ตอนที่ 2301 ทะเลไร้ขอบเขตกับเกาะรวมปราณ

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ในทะเลใหญ่ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และปีศาจ ในหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะนับร้อย บนเกาะขนาดใหญ่ที่มีรัศมีหมื่นลี้ ลำแสงหลายสีวูบวาบไม่หยุด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าพันคนกำลังทำบางอย่างบนเกาะอย่างรีบร้อน

ยอดเขาที่สูงที่สุดบนเกาะขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นศูนย์กลาง เจดีย์ตำหนักก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ เทือกเขาในแต่ละลูก

ในเวลาเดียวกัน ธงอาคมและจานแปดเหลี่ยมก็ล้วนแต่ถูกผู้บำเพ็ญเพียรพวกนี้ประดับไว้ทั่วทั้งเกาะ ค่ายกลต้องห้ามพลันปรากฏขึ้น

ในใจกลางของยอดเขาขนาดใหญ่ที่สูงที่สุด หานลี่กำลังวางก้อนหินสีดำและสีขาวขนาดเท่าหัวลงในเขตอาคมขนาดยักษ์ที่มีขนาดหลายหมู่

ตอนที่ก้อนหินถูกใส่เข้าไป ทั่วทั้งเขตอาคมก็ส่งเสียงดังสนั่น อักษรรูนสีทองและสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากทุกที่

สำหรับหินกลมสีดำและสีขาวนั้น ลำแสงสีดำและขาวสว่างวาบบนพื้นผิว คลื่นประหลาดแผ่ออกมาจากมัน แล้วก็สลายไปในความว่างเปล่า

“ค่ายกลนี้เพียงพอที่จะกระตุ้นให้แสงแม่เหล็กสองลักษณ์ต้านทานศัตรูจากนอกเกาะได้หรือไม่” อิ๋นเย่ว์ที่จ้องมองทั้งหมดนี้อยู่ด้านข้างหานลี่ ในเวลานี้อดไม่ได้ที่จะถามออกมา

“อ่า วางใจเถิด เขตอาคมหมื่นแรงดูดสองลักษณ์นี้ เป็นเขตอาคมที่ข้าศึกษามาจากเขตอาคมโบราณชนิดหนึ่งเพื่อนำมาสร้างขึ้น เป็นเพราะใต้เกาะทั้งเกาะนี้มีชีพจรแม่เหล็กขนาดใหญ่อยู่หลายสาย หากกระตุ้นพลังทั้งหมดของค่ายกลนี้อย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงแต่สามารถต้านทานศัตรูจากนอกเกาะได้ อีกทั้งยังสามารถแผ่ขยายขอบเขตของเขตอาคมนี้ให้กว้างออกไปได้อีกเป็นสิบเท่า” หานลี่ลูบคางพลางเอ่ยออกมา

“หากเป็นเช่นนั้น เกาะรวมปราณแห่งนี้ก็นับได้ว่าสงบสุขไร้ความกังวล ข้าเคยเรียนรู้เกี่ยวกับพลังของแสงแม่เหล็กสองสัญลักษณ์ เพียงแค่ไม่สูญเสียชีพจรแม่เหล็กที่ด้านใต้ไป หากระดับมหายานเข้ามาโดยประมาท ก็สามารถกักขังไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง” อิ๋นเย่ว์ยิ้มออกมาบางๆ

“ไม่เพียงเท่านี้ ข้าค้นพบว่าชีพจรแม่เหล็กของทั้งทะเลไร้ขอบเขตนี้ดูเหมือนว่าจะรวมกันอยู่ที่ใต้ของหมู่เกาะนี้ ด้านใต้ของเกาะอื่นๆ ก็มีชีพจรแม่เหล็กอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่อยู่ใต้เกาะรวมปราณนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะสามารถสร้างเขตอาคมหมื่นแรงดูดสองลักษณ์ได้อย่างง่ายๆ อีกมาก ด้วยวิธีนี้ เขตอาคมพวกนี้และเกาะนี้ก็สะท้อนซึ่งกันและกัน เพียงพอที่จะเพิ่มพลังส่วนน้อยของแสงแม่เหล็กสองสัญลักษณ์ อาณาเขตของเขตต้องห้ามก็จะยิ่งแผ่ขยายออกไปอีกหลายระดับ” หลังจากที่หานลี่มองชนวนของเขตอาคมขนาดใหญ่ จึงพูดออกมาด้วยความพึงพอใจ

“หากถึงจุดนี้จริง ทะเลไร้ขอบเขตทั้งหมดก็จะถือว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พี่หานเองก็จะมีรากฐานที่มั่นคง” หลังจากอิ๋นเย่ว์กรอกตาเล็กน้อย ก็พูดออกมาอย่างปลงๆ

“ฮ่าๆ เป็นอันใด อิจฉาข้างั้นรึ หากว่าข้าจำไม่ผิด เผ่าหมาป่าทางด้านนั้นก็เหมือนจะนำคนมาด้วย เจ้าไม่มีความคิดที่จะไปพบหน่อยหรือ หากกลับไปได้ ตำแหน่งราชาหมาป่าจะต้องเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน” หานลี่หันศีรษะมาพูดด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย

“ข้าไม่เคยคิดอยากจะดำรงตำแหน่งนั้น ราชาแห่งหมาป่าก็ให้พวกคนแก่นั่นเป็นคนเลือกเองเถอะ ตอนนี้ข้าคิดเพียงแต่วิธีที่จะเพิ่มระดับพลังยุทธ์ขึ้นไปอีกระดับ จนสามารถเข้าสู่ระดับมหายานได้ หากเป็นเช่นนี้ ก็ห่างจากท่านไม่มากแล้ว” อิ๋นเย่ว์ได้ยินคำพูดนั้น จึงกล่าวออกมาด้วยสายตาปลาตาย

“ที่แท้เย่ว์เอ๋อร์ไม่ต้องการตำแหน่งราชาหมาป่า เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว สำหรับเคล็ดวิชาลืมอารมณ์ที่เจ้าฝึกอยู่ ข้าได้ค้นหาอ่านตำรามากมาย ในที่สุดก็พบว่ามันดูไม่เหมือนกับคำพูดที่ผู้อาวุโสเอ๋าเซี่ยวกล่าวไว้ ว่าจะไม่มีทางหันหลังกลับได้” หลังจากหานลี่พยักหน้าเล็กน้อย พลันพูดออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“อะไรนะ เจ้าบอกว่าเคล็ดวิชาลืมอารมณ์ยังมีหนทางให้หวนกลับได้ แต่ว่าคุณปู่ท่านเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า นอกจากข้าต้องเต็มใจที่จะให้พลังยุทธ์ตกลงสู่ระดับหลอมสุญตาอีกครั้ง มิเช่นนั้นจะไม่มีทางที่จะเลิกฝึกเคล็ดวิชานี้ได้ และหากวันหนึ่งละทิ้งเคล็ดวิชานี้ พลังยุทธ์ของข้าหลังจากนี้ก็จะเพิ่มขึ้นได้ยากแล้ว” เมื่ออิ๋นเย่ว์ได้ยินคำพูดนี้ก็ยินดียิ่งนัก ทว่าต่อมาก็มีสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อในคำพูดนี้

“หากต้องการละทิ้งเคล็ดวิชาลืมอารมณ์โดยสิ้นเชิงคงเป็นไปไม่ได้ ทว่าหากต้องการแยกมันให้เป็นอิสระจากร่างกาย ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางทำได้” ม่านตาของหานลี่หดลงเล็กน้อย เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ

“แยกออกมาจากร่าง! คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร” อิ๋นเย่ว์ไม่เข้าใจ

“พูดเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริง การดำเนินการนั้นค่อนข้างจะยุ่งยาก ข้าจะพูดแบบรวบรัด! เพียงแค่เจ้าต้องหลอมร่างจำแลงขึ้นมาร่างหนึ่ง แล้วนำพลังปราณแท้ทั้งหมดที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาลืมอารมณ์เปลี่ยนไปใส่ไว้ในร่างจำแลง เมื่อเป็นเช่นนี้ อารมณ์เชิงลบเหล่านั้นน่าจะมีโอกาสสูงที่จะถูกแยกออกจากร่างกายด้วยเช่นกัน” หานลี่อธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ทำเช่นนี้จะสามารถละทิ้งเคล็ดวิชาลืมอารมณ์ได้?” อิ๋นเย่ว์มีท่าทีไม่เชื่อในคำพูดนี้เล็กน้อย

“ร่างแยกปกติทั่วไปแน่นอนว่าไม่ได้ อีกทั้งหลังจากแยกปราณแท้เคล็ดวิชาลืมอารมณ์แล้ว วันหนึ่งพลังยุทธ์ของเจ้าก็จะตกไปยังระดับหลอมสุญตา ข้อดีเพียงข้อเดียวคือ จะไม่มีปัญหาที่จะเลื่อนพลังยุทธ์อย่างยากลำบาก อีกทั้งเมื่อกลับขึ้นมายังระดับผสานอินทรีย์อีกครั้ง ก็จะไม่พบเจออุปสรรคที่ยากลำบากใดๆ อีก ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ เจ้าจำเป็นต้องใช้เวลาในการฝึกพลังยุทธ์มากขึ้นเพียงเท่านั้น” หานลี่อธิบายให้นางฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

“เพียงแค่ต้องใช้เวลามากขึ้นเท่านั้น แลกกับการแก้ปัญหาที่ต้องแบกรับภาระจากเคล็ดวิชาลืมอารมณ์ โดยพื้นฐานแล้วจะนับเป็นอะไรได้ ทว่าเจ้ามั่นใจแค่ไหนกับการคาดคะเนนี้ มีความสำเร็จกี่ส่วน?” อิ๋นเย่ว์ยังมีความลังเลอยู่เล็กน้อย

“ไม่มาก มีเพียงแค่เจ็ดแปดส่วน แต่หากต้องการแยกเคล็ดวิชาลืมอารมณ์ออกจากร่าง คงพึ่งแค่เจ้าเพียงคนเดียวไม่ได้ จำเป็นต้องมีผู้ที่มีพลังยุทธ์หรือจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งกว่าเจ้ามาเป็นผู้ช่วยคนหนึ่ง หากเจ้าตั้งใจเช่นนี้จริง ข้าจะช่วยเหลือเจ้าด้วยตัวเอง” หานลี่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“เจ็ดถึงแปดส่วน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่การบ่มเพาะร่างแยกไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ร่างแยกทั่วไปคงเป็นไปไม่ได้” อิ๋นเย่ว์กัดฟันตอบ

“อย่ากังวล หากล้มเหลว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตของเจ้า อีกทั้งข้าได้จัดหาร่างแยกไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” หานลี่ได้ยินดังนี้ ยิ้มเล็กน้อยแล้วสะบัดแขนเสื้อ ข้างกายพลันปรากฏแสงสีเขียวในทันที เงาร่างสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นออกมา

“เอ๊ นี่ไม่ใช่ร่างวิญญาณของเจ้าหรอกหรือ! หรือว่าเจ้าจะส่งมอบมันเพื่อให้เป็นร่างแยกของข้า” เมื่ออิ๋นเย่ว์ได้เห็นร่างที่แท้จริงในเงาสีเขียวอย่างชัดเจน ก็ตกใจเป็นอย่างมาก

ที่แท้เงาสีเขียวนี้คือร่างวิญญาณเห็ดเซียนของหานลี่

“เจ้าเดาถูกแล้ว ร่างวิญญาณนี้ไม่เหมือนกับร่างจำแลงทั่วไป ภายในร่างไม่มีจิตวิญญาณอยู่แม้แต่น้อย เป็นเพียงร่างที่ว่างเปล่าเพียงเท่านั้น ปกติแล้วการบงการข้าก็มอบหมายให้ฉวี่เอ๋อร์หรือใช้จิตสัมผัสสายหนึ่งควบคุมมันเพียงเท่านั้น ตอนนี้พลังยุทธ์ของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ร่างวิญญาณระดับผสานอินทรีย์นี้ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อข้าแล้ว ส่งให้เจ้าใช้จะเป็นการเหมาะกว่า เพราะว่าใช้เห็ดเซียนในการสร้างจิตวิญญาณขึ้น ดังนั้นร่างกายมันจึงบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก สามารถหลอมรวมพลังปราณแท้ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีพลังยุทธ์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นสูงอยู่ด้วย รวมปราณแท้เคล็ดวิชาลืมอารมณ์ของเจ้าเข้าไปทั้งหมดก็ไม่มีปัญหา และไม่ต้องกังวลว่ามันจะมีผลข้างเคียงอันใด” ขณะที่หานลี่พูดเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งแตะไปที่ความว่างเปล่าที่ร่างวิญญาณ

ร่างวิญญาณส่องแสงสีเขียวออกมาโดยทันที หลังจากพร่าเลือนช่วงหนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างกายที่หุ่นดีสวยงามน่าดึงดูด อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนไปวิจิตรเหมือนกับอิ๋นเย่ว์ไม่มีผิด มีเพียงแค่ผิวหนังที่ยังคงเป็นสีเขียวจางๆ

อิ๋นเย่ว์เห็นเหตุการณ์นี้ ก็รู้สึกตื่นตกตะลึง

หานลี่จ้องมองร่างวิญญาณเล็กน้อย ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่

เดิมทีเขาคาดหวังว่าภายใต้การหล่อหลอมของเหลวสีเขียวลึกลับ พลังยุทธ์จะถีบตัวขึ้นไม่หยุด

แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด หลังจากที่ร่างวิญญาณนี้เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นสูงได้อย่างไร้ที่ติ ไม่ว่าจะใช้ของเหลวสีเขียวเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางที่จะเพิ่มระดับเข้าสู่มหายานได้เลย

หลังจากนั้นเขาเคยได้รับกระดูกวิญญาณปีศาจมาจากเมืองเซวี่ยยาในแดนมาร ตอนแรกหวังว่าหลังจากหลอมกระดูกวิญญาณนี้กับร่างวิญญาณ จะเพียงพอที่จะเพิ่มระดับเข้าสู่มหายานได้อย่างราบรื่น

แต่ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหลังจากที่หลอมกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างเห็ดวิญญาณเซียน มันก็ยังคงไม่สามารถก้าวข้ามระดับชั้นได้

กลับกันฉวี่เอ๋อร์ได้รับอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งหลายชนิดจากความทรงจำที่สืบสานกันมาจากความทรงจำกระดูกวิญญาณนี้ ซึ่งนี่ทำให้หานลี่ผิดหวังเป็นอย่างมาก

ภายใต้สภานการณ์เช่นนี้ สู้ส่งร่างวิญญาณนี้เพื่อใช้แก้ปัญหาให้อิ๋นเย่ว์จะดีกว่า

“ในเมื่อพี่หานเต็มใจที่จะมอบร่างจำแลงวิญญาณนี้ให้ เช่นนั้นเย่ว์เอ๋อร์ก็จะขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจแล้ว หากมีร่างจำแลงนี้ ข้ามีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ขึ้นมาหลายส่วน เวลาไม่คอยท่า ตอนนี้น้องสาวคนนี้คงต้องขอตัวกลับไปขัดเกลาร่างวิญญาณนี้ก่อน นับจากนี้อีกร้อยวัน คงจะสามารถเริ่มแก้ปัญหาของเคล็ดวิชาลืมวิญญาณได้แล้ว” หลังจากอิ๋นเย่ว์ถอนหายใจเล็กน้อย ก็พูดกับหานลี่ด้วยท่าทีแปลกประหลาดเล็กน้อย

“นี่สิดี! ยิ่งเจ้าแก้ปัญหาของเคล็ดวิชาลืมวิญญาณได้เร็วแค่ไหน ก็จะยิ่งวางใจได้เร็วเท่านั้น ในระหว่างที่เจ้าปิดด่าน ข้าจะลงไปตรวจตราการสร้างจวนและค่ายกลทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นจึงจะสามารถช่วยเจ้าแยกปราณแม้ออกจากร่างได้อย่างเต็มกำลัง” หานลี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

อิ๋นเย่ว์ยิ้มให้หานลี่อย่างสวยงาม หลังจากทำมือร่ายคาถา ร่างทั้งร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเงาสลายหายไป

หานลี่หมุนตัวจากไปอย่างไม่รีบร้อน เริ่มทดสอบข้อจำกัดต่างๆ ที่ได้มาจากการวิวัฒนาการของค่ายอาคมด้านหน้า

เหตุผลที่เขารีบที่จะแก้ปัญหาเคล็ดวิชาลืมวิญญาณของอิ๋นเย่ว์ขนาดนี้เป็นเพราะว่าต้องการเตรียมพ้อมที่จะเดินทางไกลต่อจากนี้ในอีกไม่ช้า

เพราะไม่รู้ว่าการไปยังแผ่นดินใหญ่อื่นๆ ในครั้งนี้จะต้องพบเจอกับความวุ่นวายแบบใดบ้าง เขาย่อมไม่อยากให้อิ๋นเย่ว์มีความเสี่ยงที่จะเจออันตรายในการเดินทางร่วมกัน

แท้จริงแล้วแดนวิญญาณไม่เล็ก แม้ว่าเขาจะพบเจออันตรายร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่มีปัญหาหากต้องปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่ง่ายเมื่อพูดถึงคนรอบข้าง

หานลี่วางแผนว่าการเดินทางไปยังแผ่นดินใหญ่อื่นๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากจูกั่วเอ๋อร์ที่จำเป็นต้องไปกับเขาแล้ว ก็คิดว่าจะพาบรรพบุรุษฮวาฉื่อเป็นผู้ติดตามไปด้วย

เป็นเพราะจูกัวเอ๋อร์สามารถตรวจหาเส้นทางของแดนวิญญาณย่อยได้ เพราะจำเป็นต้องยืมพลังจิตของนาง จึงต้องพาตัวไปด้วย

ส่วนฮวาฉื่อเป็นเพราะว่ามีอิทธิฤทธิ์ทางน้ำที่แข็งแกร่ง หากไปที่แผ่นดินอื่น มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่อาจจะได้ใช้มัน

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เงาที่ถูกซ่อนไว้เป็นเวลานานก็แวบเข้ามาในจิตใจของหานลี่ แต่หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็วางมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจชั่วคราว

หากการเดินทางไปยังทวีปอื่นเป็นไปด้วยความราบรื่น หลังจากนี้ไม่นานเขาจะได้เห็นร่างที่แท้จริงของเงาที่สวยงาม

แต่สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือจัดการค่ายอาคมหมื่นแรงดูดสองลักษณ์ขนาดใหญ่นี้ให้สำเร็จอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้เหลือช่องโหว่ใดไว้

เวลาผ่านไปสามปี

เกาะรวมปราณในเวลานี้ต่างกับเมื่อสามปีก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

ในขณะนี้ ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณบนเกาะมีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเท่านั้น แต่ยังมีนกและสัตว์จิตวิญญาณบางตัวอยู่ระหว่างเนินเขาใหญ่และเล็ก บ้างโฉบและเต้นรำ บ้างเดินอย่างสบายๆ

ระหว่างตำหนักและเจดีย์ ยังมีหุ่นเชิดในชุดเกราะติดอาวุธครบชุด ลาดตระเวนไปมาอย่างไร้ความรู้สึกตลอดเส้นทางที่มั่นคง

ทำให้ดูเหมือนอยู่ในแดนพิศวง แต่ว่ามีไอสังหารอันน่าเกรงขามอยู่ในอากาศมากมาย

ทันใดนั้นมีเสียงระฆังดังสูงต่ำอย่างต่อเนื่องดังมาจากที่ยอดเขาบนเขาที่ใหญ่ที่สุด ลำแสงมากมายพุ่งออกมาอย่างเงียบๆ จากยอดของสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนยอดเขาอื่นๆ ทั้งหมดล้วนแต่พุ่งตรงไปยังส่วนยอดของเขาที่ใหญ่ที่สุด

“คารวะท่านปรมาจารย์ ยินดีด้วยที่ท่านออกจากด่าน!”

หลังจากที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับกลางและสูงนับพันได้ปรากฏตัวขึ้นที่ยอดเขา ทั้งหมดก็ล้วนคารวะไปทางเจดีย์สีเงินที่อยู่ด้านหน้า…