อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 2142 ยกระดับพละกำลัง
ทุกคนพยักหน้ารับ
ตราบใดที่ปรมาจารย์ขงยังไม่ได้เป็นเทพเจ้า พละกำลังที่พวกเขามีก็พอจะทำให้ต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ ปรมาจารย์ขงคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เพียงแต่แผนการนี้มีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจน
หลังจากได้รับรังสีสวรรค์แล้ว ขั้นตอนต่อไปของปรมาจารย์ขงก็คือหาที่เหมาะๆที่ไม่มีใครตามตัวเขาเจอ และตั้งต้นฝึกฝนวรยุทธ ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะทิ้งเงื่อนงำใดๆที่นำไปสู่ตัวเขา เป็นไปได้ว่าต่อให้บริวารที่เขาไว้วางใจที่สุดก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้ปรมาจารย์ขงกบดานอยู่ที่ไหน
จางเซวียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ข้อสอง เราต้องยกระดับพละกำลังของตัวเองให้สูงพอที่จะรับมือกับเทพเจ้า นั่นคือวิธีเดียวที่จะต่อสู้กับอันตรายที่รอเราอยู่…”
หากพวกเขาตามตัวปรมาจารย์ขงไม่เจอและไม่อาจนำรังสีสวรรค์กลับคืนมาได้ หนทางเดียวที่มีก็คือยกระดับการป้องกันตัว
ถ้าพวกเขาสามารถติดตั้งค่ายกลที่มีประสิทธิภาพระดับที่แม้เทพเจ้าก็ไม่อาจหนีรอด จางเซวียนอาจสังหารปรมาจารย์ขงได้ด้วยหน้าหนังสือสีทองที่เขามีอยู่ และคงกำจัดภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากอีกฝ่ายได้สำเร็จ
แต่หน้าหนังสือสีทองจะทรงพลังพอที่จะสังหารเทพเจ้าหรือเปล่า*?*
จางเซวียนก็ยังไม่แน่ใจ
แน่นอนว่าหน้าหนังสือสีทองเป็นอาวุธที่ทรงพลังและเคยช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง แต่ประสิทธิภาพของมันก็ดูจะขึ้นกับพละกำลังของสรวงสวรรค์ในโลกที่เขาพำนักอยู่
เรื่องนี้เหมือนกับการที่สรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ไม่อาจสังหารเขาได้อีกต่อไป อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่ขับเขาให้พ้นจากโลกใบนั้น
หอสมุดเทียบฟ้าในเวลานี้ก็ได้รับพละกำลังจากสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบน ซึ่งหมายความว่าหน้าหนังสือสีทองสามารถเล่นงานนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนไหนก็ตามได้อย่างง่ายดาย แต่หากคู่ต่อสู้เป็นเทพเจ้า เป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่ามิติเบื้องบน…โอกาสของการประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก
เหตุผลที่เขาสังหารเทพเจ้าที่ลงมาจากมิติเบื้องบนในครั้งนั้นได้อย่างง่ายดายก็เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 4 นั่นคือวรยุทธระดับสูงสุดที่นักรบในทวีปแห่งปรมาจารย์ได้รับอนุญาตให้เข้าถึง วรยุทธขั้นสูงกว่านั้นถือว่าเป็นไปไม่ได้
แต่แน่นอนว่านี่เป็นแค่การคาดเดาของเขา คงจะดีที่สุดถ้าหน้าหนังสือสีทองใช้การได้ แต่เขาก็ไม่คิดจะเดิมพันทุกอย่างด้วยความหวังเดียว
จางเซวียนไม่ชอบฝากชีวิตของเขาไว้กับโชคชะตา
ที่สำคัญกว่านั้น ปรมาจารย์ขงรู้เรื่องมลทินสวรรค์ของเขา จึงมีโอกาสที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขามีไม้ตายชนิดไหน ถ้าปรมาจารย์ขงทุ่มสุดตัวเพื่อรับมือกับมัน จางเซวียนก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้หน้าหนังสือสีทองได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่หรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่เพราะคิดแบบนี้ จางเซวียนคงใช้หน้าหนังสือสีทองไปแล้วเมื่อตอนที่ปะทะกับปรมาจารย์ขงนอกหอเทพเจ้า ตอนนั้นเขายั้งมือไว้เพราะเพราะปรมาจารย์ขงอยู่ไกล ซึ่งจะลดทอนโอกาสของการประสบความสำเร็จให้น้อยลงมาก
“ยกระดับพละกำลัง? เรื่องนั้นไม่ง่ายเลย แต่ผมคิดว่าเป็นไปได้ถ้าท่านอาจารย์สามารถเข้าถึงระดับเทพเจ้า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะรับมือกับหัวหน้าขงได้!” หานเจี้ยนชิวพูด
คำพูดนั้นทำให้จางเซวียนยิ้มเจื่อนๆ
เขาไม่มีรังสีสวรรค์อยู่กับตัว อีกทั้งไม่มีเทคนิควรยุทธที่เหมาะสมสำหรับการฝ่าด่านวรยุทธด้วย
เขาเพิ่งเป็นนักรบขั้นกี่งสรวงสวรรค์ได้เพียงวันเดียวหลังจากทำความเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง คงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะฝ่าด่านวรยุทธได้อีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ คุณบอกว่าคุณช่วยชีวิตหัวหน้าตู้ไว้ไม่ใช่หรือ ทำไมผมไม่เห็นเธอเลย เธอพอมีความรู้เรื่องเทพเจ้าอยู่บ้าง น่าจะพอมีหนทาง” ผู้อาวุโสฉิงหย่วนพูด
“อ้อ ผมลืมไป!” จางเซวียนตาโตเมื่อนึกได้
พริบตาต่อมา ตู้ชิงหย่วนก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
จางเซวียนมัวกังวลกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าจนลืมนำตัวตู้ชิงหย่วนออกจากมิติลี้ลับ
“คารวะหัวหน้าตู้!”
หานเจี้ยนชิวเล่าปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่อย่างรวบรัดก่อนจะตั้งคำถาม “หัวหน้าตู้ คุณพอ มีหนทางอื่นที่จะทำให้นักรบสักคนกลายเป็นเทพเจ้าไหม นอกเหนือจากการใช้รังสีสวรรค์?”
“ถ้าตำหนักคว้าดาวมีความรู้เรื่องนั้น คงมีเทพเจ้าในหมู่พวกเราไปนานแล้ว” ตู้ชิงหย่วนตอบสั้นๆ
ได้ฟังคำตอบของเธอ ทุกคนมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
ก็จริง ถ้ามีหนทางอื่นในการเข้าถึงระดับเทพเจ้า เหล่าอัจฉริยะของตำหนักคว้าดาวคงทำไปนานแล้ว พวกเขาคงไม่ต้องจนปัญญาเมื่อเผชิญหน้ากับหัวหน้าขง
“นี่เราไม่มีหวังเลยหรือ?” หานเจี้ยนชิวตั้งคำถามอย่างร้อนใจ นัยน์ตาแดงก่ำ
นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์คนใหม่ปรากฏตัวขึ้นใน 4 สำนักใหญ่ และจำนวนของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการถ่ายทอดแก่นสารของเจตจำนงของเทพเจ้าจากจางเซวียน ทุกคนคิดว่าสิ่งนี้จะนำพายุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองให้มาถึงอีกครั้ง เพราะบรรดานักรบพัฒนาตัวเองจนยิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่ถ้าพวกเขารับมือกับหัวหน้าขงไม่สำเร็จ…ทุกอย่างจะกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์
“ไม่มีวิธีไหนที่ทำได้หรอก เว้นเสียแต่…”
ตู้ชิงหย่วนหยุดพูดไปครู่หนึ่งขณะพลันเกิดความคิดบางอย่าง
“เว้นเสียแต่อะไร?”
ตู้ชิงหย่วนมีสีหน้าลังเล ก่อนในที่สุดจะพูดขึ้น “ถ้าเราพบต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยในเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ก็มีโอกาสที่จะได้รังสีสวรรค์บางส่วนมา”
“ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย เอามาทำอะไรได้?” จางเซวียนตั้งคำถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
เขาเคยเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้ดีว่าบรรยากาศเสื่อมถอยที่นั่นน่าสะพรึงแค่ไหน ขนาดพลังปราณเทียบฟ้าของเขาก็ยังกำจัดมันไม่ได้ทั้งหมด สิ่งเดียวที่ยับยั้งมันได้คือซุปไก่ของไก่น้อย
มันคือพละกำลังที่แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจขับมันออกจากร่างกายของพวกเขาได้ ถ้าตอนนั้นจางเซวียนไม่อยู่ เจียงเหยาคงกลายเป็นศพไปนานแล้ว…
ทำไมตู้ชิงหย่วนถึงอยากให้เขาแกะรอยไปสู่ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย*?*
“ตำนานกล่าวไว้ว่าเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายไม่ใช่เมืองดั้งเดิมของทวีปที่ถูกลืม…แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเมืองที่ถูกขับออกจากสรวงสวรรค์ มีศพของเทพเจ้ามากมายฝังอยู่ในนั้น!” ตู้ชิงหย่วนตอบ
“เมืองที่ถูกขับออกจากสรวงสวรรค์?” จางเซวียนถึงกับผงะ
หานเจี้ยนชิวกับคนอื่นๆก็ชะงัก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้เรื่องนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับนักรบทั่วไป ไม่มีใครคาดถึงว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือเมืองจากสรวงสวรรค์!
“ว่ากันว่าเมืองนั้นถูกขับออกจากสรวงสวรรค์ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ในครั้งนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันเข้าขุดค้นซากปรักหักพัง หวังว่าจะพบทรัพย์สมบัติของเทพเจ้า แต่คุณคงพอคาดเดาได้นะ ทุกคนตายหมด” ตู้ชิงหย่วนพูด
“ในทวีปที่ถูกลืม ไม่มีใครแล้วที่รู้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายมาจากไหน ฉันก็บังเอิญได้ยินจากที่เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณพูด…”
“เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ?” จางเซวียนตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อย
“ใช่ เทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณเงียบไปครู่ใหญ่ตอนที่เธอได้ฟังเรื่องของเมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายในทวีปที่ถูกลืมเป็นครั้งแรก จากนั้น เธอก็เปรยว่าเมืองนั้นถูกขับออกจากสรวงสวรรค์เพราะที่นั่นเกิดสงคราม เทพเจ้ามากมายต้องสังเวยชีวิต เธอยังอธิบายด้วยว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยคือผลพวงของรังสีสวรรค์ที่ศพเน่าเปื่อยของเหล่าเทพเจ้าปลดปล่อยออกมา รังสีนั้นทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมของทวีปที่ถูกลืม เกิดเป็นหายนะ ถ้าเราแกะรอยไปถึงต้นกำเนิดของบรรยากาศของการเสื่อมถอยได้ ก็น่าจะพบรังสีสวรรค์ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการฝ่าด่านวรยุทธ” ตู้ชิงหย่วนพูด
“เพราะฉะนั้น คุณกำลังจะบอกว่านั่นคือรังสีสวรรค์เหมือนกันใช่ไหม?”
จางเซวียนนำเศษเสี้ยวของบรรยากาศของการเสื่อมถอยที่เขาเก็บไว้ในขวดหยกออกมาพิจารณา จากนั้นก็ตั้งข้อสังเกตอย่างตื่นเต้น
เขาเก็บบรรยากาศของการเสื่อมถอยไว้ส่วนหนึ่งเมื่อครั้งที่เข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลาย ทั้งยังใช้มันสังหารนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์จากหอเทพเจ้า
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้เขาจะรู้สึกว่ามันแปลกประหลาดที่มีบางอย่างในมิติที่ถูกลืมที่แม้แต่นักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่อาจรับมือกับมันได้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะถึงอย่างไร บางครั้งธรรมชาติก็พิสดารพันลึกอย่างเหลือเชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่ตู้ชิงหย่วนพูดมาเป็นความจริง ทุกอย่างก็จะลงตัว
เป็นความจริงที่รู้กันดีว่านักรบจะหมดสภาพทันทีที่ซึมซับบรรยากาศของการเสื่อมถอยเข้าสู่ร่างกาย และไม่มียาชนิดไหนรักษาได้ ต่อให้พลังปราณเทียบฟ้าของจางเซวียนที่มีอานุภาพครอบจักรวาล ก็ยังไม่อาจชำระล้างบรรยากาศของการเสื่อมถอยได้อย่างหมดจด
เพียงเท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยเป็นบางอย่างที่เหนือชั้นกว่าระดับของมิติเบื้องบน ดังนั้น จึงฟังดูสมเหตุสมผลดีที่มันจะมีต้นกำเนิดที่แท้จริงจากรังสีสวรรค์
มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่สามารถกำจัดนักรบขั้นกึ่งสรวงสวรรค์-สรวงสวรรค์ได้โดยอีกฝ่ายไม่มีทางสู้
“นี่คือเรื่องที่ฉันบังเอิญได้ฟังจากเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณ จึงไม่อาจยืนยันความถูกต้อง ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง ก็มีโอกาสที่ต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอยจะถูกทำลายไปแล้ว อีกอย่าง ฉันเชื่อว่าพวกคุณทุกคนคงรู้ดีว่าบรรยากาศของการเสื่อมถอยนั้นน่าสะพรึงแค่ไหน สัมผัสมันเพียงน้อยนิดก็อาจจบชีวิตได้แล้ว…นี่คือเหตุผลที่ฉันไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้เมื่อได้รับข้อมูลมาเพียงส่วนเดียว”
ตู้ชิงหย่วนพูด
“ผมเชื่อลั่วชิง ถ้าเรื่องนี้ออกจากปากของเธอ ก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นความจริง” จางเซวียนพูดขึ้น
ลำพังแค่ความจริงที่ว่ามีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับบรรยากาศเสื่อมถอยยังไม่หนักแน่นพอจะยืนยันได้ว่าต้นกำเนิดของมันคือรังสีสวรรค์ แต่เขารู้จักนิสัยของลั่วชิงดี เธอไม่ใช่คนชนิดที่จะพูดอะไรออกมาทั้งที่ยังไม่แน่ใจ น่าจะต้องมีหลักฐานสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเธอ
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็คุ้มค่าหากจะเสาะหาต้นกำเนิดของบรรยากาศเสื่อมถอย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งมิติที่ถูกทำลายพร้อมกับหัวหน้าตู้ ส่วนพวกคุณที่เหลือ ผมขอมอบหมายภาระสำคัญ คือเตรียมการสู้รบครั้งสุดท้ายในกรณีที่พวกเราล้มเหลว” จางเซวียนสั่งการ
แม้จะเสี่ยง แต่นี่ก็เป็นการเดินทางที่พวกเขาต้องไป
จางเซวียนไม่ได้ทำแบบนี้เพียงเพื่อจะได้รับมือกับปรมาจารย์ขง ที่สำคัญกว่าก็คือเขาอยากเข้าถึงระดับของเทพเจ้าให้ได้เพื่อจะได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์
และเมื่อถึงตอนนั้น ก็จะได้พบหลัวลั่วชิง…