมื่อเทียบกับห้องลับในแคว้นจงหนิง แคว้นหนานหลี และสถานที่อื่นที่ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ เคยเห็นมาก่อน ห้องลับแห่งนี้ถือว่าสะอาดกว่ามาก เห็นได้ชัดว่ามีการระบายอากาศที่ดีมาก นอกจากนี้ อุณหภูมิภายในห้องลับก็ไม่ต่ำมากนัก คงเป็นเพราะว่ามีเตาไฟจุดตลอด
ประกอบกับความสามารถของเพลิงอัคคีจิ่วโยว
ซูจิ่นซีและคนอื่นสามารถเดาได้ในทันทีว่า ที่นี่คงเป็นสถานที่กลั่นยาอายุวัฒนะ
หรือว่าในวันนั้นที่เป่ยถังเฮ่อฉกเพลิงอัคคีจิ่วโยวไปจากมือของพวกเขา ก็เพื่อใช้กลั่นยาอายุวัฒนะ?
เป็นจริงดั่งคาด เมื่อเดินมาถึงทางลับลึกเข้าไป ทุกคนก็เห็นเตาหลอมยาซึ่งวางอยู่บนแท่นสูงมากกว่าสองจั้ง และเปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนที่ลุกโชนออกมาจากเตาหลอมยา
เพลิงที่ใช้ในเตาหลอมยานี้คงเป็นเพลิงอัคคีจิ่วโยว
สายตาของซูจิ่นซีและคนอื่นล้วนอยู่บนเตาหลอมยา ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าในดวงตาของเป่ยถังเฮ่อปรากฏความผิดปกติ
เขาถอยไปข้างหลังโดยไร้เสียงสองก้าว แล้วพูดว่า “โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง และทุกท่าน เพลิงอัคคีจิ่วโยวอยู่ในเตาหลอมยานี้ ข้าไม่กล้าหลอกลวงพวกเจ้า ไม่กล้าจริงๆ ! ”
ซูจิ่นซีกำลังตั้งครรภ์จึงไม่สามารถไปเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยวด้วยตนเอง แม้นางอยากไป เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และคนอื่นๆ ก็ไม่ปล่อยให้นางไปแน่นอน
นางเหลือบมองอวิ๋นจิ่น เขาเข้าใจได้ในทันที ก่อนจะหยิบขวดขนาดเล็กที่เหมือนกับขวดที่มอบให้อู๋จุนตอนอยู่ที่แทนจิ่วโยวก่อนหน้านี้ออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเหาะขึ้นไปยังแท่นสูง
ไม่รู้เหตุใด ในใจของอู๋จุนถึงได้กระวนกระวาย เขาเหาะขึ้นไปบนแท่นสูงเช่นกัน “ข้าไปช่วยคนแซ่อวิ๋นเอง”
เพลิงอัคคีจิ่วโยวเกี่ยวข้องกับชีวิตของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงมาแคว้นเป่ยอี้ครั้งนี้ก็เพื่อช่วยชีวิตมู่หรงฉี ดังนั้นในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางจะนั่งนิ่งเฉยไม่ยื่นมือช่วยได้อย่างไร?
ดังนั้น นางจึงเหาะขึ้นไปบนแท่นสูงด้วยเช่นกัน
ใต้แท่นสูงจึงเหลือเพียงซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และถังเสวี่ยสามคน
อู๋จุนและตงหลิงหวงร่วมมือกันเพื่อเปิดเตาหลอมยา ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนก็ลุกโชนรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้ทั้งห้องลับสว่างเป็นสีฟ้าอ่อน
ดวงตาของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ พลันทอประกาย
“คนแซ่อวิ๋น รีบไปเอาเปลวเพลิง! ” อู๋จุนกล่าว
อวิ๋นจิ่นรีบเล็งขวดในมือไปที่เพลิงอัคคีจิ่วโยว และใช้กำลังภายในดูดเพลิงอัคคีจิ่วโยวเข้าไปในขวด
ขณะที่เปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนถูกดูดเข้าไปในขวดที่อยู่ในมือของอวิ๋นจิ่นอย่างต่อเนื่อง แววตาของทุกคนจดจ่ออยู่กับเพลิงอัคคีจิ่วโยว จึงไม่มีผู้ใดสนใจเป่ยถังเฮ่อที่อยู่ด้านหลัง
ดวงตาของเป่ยถังเฮ่อปรากฏแสงเย็นยะเยือก เขายกยิ้มมุมปากเย็นชา และไม่รู้ว่ามีอันใดติดอยู่บนฝ่ามือ แสงสีทองพลันเปล่งประกาย เขาลอบโจมตีใส่กลางหลังของซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี หลบไป! ”
ขณะที่ฝ่ามือของเป่ยถังเฮ่อกำลังจะฟาดที่กลางหลังของซูจิ่นซี จู่ๆ ถังเสวี่ยก็ร้องลั่นและเข้าไปขวางด้านหลังของซูจิ่นซีไว้
ดังนั้น ฝ่ามือของเป่ยถังเฮ่อจึงฟาดไปที่กลางอกของถังเสวี่ยอย่างจัง
เมื่อซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน อวิ๋นจิ่น และตงหลิงหวงได้ยินเสียง พวกเขาก็หันหลังกลับมามองยังทิศทางที่มีเสียงดังขึ้น ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว