เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1321
สิบวันหลังจากนั้น ที่ตระกูลหาน บริเวณภูเขาด้านหลัง
ลู่ฝานยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง ค่อย ๆ สูดหายใจเข้าออก ร่างกายที่มีสีแดงนั้น ก็กระพริบแสงอย่างไม่หยุดพร้อมกับการหายใจของเขา
หลังจากที่ได้กินยาเทวดาไปเมื่อสิบวันก่อนนั้น ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ เขาอยู่ในสภาพที่วิทยายุทธเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
โดยปราณชี่ในร่างกายของเขาตอนนี้ มากมายจนใกล้จะเอ่อล้นออกมาแล้ว กล้ามเนื้อและกระดูกทุกส่วนทั่วร่างกาย ต่างก็ส่งเสียงหึ่งขึ้นอย่างพึงพอใจ
กล้ามเนื้อและกระดูกส่งเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน แสดงว่านี่คือสภาวะที่เปี่ยมล้นไปด้วยพละกำลัง
หากดำเนินแบบนี้ต่อไป ก็คือการทะลุข้ามขั้นแดน วิทยายุทธจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น
สูดหายใจเข้า ถอนหายใจออก
ลู่ฝานปิดตาสองข้างลง รับรู้ถึงสรรพสิ่งที่อยู่ระหว่างชั้นฟ้าชั้นดิน
สายลมพัดโบกผ่านร่างกาย ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมผ่านปลายจมูก ฟ้าดินอยู่ท่ามกลางจิตใจ และมีรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“สิบสาม นายว่าลู่ฝานเขากำลังฝึกทักษะวิชาบู๊อะไรอยู่เหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันลี้ลับยิ่งนัก เหมือนกับ……อืม เหมือนกับที่ในตอนนั้นอาจารย์ได้แสดงจิตบู๊เข้าฌานให้ฉันดูอย่างนั้นเลย! ”
หลิงเหยาเอียงศีรษะ และสอบถามขึ้น
สิบสามส่ายศีรษะอย่างช้า ๆ หากว่าเขาสามารถมองออกอย่างเข้าใจแล้ว วิทยายุทธของเขาก็น่าจะเทียบเท่าได้กับระดับของลู่ฝานแล้ว
ที่ด้านข้างพวกเขา ทั้งฉู่สิง ฉู่เทียน และศิษย์พี่ใหญ่ต่างก็ตั้งอกตั้งใจมองดูไปที่ลู่ฝาน แม้แต่หลินหย่าก็ยังเป็นหนึ่งในนั้นด้วย
นับแต่ที่พวกเขาย้ายเข้ามาพักอาศัยอยู่ที่ภูเขาด้านหลังตระกูลหาน ก็สังเกตเห็นว่าลู่ฝานจะฝึกฝนวิชาอยู่ที่หน้าประตูทุกวัน
เพียงแต่ในช่วงแรกที่เริ่มต้นนั้น จะมีเพียงสิบสามและเจ้าดำที่มองดูอยู่ด้านข้าง แต่ในตอนนี้ ทุกคนต่างก็มาดูลู่ฝานฝึกฝนวิชา ซึ่งไม่นึกว่าจะสามารถพบเห็นและรู้สึกได้ถึงวิถีบู๊ด้วย
ดังนั้นในทุกวันพวกเขาเหล่านี้ก็จะยกเก้าอี้ของตนมานั่งดูอย่างตรงเวลา ราวกับว่าลู่ฝานกลายเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างหนึ่งไปแล้ว
เวลาที่ลู่ฝานแสดงท่วงท่าอะไรนั้น พวกคนอื่นก็ยังเรียนรู้ฝึกฝนตามไปด้วย เผื่อว่าจะสามารถลักจำความรู้อะไรบางอย่างได้บ้าง
ในบางครั้งลู่ฝานเองก็รู้ว่าทุกคนกำลังมองดูเขาฝึกฝนวิชา ดังนั้นทุกครั้งที่เขาฝึกฝนวิชาจิตบู๊ไท่อี่ หรือว่าวิชาบู๊สรรพสิ่งไร้รูปร่างเป็นต้น ก็มักตั้งใจที่จะแสดงท่วงท่าที่ช้าลง และช้าลงไปอีก
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ต่างก็ได้รับวิชาความรู้เพิ่มเติมไปไม่น้อย
ส่วนตัวลู่ฝานเองนั้นก็ยิ่งพัฒนาก้าวหน้าไปเป็นอย่างมาก!
กร็อกแกร็ก!
เสียงดังฟังชัด ที่ดังออกมาจากภายในร่างกายของลู่ฝาน ราวกับว่ามีสิ่งของบางอย่างได้แตกหักลงแล้ว
จากนั้น ด้านบนเหนือศีรษะของลู่ฝาน ก็มีลำแสงห้าสีมารวมกัน เหมือนจะกลายเป็นวงแหวนห้าธาตุ ค่อย ๆ ตกลงมาเหนือศีรษะของลู่ฝาน
ขณะที่สัมผัสกับผมของลู่ฝาน ท่ามกลางวงแหวนห้าธาตุ ก็มีลำแสงผุดออกมา กลายเป็นเสาแสงในพริบตา และปกคลุมไปทั่วร่างของลู่ฝาน
ผิวหนังและเลือดเนื้อของลู่ฝาน ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังอาศัยพลังจากห้าธาตุในการบำเพ็ญฝึกฝน บนร่างกายก็เริ่มปรากฏรอยประทับห้าธาตุขึ้นอย่างเบาบางแล้ว
แม้ว่าจะไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าบ้างแล้ว
นี่เป็นการแสดงออกว่ากำลังเข้าสู่แดนปราณฟ้า แต่ลู่ฝานกลับแสดงท่าทีอย่างสงบนิ่งไม่สะทกสะท้าน
เมื่อลำแสงห้าธาตุสูญหายไป ร่างกายของลู่ฝานก็เริ่มปะทุปราณชี่ที่ราวกับก้อนหินออกมา
พลังปราณของนักบู๊ทั่วไปนั้น ล้วนเป็นลักษณะหมอกควัน ส่วนนักบู๊ที่เก่งกาจขึ้นหน่อย ก็จะสามารถฝึกฝนจนเป็นลักษณะของน้ำ แต่หากจะฝึกฝนจนเป็นลักษณะของก้อนหินได้นั้น จะมีอยู่ไม่มากจริง ๆ
นี่คือการแสดงออกของการแข็งตัวของพละกำลัง ในอีกมุมหนึ่งขฌ จะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับความเข้มแข็งของพละกำลังของนักบู๊คนนั้น
เวลานี้ขภ ปราณชี่ในร่างกายของลู่ฝาน หากจะพูดจากระดับของการแข็งตัว ก็แทบจะถึงจุดขีดสุดของนักบู๊ปราณดินแล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็จะถึงขั้นที่ปราณไร้ระยะ พลังไร้ตัวตนของนักบู๊ปราณฟ้าแล้ว!
ลู่ฝานค่อย ๆ ลืมตาสองข้างขึ้น แล้วมองไปที่ฝ่ามือของตนเอง และพึมพำขึ้นว่า: “ทะลุขั้นแดนอีกแล้ว! ”
ยิ้มเล็กน้อย แล้วก็สะบัดกำปั้นออกไป
เมื่อปล่อยปราณชี่ออกมา ฝุ่นละอองบนพื้นดินไม่เคลื่อนไหว แต่กลับพุ่งทะยานไปไกล ปราณชี่แทรกตัวขึ้นมาจากพื้นดิน กระแทกเข้าใส่จนก้อนหินใหญ่แตกสลายกลายเป็นผุยผง
เมื่อจิตใจนึกคิด ปราณชี่ก็แผ่กระจายเป็นวงกว้าง และสามารถลึกลงไปสู่ใต้ดิน จนมองเห็นเศษหินและแมลงที่อยู่ใต้ดิน
เมื่อกวาดสายตามองไป ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นชั่วขณะ ทั้ง ๆ ที่ลู่ฝานก็ไม่ได้ใช้พลังอะไร แต่พวกเขากลับรู้สึกว่าไม่สามารถสบตากับลู่ฝานได้ จนกว่าลู่ฝานจะเก็บพลังแสงในดวงตาขึ้น
“ยินดีกับนายด้วย ศิษย์น้องลู่ฝาน นายทะลุขั้นแดนอีกแล้ว นี่เป็นการทะลุขั้นแดนครั้งที่เท่าไรแล้วล่ะ ช่วงที่ผ่านมานี้นายแทบจะเพิ่มวิทยายุทธขึ้นหนึ่งชั้นแบบวันเว้นวันเลยทีเดียวนะ! ”
ศิษย์พี่ฉู่สิงพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
ศิษย์พี่ฉู่เทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่อิจฉาว่า: “ศิษย์น้องลู่ฝาน ตกลงนายได้ไปกินยาวิเศษอะไรมา ถึงได้เพิ่มระดับขั้นขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ยาประเภทนี้ยังมีอีกไหม หากมีอีก ให้ฉันบ้างสักเม็ด”
ศิษย์พี่ใหญ่เองก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “ฉันก็ต้องการด้วย! ”
ลู่ฝานหัวเราะเล็กน้อย และพูดว่า: “พอได้แล้ว พวกนายดูกันพอแล้ว ไปฝึกฝนวิชากันได้แล้ว ฉันจะปรับสมดุลวิทยายุทธสักเล็กน้อย หากทะลุขั้นแบบนี้ต่อไปอีก เกรงว่าฉันคงจะควบคุมพลังของตนเองเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
ทุกคนยิ้มแล้วก็เดินจากไป ใครต่างก็ไม่ได้ถือสาในคำพูดของลู่ฝานอย่างจริงจัง
ทำเป็นเล่นไป ลู่ฝานคือนักบู๊ที่ควบคุมและใช้พลังได้แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเคยพบเห็น โดยพลังหมัดโจมตีผ่านอากาศเมื่อครู่นี้ พุ่งทะยานอย่างว่องไวญด ไม่ใช่สิ่งที่นักบู๊ธรรมดาทั่วไปจะสามารถทำได้โดยง่าย
ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยจากไปจท เหลือเพียงแต่หลินหย่าที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน
ฉู่สิงกับฉู่เทียนจ้องสบตากัน โดยที่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้หลินหย่าอยู่ที่นั่นต่อ
แต่เป็นทางหลิงเหยาที่ใจกว้างส่งสัญญาณสายตาบอกกับลู่ฝาน ลู่ฝานเองก็ยิ้มแล้วพยักหน้า
ไม่นานนัก หน้าห้องของลู่ฝาน ก็เหลือเพียงแค่ลู่ฝานกับหลินหย่าสองคน ซึ่งสิบสามเองก็ถูกศิษย์พี่ใหญ่ลากตัวไปด้วยเช่นกัน ช่วงเวลานี้ เขาก็คือหินฝึกซ้อมวิชาของศิษย์พี่ใหญ่ ตามที่ศิษย์พี่ใหญ่พูดนั้น เขาจะชื่นชอบคนที่ถูกลงมือแล้วก็ไม่ส่งเสียงร้องออกมาแบบนี้