ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 115 เริ่มเล่นทายนิ้ว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ราชามารลืมตาอยู่ตลอดเวลา ชีวิตของเขาเริ่มเลือนราง หม่นมัวลง

แต่ในตอนนี้ดวงตาเขาก็พลันกระจ่างใสขึ้นมาในทันที บางทีอาจเป็นเพราะดาวตกที่พุ่งผ่านท้องฟ้าเมื่อครู่นี้

ดาวตกนี้มาจากเขตแดนดวงดาวในตอนเหนือ บางทีอาจมาจากดาวราชาทางเหนือสุด นี่หมายความว่าอย่างไร

หากท้องฟ้าพร่างดาวต้องการจะฆ่าใครสักคน ไม่จำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า มันแค่เป็นเรื่องบังเอิญ เฉกเช่นการมาของเจ้าไม่ใช่เพราะความรอบคอบหรือกล้าหาญ แค่เพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น

ราชามารหันศีรษะไปอย่างยากลำบากเพื่อมองบุตรชาย “หากเจ้าไม่ฆ่าพี่น้องทั้งหมดจนไม่เหลือใครให้ใช้พิฆาตดวงดาวนอกจากตัวเจ้าเอง ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอดทนของเจ้า เจ้าจะยอมเสี่ยงอย่างมากมาฆ่าข้าด้วยตัวเองได้อย่างไร”

ราชามารหนุ่มพูดอย่างจริงจัง “ต่อให้พวกเขายังมีชีวิต ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาจะมาพบท่าน ดังนั้นสุดท้ายแล้วก็ต้องเป็นข้าที่ปรากฏตัวต่อหน้าท่าน”

“เรื่องอันเรียบง่ายนี้เขียนได้ดีทีเดียว เจ้าก็ทำได้ดีทีเดียว” ราชามารมองไปที่ดวงตาของเขา น้ำเสียงชัดเจน “แต่เจ้าก็ควรจะรู้ว่าพิฆาตดวงดาวมีความหมายอย่างไร เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรหากเผ่าพันธุ์อื่นทะลวงผ่านกำแพงเข้ามา”

“ท่านพ่อ ข้าได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่สุดท้ายแล้วก็สรุปว่าข้ายังจำเป็นต้องทำเช่นนี้ ประการแรกหากไม่ใช้พิฆาตดวงดาว ต่อให้กุนซือกับป้าใหญ่เสี่ยงมาด้วยตัวเอง ก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าพวกเราจะสามารถฆ่าท่านได้ เหวนรกเมื่อสองปีก่อนได้พบกับปาฏิหาริย์มาแล้ว และข้าก็หวังว่าจะไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอีก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับท่าน ประการที่สองข้าไม่สนว่าเผ่าพันธุ์อื่นจะหาวิธีทะลวงผ่านกำแพงโดยใช้พิฆาตดวงดาว เพราะมั่นใจได้เลยว่ามันต้องใช้เวลานานหลายปี”

ราชามารหนุ่มกล่าวต่อ “ต่อให้มีจำนวนเล็กน้อยมาถึงก่อนเวลา พวกมันก็ต้องกลายเป็นทาสของข้า และเมื่อวันนั้นมาถึงจริงๆ ข้าเชื่อว่าข้าจะสามารถรวมแผ่นดินที่พวกเรายืนอยู่นี้ได้แล้ว ก่อนที่กองทัพของเผ่าพันธุ์อื่น ข้าก็คงนำทัพใหญ่บุกไปแล้ว ดังนั้นเหตุใดข้าต้องมากังวลถึงปัญหานี้ด้วย”

ตอนที่เขากล่าว สีหน้าสงบอย่างมาก เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและจิตใจที่แน่วแน่อย่างไม่สิ้นสุด

ราชามารมองไปที่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นและคิดถึงภาพก่อนหน้านี้ที่เฉินฉางเซิงพุ่งมาจากด้านหลังก้อนหินพวกนั้น เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างและรู้สึกผ่อนคลาย

ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ การยึดครองดินแดน ความสำเร็จอันไม่เคยมีมาก่อนไม่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จด้วยตัวข้าเอง ข้าสามารถส่งต่อไปให้กับทายาทของข้าได้

ราชามารยิ้ม “เมื่อเจ้าเตรียมตัวไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร”

ราชามารหนุ่มก้มลงและจูบหน้าผากเขาเบาๆ กล่าวอย่างเสียใจ “ข้าเกลียดที่ต้องเห็นท่านจากไป”

“ไม่ อันที่จริงข้าควรจะจากไปนานแล้ว”

ราชามารมองไปที่ดวงตาของเขาและกล่าวต่อ “แต่ในคืนนี้เมื่อข้าได้เห็นว่าเจ้าได้พิสูจน์พลังของตัวเองอีกครั้ง ข้าจึงเข้าใจในที่สุดว่าความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของข้าคืออะไร แรงบันดาลใจยิ่งใหญ่ของข้าได้แห้งเหือดไปนับพันปีแล้ว ร่างกายข้าก็เสื่อมโทรมและแทบจะล้มครืน แต่ข้าก็ยังหวงอำนาจ ไม่ยอมที่จะส่งมอบบัลลังก์ให้กับพวกคนหนุ่มเช่นเจ้า”

น้ำตาอุ่นระอุไหลลงมาจากดวงตาของราชามารหนุ่ม “ใช่ เราไม่อาจรออีกต่อไป ดังนั้นเราจึงต้องทำเช่นนี้เพื่อเชิญให้ท่านจากโลกนี้ไป”

……

……

นี่เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชามารกับบุตร หากเขาเสียใจและไม่เต็มใจ แล้วการกบฏต่อต้านช่วงไม่กี่ปีมานี้คืออะไร

เฉินฉางเซิงพบว่ามันยากจะเข้าใจ แต่เขาก็เข้าใจบทสนทนาที่ยากจะเข้าใจระหว่างบิดากับบุตรนี้

ในคืนนั้นที่สุสานเทียนซู เขาได้อยู่ข้างกายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ เขาได้เห็นได้สัมผัสถึงวิญญาณของนักบวชที่มาจากอีกดินแดนหนึ่ง และเขาเองก็มาจากดินแดนนั้น ในบางแง่มุม เขาเป็นราชนิกุลที่ถูกเนรเทศโดยราชสำนักต้าโจว และอาจเป็นทัพหน้าของเผ่าพันธุ์อื่น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงแสงในแม่น้ำดวงดาว เขาได้เห็นโลกที่ห่างไกลลึกลับและสัมผัสถึงปราณอันน่าหวาดกลัวจำนวนหนึ่งได้รางๆ

แต่อย่างที่ราชามารหนุ่มพูด นี่เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องใช้เวลาอีกหลายปี ทั้งเขาและเฉินฉางเซิงมีเวลามากพอที่จะแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เผ่าพันธุ์ของตนแข็งแกร่งขึ้น ทำให้ทั้งต้าลู่แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะต้อนรับความท้าทายที่ไม่รู้จักนี้

ประการแรก พวกเขาต้องตัดสินว่าต้าลู่จะเป็นของใคร พูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาต้องตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไป

“ข้าต้องยอมรับว่าเจ้านั้นคู่ควรกับการเป็นความหวังของราชนิกุลที่ถูกเนรเทศ ผู้สืบทอดของอิ๋นและซาง เจ้าแข็งแกร่งว่าคำเล่าลือ คืนนี้ หากเจ้าไม่ดึงความสนใจทั้งหมดของพระบิดาไป ก็คงยากสำหรับข้าที่จะหาโอกาสชักนำการประหารจากดวงดาวมาได้”

ราชามารหนุ่มมองไปที่เฉินฉางเซิง ดูเหมือนจะอายเล็กน้อย “ในสถานการณ์แบบนี้ ข้าย่อมอับอายอยู่บ้างที่จะฆ่าเจ้า”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าต้องการฆ่าข้าอยู่ตลอดมา”

ราชามารหนุ่มยิ้ม “ใช่ ในแผนการเดิม เจ้าควรจะตายไปนานแล้ว เจ้าควรตายในมือของใต้เท้าไห่ตี๋ ไม่ก็มือของน้องสาวข้า ต่อให้เจ้ามีลูกไม้นับไม่ถ้วนในการเอาตัวรอดช่วงสองปีมานี้ เจ้าก็ยังต้องตายอย่างแน่นอนด้วยน้ำมือของพระบิดา”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า “ข้ายังมีชีวิตอยู่”

ราชามารหนุ่มตอบ “ดีมาก ข้าสามารถแก้ปัญหาได้มากมายหากข้านำสังฆราชตัวเป็นๆ กลับไปยังเมืองเสวี่ยเหล่าพร้อมกับข้า”

เผ่ามนุษย์กับเผ่ามารได้เกิดความขัดแย้งกันมานานหลายพันปีแล้ว แต่คนสำคัญในระดับสังฆราชไม่เคยถูกจับตัวเลยสักครั้ง หากราชามารหนุ่มสามารถนำตัวเฉินฉางเซิงกลับไปเมืองเสวี่ยเหล่าได้ ก็มั่นใจได้เลยว่าจะกลายเป็นช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์เผ่ามาร และจะทำให้การนั่งบัลลังก์ของเขามั่นคงขึ้น

เฉินฉางเซิงพูดแค่อย่างเดียว “เจ้าคิดหรือว่าจะมีหวังในเรื่องนี้”

ราชามารหนุ่มคิดถึงภาพที่เขาได้เห็นบนท้องฟ้าตอนที่ลืมตาและขมวดคิ้ว

ในตอนนั้น เฉินฉางเซิงได้ผสานสองกระบวนท่าที่เด็ดเดี่ยวที่สุดในหมู่เพลงกระบี่ทั้งมวลของมนุษยชาติเข้ากับกระบี่สันดาปเพื่อที่จะฆ่าตัวตาย

ไม่มีใครสามารถหยุดเฉินฉางเซิงจากการฆ่าตัวตายได้ ไม่แม้ว่าพระบิดาจะยังมีชีวิตอยู่หรือกุนซือกับผู้บัญชาการมารจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง

“ไม่มีหวังจริงๆ เช่นนั้นก็ตายไปเถอะ” ราชามารหนุ่มคิดอย่างรวดเร็วและตัดสินใจอย่างไม่รอช้า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้ากินเจ้า ดังนั้นก็รีบตายไปซะ เจ้าก็รู้ว่าข้ารักสวีโหย่วหรง ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าตายตลอดมา”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้าสับสนอยู่บ้างว่าความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน”

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าบาดเจ็บสาหัส ไม่มีกำลังเหลือที่จะสู้ แต่เจ้าก็ยังตอบโต้กับข้าอย่างใจเย็น ความมั่นใจของเจ้ามาจากไหน”

ราชามารหนุ่มยิ้ม “เจ้าไม่ต้องตอบ บังเอิญว่าข้ารู้สาเหตุพอดี”