แดนชัยบูรพา แคว้นกู่ชาง
บนฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำพรมแดนเป็นเมืองใหญ่ชายแดนของแคว้นกู่ชาง… เมืองเพลิงมรกต
หลายชั่วยามให้หลังพวกหลินสวินก็มาถึงที่นี่
นักผจญภัยอย่างโค่วซิง หน้าเขียว และจงอางแดงจะลาจากกันที่นี่ ก่อนจาก หลินสวินได้มอบโอสถวิญญาณและสมบัติที่จำเป็นสำหรับการฝึกปราณให้พวกเขา
มันไม่ถือว่าล้ำค่ามากมาย แต่พวกโค่วซิงต่างรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง
เมื่อนึกถึงทุกสิ่งที่พวกเขาเคยพานพบในแม่น้ำพรมแดน เกรงว่าพวกเขาจะไม่มีวันลืมเทพมารหลินจากแดนฐิติประจิมคนนี้ไปชั่วชีวิต
จากนั้นหลินสวินก็เข้าสู่เมืองเพลิงมรกตพร้อมกับแม่นางเยวี่ยและเสี่ยวเหอ
…
เมืองเพลิงมรกตล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ติดกับแม่น้ำพรมแดน มีความเจริญรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวา ครึกครื้นหาใดเปรียบ
ในช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจเกิดขึ้นในแม่น้ำพรมแดน ปรากฏความลับและวาสนามากมายที่ถูกฝังไว้นานหลายปี
สิ่งนี้ก็พาให้เมืองเพลิงมรกตกลายเป็นเมืองครึกครื้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกๆ วันมีผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยถูกดึงดูดเพื่อมาสำรวจความเร้นลับและขุดหาสมบัติของแม่น้ำพรมแดน
ทันทีที่เดินเข้าประตูเมือง คลื่นเสียงวุ่นวายก็พุ่งปะทะเข้ามา
“ขายกระดูกอริยะ สมบัติศักดิ์สิทธิ์เก่าแก่ที่เพิ่งถูกขุดพบจาก ‘หุบเหวมารร่วง’ ของแม่น้ำพรมแดน ใช้เพียงแกนวิญญาณขั้นสูงหนึ่งพันก้อนเท่านั้น!” ไม่ไกลออกไปมีคนตั้งแผงขายของ ตะเบ็งคอร้องตะโกน
สิ่งนี้พาให้หลินสวินสูดหายใจเฮือก เร่ขายกระดูกอริยะข้างถนนเนี่ยนะ ผู้ฝึกปราณแดนชัยบูรพาเหล่านี้กร้าวแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ
“เจ้าหนุ่ม มาแม่น้ำพรมแดนเพื่อเลือกสมบัติใช่ไหม ข้าแนะนำให้ว่าควรสังเกตให้ดี ต้องแยกแยะให้ได้จึงจะดี” ชายชราวางมาดคนหนึ่งเดินเข้ามาเอ่ยเตือน
หลินสวินถึงได้รู้ว่า แม้จะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพรมแดนก็มีการนำของเก๊คุณภาพดีออกมาวางขาย อยู่ที่ว่าคนดวงซวยคนไหนจะติดกับ
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” หลินสวินกล่าว
ชายชรากล่าวยิ้มๆ “สหายน้อย ดูเจ้าท่าทางผึ่งผาย บุคลิกเหนือธรรมดา คิดว่าคงเป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่บางแห่งกระมัง ข้ามีสมบัติมากมายและต้องพยายามแทบตายกว่าได้มาจากแม่น้ำพรมแดน เจ้าลองดูสิ่งนี้สิว่าเป็นอย่างไร”
ขณะพูดเขาแบฝ่ามือออก หยกโบราณสีเทาที่ไม่สมบูรณ์และมีรอยด่างชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น พร้อมกับกลิ่นอายของกาลเวลาที่ประทับอยู่ เก่าแก่อย่างยิ่ง
“หยกนี้มีอายุยาวนานจริงๆ เป็นสมบัติโบราณชิ้นหนึ่ง” หลินสวินพยักหน้า
“ฮ่าๆ สหายน้อยตาแหลมนัก วันนี้เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ข้าจะให้หยกชิ้นนี้แก่เจ้า” ชายชรากล่าวพลางยื่นหยกให้หลินสวิน
เมื่อเห็นเช่นนี้แม่นางเยวี่ยก็ยิ้มบางๆ จับแขนเสื้อหลินสวินเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ พลางกล่าวว่า “นี่เป็นเฒ่าจอมลวง อย่าหลงกลเขาเชียว”
หลินสวินประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ดูสิ” แม่นางเยวี่ยพยักเพยิดไป ทำสัญญาณให้ให้หลินสวินมองข้ามไป
ก็เห็นชายชราคนนั้นยิ้มและไปขวางหน้าชายหนุ่มที่แต่งตัวหรูหราพลางพูดว่า “สหายน้อย ดูเจ้าท่าทางผึ่งผาย บุคลิกเหนือธรรมดา คิดว่าคงเป็น… “
เยี่ยม ขนาดคำพูดก็ยังเหมือนกัน เห็นได้ชัดเป็นลูกไม้ที่ใช้เป็นประจำ
จากนั้นชายชราก็ถือโอกาสหยิบหยกโบราณที่แตกหักออกมา บอกว่าต้องการมอบให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มทั้งดีใจและตกใจ รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจสู้ความตื๊อของชายชราได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงรับไว้
จากนั้นภาพที่น่าสนใจก็เกิดขึ้น ชายหนุ่มดูเหมือนจะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ อยากจ่ายแกนวิญญาณเป็นการตอบแทนน้ำใจ
ชายชราดูลำบากใจ แต่เขาเสนอราคาที่หน้าไม่อายถึงห้าหมื่นแกนวิญญาณขั้นกลาง!
หน้าผากของหลินสวินปรากฏเส้นสีดำ ชายชราคนนี้เหี้ยมจริงๆ หยกหักชิ้นนั้นแค่เก่าแก่เท่านั้นแต่ไม่มีค่าใดๆ ถึงกับกล้าเรียกราคาเป็นแกนวิญญาณขั้นกลางห้าหมื่นก้อน!
แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นเขาก็โกรธและตั้งท่าจะโต้เถียง ก็เห็นกลุ่มผู้ฝึกปราณดุร้ายอยู่ใกล้ๆ ยิ้มเย็นตีวงล้อมเข้ามา จ้องมองชายหนุ่มด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เต็มไปด้วยอาการคุกคาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของชายชรา
ส่วนชายชราก็ถอนหายใจ “สหายน้อย เมื่อครู่ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าต้องสังเกตให้ดี…”
ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็มอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดออกไปอย่างอัดอั้นเพื่อซื้อหยกที่แตกหักชิ้นหนึ่ง และจากไปอย่างทั้งอายและโกรธ
จากนั้นภาพประหลาดก็ปรากฏขึ้น ชายชราหยิบหยกแตกหักอีกชิ้นหนึ่งออกมา และเริ่มทำการต้มตุ๋นหลอกลวงต่อ…
“เจ้าเฒ่าคนนี้!” หลินสวินเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็อดร้องอุทานไม่ได้ “เขาไม่กลัวว่าจะไปหลอกคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้หรือ”
แม่นางเยวี่ยยิ้ม “นักต้มตุ๋นพรรค์นี้ช่ำชองมานานแล้ว เชี่ยวชาญการหลอกลวงคนนอกเช่นเจ้าโดยเฉพาะ เขาได้แยกแยะไว้อย่างละเอียดก่อนลงมือแล้ว หากพบเจอคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้ เขาก็จะไม่ลงมือ”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าเมื่อกี้ข้าถูกมองว่าเป็นแกะอ้วนพีหรือ” หลินสวินเลิกคิ้ว
“วางใจ ถ้าสัมผัสได้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่หาเรื่องได้ง่ายๆ ตาเฒ่าจอมหลอกลวงนั่นจะต้องขอโทษจากใจจริงแน่นอน” แม่นางเยวี่ยยิ้มกล่าว
“ลูกไม้นี้ลุ่มลึกมากทีเดียว” หลินสวินถอนหายใจ
“หนอนแม่ลูกหยินหยาง ดุร้ายติดสิบอันดับแรกในยุคบรรพกาล เพียงคู่เดียวเท่านั้น หากเดินผ่านมาแล้วห้ามพลาดเป็นอันขาด!” ไม่นานก็มีชายชราอีกคนแหกปากตะโกน กอดไหกระเบื้องเคลือบสีเข้มผุพังใบหนึ่ง
หลินสวินก้าวไปข้างหน้า เห็นว่าหม้อนั้นก็น่าทึ่งเช่นกัน ล้วนเต็มไปด้วยระลอกคลื่นคลุมเครือ อายุก็ยาวนานและไม่ธรรมดายิ่ง
เพียงแต่ในไหกระเบื้องเคลือบนั้นมีหนอนไหมสองตัวที่ไม่เตะตานอนอยู่บริเวณก้นไห
‘เฒ่าต้มตุ๋นอีกคนแล้ว’ หลินสวินพึมพำกับตัวเอง
ชายชรายิ้มและพูดว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ามีความคิดอย่างไรข้ามองออกทั้งนั้น ว่าแต่เจ้าเคยได้ยินเรื่องผีเสื้อแหวกรังไหมหรือไม่ ยามเมื่อหนอนแม่ลูกหยินหยางยังเด็กพวกมันจะมีลักษณะเช่นนี้ รอตอนที่พวกมันโผล่ออกมาจากรังไหม ต้องทำให้เจ้าประหลาดใจมากอย่างแน่นอน “
“ชิ่วๆ ไปหลอกคนอื่นเถอะ” หลินสวินจนคำพูดไปชั่วขณะ เขาดูเหมือนคนหลอกง่ายหรือ เหตุใดถึงแห่มาหาตนกันหมด
สีหน้าชายชราไม่ได้ดูปั้นยาก ยังพูดอย่างฉะฉานว่า “เชื่อหรือไม่ วาสนาอยู่ในไหนี้ พลาดหรือไม่พลาดก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาส่วนตัวของเจ้าแล้ว”
หลินสวินร้องอ้อหนึ่งคราแล้วหมุนตัวจากไป
ไม่นานชายชราก็ส่งเสียงร้องอย่างปวดใจ “บัดซบ ทำไมรังไหมผีเสื้อหยกขาวที่ข้าลำบากฟูฟักออกมานานถึงตายเสียได้”
แค่ประโยคเดียวก็ทำเอาผู้ฝึกปราณหลายคนในบริเวณใกล้เคียงตะโกนด่า “เฒ่าลวงโลก เจ้าไม่ได้บอกว่ามันเป็นรังของหนอนแม่ลูกหยินหยางหรือ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นผีเสื้อหยกขาวซะแล้ว”
จากนั้นชายชราก็มุดหัวหลบหนีอุตลุด
“เจ้าเป็นคนทำหรือ” แม่นางเยวี่ยมองไปยังหลินสวินที่อยู่ข้างๆ
หลินสวินยิ้มพูดว่า “หนอนแม่ลูกหยินหยางเชียวนะ นี่ไม่ได้ด้อยไปกว่าเสี่ยวอิ๋นเท่าไหร่ เป็นเจ้าตัวดุร้ายสิบอันดับแรกในยุคบรรพกาล เมื่อครู่ข้าเพียงปล่อยกลิ่นอายของเสี่ยวอิ๋นออกไปลองทดสอบความจริง”
แม่นางเยวี่ยยิ้ม เสี่ยวอิ๋นเป็นหนอนกินเทพที่แท้จริง กลิ่นอายเพียงเสี้ยวเดียวของมันไม่ใช่สิ่งที่สิ่งมีชีวิตใดจะทนได้
พวกเขาไม่หยุดและยังคงก้าวต่อไป
เมืองเพลิงมรกตมีชีวิตชีวามาก และสมบัติจากแม่น้ำพรมแดนถูกขายไปทุกหนทุกแห่ง มีทั้งของจริงและของปลอม ดูน่าตื่นตา ล้วนมีที่มาซึ่งพาให้ผู้คนร้องอุทาน
กระดูกอริยะเอย สมบัติลับโบราณเอย ยานิรันดร์อะไรเอย… มีมากมายหลายชนิด แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนไม่สมคำร่ำลือ
อย่างไรก็ตามยังมีของดีจริง แต่ราคาก็แพงอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่นานพวกหลินสวินก็ยืนอยู่หน้าแผงที่ขายกระจกสำริดสนิมเขรอะ บนนั้นสลักลายมรรคไว้แน่นขนัด แต่ลายมรรคส่วนใหญ่แตกหักไม่สมบูรณ์
ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ยังไม่ธรรมดา คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคอันเป็นเอกลักษณ์
จากคำบอกเล่าของเจ้าของแผง กระจกนี้ถูกขุดออกมาจากสุสานผุพังซึ่งพบในแม่น้ำพรมแดน
หลังจากหลินสวินและแม่นางเยวี่ยสังเกตดู ต่างก็ลงความเห็นว่านี่เป็นสมบัติอริยะโบราณชิ้นหนึ่ง แต่ได้รับความเสียหายอย่างมาก ประหนึ่งกลายเป็นของไร้ค่า สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ มูลค่าไม่มากแล้ว
ถึงกระนั้นมันก็ดึงดูดผู้ฝึกปราณจำนวนมากให้มาถามราคา
“ข้าต้องการกระจกสำริดนี้” สิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังผู้หนึ่งเอ่ยปาก เขามีร่างเป็นคนหัวเป็นนก ดวงตาเหมือนสายฟ้า ท่าทางดุร้าย
“แกนวิญญาณขั้นสูงแปดพันก้อน สมบัตินี้ก็ให้ข้า” ผู้ฝึกปราณอีกคนหนึ่งเสนอราคาเสียงดัง
ในไม่ช้าราคาของกระจกสำริดนี้ก็พุ่งสูงขึ้นถึงแปดหมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง ดึงดูดผู้ฝึกปราณให้แห่แหนกันมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ต้มตุ๋นอีกแล้ว จงใจหาหน้าม้ามาโก่งราคา ขึ้นอยู่กับว่าคนดวงซวยคนไหนจะถูกหลอก’ หลินสวินพึมพำในใจ เขาสังเกตอย่างรอบคอบและพบเบาะแสบางอย่าง
จะว่าไปของสิ่งนี้เป็นสมบัติอริยะชิ้นหนึ่งจริงๆ แต่ชำรุดไปแล้ว ไม่คุ้มกับราคาที่สูงลิ่วขนาดนั้นสักนิด
หืม?
ทันใดนั้นหัวใจหลินสวินไหววูบ เริ่มสัมผัสบางอย่างได้
บนแผงลอยนี้ยังมีสมบัติแปลกๆ อื่นๆ วางขาย สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลินสวินคือสำริดชิ้นหนึ่ง ยาวประมาณครึ่งฉื่อ สึกกร่อนรุนแรง
หรือว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติบางอย่าง
หลินสวินสังเกตอย่างถี่ถ้วน อดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือเพื่อตรวจสอบ
ทันใดนั้นเขาก็ลอบสบถในใจ เจ้าของแผงนี่ช่างไม่สุจริตนัก สิ่งนี้น่าจะเป็นชิ้นส่วนสมบัติโบราณที่หักพังชิ้นหนึ่งจริงๆ แต่ร่องรอยของการสลายตัวของมันกลับถูกวิชาลับแต่งแต้ม หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะหาไม่เจอเลย
ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าอยากทำให้ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าพบสมบัติชั้นดี ก่อให้เกิดความคิดละโมบและยินดีที่ ‘พบช่องโหว่’
และตอนที่หลินสวินกำลังตรวจสอบของชิ้นนี้ เจ้าของแผงขายของก็อึ้งงันเล็กน้อย จากนั้นแสร้งทำเป็นพูดอย่างสบายๆ ว่า “สหายน้อยคนนี้ถูกใจสมบัติชิ้นนี้หรือ เจ้าสิ่งนี้ไม่ได้ถือว่าหายากนัก จะขายให้เจ้าสามพันแกนวิญญาณขั้นสูงแล้วกัน ว่าอย่างไร”
“ราคานี้ของเจ้าสูงเกินไป ก็แค่เศษสำริดหักๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น” เสี่ยวเหอเบ้ปาก
หลินสวินก็ส่ายหัว “ราคาสูงเกินไปจริงๆ”
ขณะพูดเขาก็หยิบหินลายพร้อยเปื้อนเลือดก้อนหนึ่งขึ้นมาสำรวจ
“สหายน้อย หินก้อนนี้ก็ไม่ธรรมดา มันปรากฏขึ้นมาจากในผนึกต้องห้ามบรรพกาลที่แตกหัก เจ้าเห็นคราบเลือดหรือไม่ มันน่าจะเป็นเลือดอริยะ!”
เจ้าของแผงลอยพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ถ้าเจ้าต้องการ บวกชิ้นส่วนสำริดเข้าด้วยกัน ขายให้เจ้าสามพันแกนวิญญาณขั้นสูงเลย”
หลินสวินยังคงส่ายหัว “ก็ยังแพงเกินไปอยู่ดี”
ขณะพูดหลินสวินวางก้อนหินลงและมองไปที่วัตถุอื่นๆ หลังจากตรวจสอบทีละชิ้นในที่สุดเขาก็ส่ายหัวและตั้งท่าจากไป
“สหายน้อยเดี๋ยวก่อน! เอาอย่างนี้แกนวิญญาณขั้นสูงสามพันก้อน ของเล่นพวกนี้ยกให้เจ้าเอาไปหมดเลย!” เจ้าของแผงรีบโพล่งขึ้น
หลินสวินคิดอยู่นานก่อนฝืนใจตกลง
เจ้าของแผงเห็นเช่นนี้ในใจก็เริ่มเกิดความสงสัย เขารู้มูลค่าของเล่นผุพังเหล่านี้ดี รวมเข้าด้วยกันอย่าว่าแต่สามพันแกนวิญญาณขั้นสูงเลย ต่อให้ขายได้หนึ่งพันก้อนก็ยังได้กำไรเห็นๆ อยู่ดี
เขาตรวจสอบทีละรายการอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เริ่มเจรจาค้าขายกับหลินสวินด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“พี่หลินสวิน เจ้านั่นโกงชัดๆ ทำไมท่านถึงหลงกลได้” หลังจากเดินออกไปได้ไม่ไกลเสี่ยวเหอก็พูดขึ้น นางไม่เข้าใจเอาเสียเลย
“ในความคิดของข้า น่าจะเป็นการสบช่องโหว่มากกว่า” แม่นางเยวี่ยคล้ายใคร่ครวญ
“รู้อยู่แล้วว่าปิดบังเจ้าไม่ได้” หลินสวินยิ้ม หัวใจของเขาเต้นแรง คราวนี้เป็นไปได้มากที่เขาจะเก็บผลประโยชน์มาได้อย่างง่ายดาย!
………………..