บทที่ 886 พลังขั้นเซียน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 886 พลังขั้นเซียน

ผู้อาวุโสลู่ล่ายกระชากมือพยายามจะดึงกระบี่ของตนเองกลับคืนมา

แต่กระบี่มังกรเขียวของเขาเมื่อตกไปอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินแล้ว กลับไม่ตอบสนองสิ่งใดอีกเลย

“นับเป็นกระบี่ที่ดี”

หลินเป่ยเฉินถือกระบี่มังกรเขียวอยู่ในมือและอดอุทานออกมาไม่ได้

ด้ามจับของกระบี่มังกรเขียวให้ความรู้สึกที่ดีมาก โกร่งกระบี่แกะสลักเป็นรูปปากมังกรสวยงามน่าเกรงขาม นี่คือผลงานศิลปะชั้นยอด ตัวคมกระบี่ก็เป็นประกายแวววาวราวกับถูกขัดเงาเป็นอย่างดี มองดูแล้วคล้ายกับเขี้ยวมังกรที่พร้อมจะดื่มเลือดคนตลอดเวลา

หลินเป่ยเฉินลองควงกระบี่เพื่อสร้างความคุ้นเคย

ควับ! ควับ! ควับ!

เสียงกระบี่ตัดผ่านอากาศดังชัดเจน

พลังปราณธาตุทองคำของเขามีความสามารถในการควบคุมแร่โลหะ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย แม้ผู้อาวุโสลู่ล่ายจะลงอักขระอาคมเอาไว้บนตัวกระบี่ แต่บัดนี้ ผู้เป็นเจ้าของกระบี่กลับไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไปแล้ว

“เจ้าเป็นใครกันแน่?”

ผู้อาวุโสลู่ล่ายจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเคียดแค้น

หลินเป่ยเฉินกลับยกดาบขึ้นมาชี้หน้าและตอบว่า “เงียบหน่อย… อย่ารบกวน”

ไม่ว่าจะเป็นกิริยาท่าทางหรือวาจา ล้วนแสดงออกถึงความไม่เคารพยำเกรง แต่กลับสามารถทำให้ผู้อาวุโสลู่ล่ายหยุดพูดได้ทันที

หลังผ่านการต่อสู้เมื่อสักครู่ เขาย่อมรู้แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มชุดขาว

หากเด็กหนุ่มมีเจตนาอยากสังหารเขาจริงๆ ผู้อาวุโสลู่ล่ายก็รู้ดีว่าตนเองคงไม่มีวาสนามายืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว

เด็กหนุ่มชุดขาวผู้สวมใส่หน้ากากเงินคนนี้มีพลังสูงส่งมากเกินไป

แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับยอดฝีมือขั้นเซียน

หัวใจของผู้อาวุโสลู่ล่ายกระตุกวูบ

เพียงไม่กี่ลมหายใจก่อน เด็กหนุ่มยังเสแสร้งแกล้งปล่อยพลังลมปราณออกมาให้เขาเข้าใจว่าตนเองมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ไม่ใช่จะต่อกรไม่ได้ แต่ใครจะรู้เล่าว่า… เด็กหนุ่มกลับเก็บงำฝีมือที่แท้จริงเอาไว้! ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรก ผู้อาวุโสลู่ล่ายก็คงไม่ปรากฏตัวออกมาเด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าตู้กู่จิงหงและพูดว่า “ข้าจะให้โอกาสท่านอีกสักครั้ง จะยอมคืนผู้คนกลับมาหรือไม่?”

นับตั้งแต่แรกเริ่ม หลินเป่ยเฉินไม่มีความคิดที่จะสังหารตู้กู่จิงหงอยู่แล้ว

เพราะชายชราคนนี้เป็นบิดาของตู้กู่อู๋อิงซึ่งเป็นคนรักของเยวียนหนง

ในอนาคตย่อมเกี่ยวดองกับเยวียนเหวินจวิ้น

หากเขาฆ่าชายชราคนนี้ขึ้นมา หลินเป่ยเฉินก็คงไม่ต่างไปจากตัวร้ายที่ฆ่าพ่อนางเอกในซีรีส์กำลังภายในสักเรื่องไม่ใช่หรือ?

เขาย่อมไม่อยากเป็นตัวชั่วร้ายมากเกินไป

ตู้กู่จิงหงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสยดสยอง ริมฝีปากสั่นระริก “เรื่องนี้ ข้า…”

ดูเหมือนชายชราจะหวาดกลัวมากเกินไป หมดเรี่ยวแรงที่จะพูดอะไรออกมาอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินเห็นอากัปกิริยาของฝ่ายตรงข้าม ก็นึกรู้แล้วว่าเรื่องราวของเยวียนเหวินจวิ้นคงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด

น่าจะมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่รู้

เพราะไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะคิดอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตู้กู่จิงหงถึงต้องขัดขวางความรักระหว่างเยวียนหนงกับบุตรสาวของตนเองด้วย ในเมื่อเยวียนหนงเป็นมือกระบี่ฝีมือดี หากไม่บาดเจ็บล้มตายในสมรภูมิชายแดนเหนือไปเสียก่อน อนาคตข้างหน้าย่อมต้องขึ้นเป็นคนใหญ่คนโตในจักรวรรดิ การที่บุตรสาวจ้าวสำนักยุทธ์ได้แต่งงานกับบุคคลเช่นนี้ จึงถือว่ามีแต่ได้กับได้เท่านั้น

และการที่เยวียนหนงยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกสำนักแสงตะวัน ก็ถือเป็นการประนีประนอมทางอ้อม และนั่นก็หมายความว่าตู้กู่จิงหงเห็นด้วยกับการแต่งงานของเด็กทั้งสอง

ดังนั้น คำถามก็คืออะไรทำให้ท่านจ้าวสำนักคนนี้เปลี่ยนใจ?

คำตอบมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…

มีคนนอกเข้ามาแทรกแซง

แต่ใครกันนะที่ทำให้ท่านจ้าวสำนักแสงตะวันสามารถล้มเลิกงานแต่งของบุตรสาวและใส่ร้ายป้ายสีว่าที่บุตรเขยของตนเองได้อย่างไร้ยางอายเยี่ยงนี้?

หลินเป่ยเฉินคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

เขาไม่ใช่ตี๋เหรินเจี๋ยที่จะได้มีหลี่หยวนฟางอยู่ข้างกาย คอยช่วยไขคดีปริศนาครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่บัดนี้ การช่วยคนสำคัญที่สุด เรื่องอื่นว่ากันทีหลังก็แล้วกัน

“ท่านประมุขตู้กู่ ความอดทนของข้ามีจำกัด”

หลินเป่ยเฉินขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมองและกล่าวเสียงเรียบ “ส่งตัวอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นกลับคืนมาให้พวกเรา หลังจากคืนนี้ สำนักแสงตะวันของพวกท่านจะยังคงอยู่ ท่านจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่า จะไม่มีใครต้องตายอีก”

“แต่หากท่านยังไม่ยอมคืนผู้คนของพวกเรากลับมา ยามพระอาทิตย์ขึ้นวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่มีสำนักแสงตะวันอีกต่อไป และพื้นที่ด้านหลังท่านก็จะเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้ายของข้า ผู้มีพลังระดับเซียน”

ผู้มีพลังระดับเซียน?

ถ้อยคำประโยคนี้เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจทุกคนที่ได้ยิน

บางคนจิตใจอ่อนล้าเป็นทุนเดิม ถึงกับเวียนหัวตาลายเป็นลมไปโดยไม่รู้ตัว

แค่ธรรมดาก็น่ากลัวอยู่แล้ว

แต่เด็กหนุ่มคนนี้ยังมีพลังระดับเซียนอีกด้วย…

ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ผู้ที่มีพลังระดับเซียนมีสถานะเป็นรองก็แต่เพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น

บรรดาสมาชิกของสำนักแสงตะวัน ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ ผู้คุ้มกันหมู่ตึก ผู้พิทักษ์กฎ ผู้อาวุโสประจำสำนักต่างก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาโดยไม่ปิดบัง

การเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพลังระดับเซียน ต่อให้นำสมาชิกสำนักของพวกเขาทั้งจักรวรรดิมารวมตัวกัน ก็คงไม่อาจรับมือได้ด้วยซ้ำ

คำพูดของเด็กหนุ่มทำลายป้อมปราการในหัวใจของตู้กู่จิงหงหมดสิ้น

เขากัดฟันด้วยความเจ็บใจ พูดว่า “ประเสริฐ เห็นทีคืนนี้ข้าคงต้องยอมรับข้อเสนอของเจ้า… เด็กๆ นำตัวอาจารย์เยวียนออกมา”

หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นว่า “และเยวียนหนงด้วย”

ตู้กู๋จิงหงพยักหน้าอย่างสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ “ย่อมได้ และนำตัวคุณชายเยวียนหนงออกมาพร้อมกัน”

ศิษย์ประจำสำนักที่ยืนอยู่ด้านข้างรับคำสั่ง

คิดไม่ถึงเลยว่าพื้นที่ส่วนลึกของสำนักแสงตะวันจะยังคงมีตึกอีกหลายหลังที่ไม่พังถล่มลงมา

หลังจากนั้น

เยวียนเหวินจวิ้นและบุตรชายของเขาเยวียนหนงรวมถึงตู้กู่อู๋อิงและคนรับใช้ประจำตัวของนางอิงเอ๋อร์ ล้วนแต่ถูกนำตัวออกมาอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“เสี่ยวอิง ทำไมเจ้าถึง… ฮื่อ”

เมื่อเห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักปรากฏตัว ท่านประมุขตู้กู่ก็ถึงกับชะงักกึก ตอนแรกเขาคิดคัดค้าน แต่ตอนหลังได้แต่ถอนหายใจ ตู้กู่จิงหงรู้ดีว่าหากตนเองอยากมีชีวิตอยู่รอด เขาต้องกล้ำกลืนคำพูดทุกอย่างกลับลงคอไปก่อน

“อาจารย์ขอรับ…”

“ท่านอาจารย์เยวียน!”

หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกยิ้มร่า ก่อนวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ

กลุ่มศิษย์ของสำนักแสงตะวันไม่ได้ขัดขวาง มิหนำซ้ำ พวกเขากลับหลีกทางให้กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

“พี่ตู้กู่ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ?”

“พี่อิงเอ๋อร์ ไหนว่าท่าน… ประเสริฐ ท่านยังไม่ตาย พวกข้าดีใจเหลือเกิน”

กานเซียวซวงพร้อมด้วยกลุ่มเด็กสาววิ่งเข้ามาสวมกอดตู้กู่อู๋อิงกับอิงเอ๋อร์ ร้องไห้ไปด้วยพลางหัวเราะไปด้วย

โดยเฉพาะเมื่อพวกนางรู้ความจริงว่าคนรับใช้อิงเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็คือเรื่องที่น่าดีใจที่สุดแล้ว

ความหมองเศร้าและทุกข์ทรมานที่กัดกินหัวใจตลอดระยะเวลาหลายวัน ในที่สุดก็ถูกขจัดปัดเป่าหายไป

เมื่อสอบถามที่มาที่ไปกันได้สักครู่ เยวียนเหวินจวิ้นและบุตรชายจึงรู้จากหลี่ซิวเยวียนว่าพวกตนเองถูกปล่อยตัวออกมาได้อย่างไร สองพ่อลูกย่อมตกตะลึง พวกเขารีบเดินเข้ามาขอบคุณหลินเป่ยเฉินเป็นการใหญ่

“อาจารย์เยวียนเป็นผู้มีพระคุณของทุกคน ข้าจะปล่อยให้ท่านเน่าตายอยู่ในคุกได้อย่างไร…”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตนเองปากไม่ดีชอบกล จึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เอ่อ ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว นับเป็นเกียรติของข้าเหลือเกินที่ได้ช่วยเหลือท่านออกมา”

แต่หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พบเห็นความผิดปกติ

แม้เสื้อผ้าของเยวียนเหวินจวิ้นจะเปื้อนเลือดเต็มไปหมด แต่อาการบาดเจ็บของเขากลับไม่รุนแรง รอยเลือดที่อยู่บนเสื้อผ้าเหมือนกับรอยเลือดที่ถูกสาดเข้ามา ไม่ใช่รอยเลือดที่เกิดขึ้นเพราะการไหลซึมจากบาดแผล เมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็สังเกตปฏิกิริยาคนรอบข้าง ปรากฏว่าทุกคนตกตะลึงมากเกินไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งนี้เลย

เมื่อพูดคุยกันอีกเล็กน้อย

กลุ่มผู้มาเยือนก็ขอตัวกลับ

ตู้กู่อู๋อิงชำเลืองมองไปที่บิดาของตนเองซึ่งยืนอยู่หน้าประตูสำนักแสงตะวัน สีหน้าของนางหมองเศร้าขณะถูกคนรับใช้สาวฉุดดึงให้ออกเดินทางไปพร้อมกับกลุ่มผู้มาช่วยเหลือ

หลินเป่ยเฉินไม่ได้เคลื่อนไหวอีก

แน่นอนว่าเขาไม่มีเจตนาคืนกระบี่มังกรเขียว

ถึงความจริงหลินเป่ยเฉินจะไม่ค่อยชอบพวกกระบี่ใบบางเช่นนี้สักเท่าไหร่ แต่กระบี่มังกรเขียวเล่มนี้มีความสวยงามมากเกินไป และน่าจะมีราคาแพงไม่ใช่น้อย ถ้าเขาไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่างน้อยก็คงเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นศิลาบูชาได้หลายก้อน

ทุกคนได้แต่ยืนจ้องมองรถม้าแล่นจากไปบนถนนเซี่ยเฟย

เมื่อรถม้าหายลับไปจากสายตา สมาชิกของสำนักแสงตะวันจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ความรู้สึกเหมือนมีกระบี่พาดลำคอตลอดเวลาหายไปแล้ว

“เรื่องราวชักจะยุ่งยากไปกันใหญ่แล้วสิ”

ผู้อาวุโสลู่ล่ายมีสีหน้าตื่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอำมหิตขณะถามว่า “ท่านประมุขตู้กู่ จงอธิบายมาเดี๋ยวนี้ เหตุไฉนเชียนจินถึงไปกับเขา?”