ตอนที่ 891 มีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจขอรับ
“ท่านเจ็ด ท่านลืมไปแล้วหรืออย่างไร”
หลินเป่ยเฉินมององค์ชายหนุ่มผู้คอเอียงและกล่าวว่า “บัดนี้ท่านพูดจากับข้าชักจะออกลีลามากเกินไปแล้ว…”
องค์ชายเจ็ดถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “น้องหลิน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นองค์ชาย พูดจาให้เกียรติกันบ้าง…”
“คืนเงินข้ามาเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินแบมือยื่นออกไปข้างหน้า “จ่ายเงินที่ท่านติดหนี้ข้าอยู่คืนมาซะ”
“ข้าผิดไปแล้ว น้องหลิน”
องค์ชายเจ็ดรีบพูดละล่ำละลัก “ข้าไม่ควรพูดจาลีลากับเจ้าเลย… เอาละ ข่าวดีก็คือพวกเรารู้แล้วว่าจักรวรรดิจี้กวงจะส่งใครมาสู้กับเจ้าในการประลองอีกเจ็ดวันข้างหน้า เจ้าจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้…”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินชะงักเล็กน้อย “เป็นใครหรือขอรับ?”
“บุคคลผู้นี้มีนามว่าอวี้ซือไป๋ นับเป็นขุนพลคนสำคัญของจักรวรรดิจี้กวง ข่าวลือเล่าขานว่าถือเป็นยอดฝีมือที่ร้อยปีอาจจะมีสักครั้งของที่นั่น นอกจากอวี้ซือไป๋ผู้นี้จะเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว ก็ยังเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของชาวจักรวรรดิจี้กวงอีกด้วย องค์จักรพรรดิของจักรวรรดิจี้กวงโปรดปรานบุคคลผู้นี้มาก อวี้ซือไป๋สามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้เมื่อ 20 ปีก่อน และได้รับตำแหน่งฉายาว่ามือธนูจ้าวอินทรี…”
องค์ชายเจ็ดอธิบายทั้งที่คอเอียงอยู่อย่างนั้น
“มือธนูจ้าวอินทรี?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “ฉายาโคตรโหลชะมัด”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
องค์ชายหนุ่มหยุดชะงัก
“ไม่มีอะไรหรอกครับ…”
หลินเป่ยเฉินแกล้งหัวเราะแหะๆ “ข้าไม่ได้รู้สึกกังวลเลยสักนิด อย่าว่าแต่จะเป็นมือธนูจ้าวอินทรีเลย ต่อให้เป็นมือธนูพญาแร้งข้าก็ไม่กลัว ฮ่าฮ่าฮ่า…”
องค์ชายเจ็ดคุ้นเคยกับความไร้สาระของหลินเป่ยเฉินดีแล้ว
หลังรอให้เด็กหนุ่มหัวเราะจบ เขาก็กล่าวต่อด้วยความกระตือรือร้น “แต่ข่าวร้ายก็คือตอนที่อวี้ซือไป๋ขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการเมื่อ 20 ปีก่อนนั้น คนผู้นี้ถูกจัดอยู่ในระดับเซียนขั้นเหรียญเงิน สิบปีให้หลัง อวี้ซือไป๋ก็เลื่อนระดับกลายเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับที่สองได้สำเร็จ หลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีใครทราบเลยว่าระดับพลังที่แท้จริงของมือธนูจ้าวอินทรีอยู่ที่ระดับไหน แต่จากที่หน่วยข่าวกรองของเราได้รับทราบมา บัดนี้ อวี้ซือไป๋น่าจะเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับที่สามอย่างไม่ต้องสงสัย น้องหลินได้โปรดระมัดระวังตัว เจ้าห้ามประมาทเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนที่จะนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้องค์ชายเจ็ดต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินจะรับฟังคำแนะนำของเขา
ต้องไม่ลืมว่าผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสามคนนี้ได้รับการหนุนหลังจากราชวงศ์ของจักรวรรดิจี้กวงเต็มที่ จึงอาจจะมีไพ่ตายหลายอย่างซ่อนอยู่โดยที่ไม่มีใครรู้ และถือเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
แม้หลินเป่ยเฉินจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เด็กหนุ่มก็เป็นเพียงผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดงเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “มีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจขอรับ”
องค์ชายเจ็ดพยักหน้า “น้องหลินได้โปรดถามออกมา”
เขาถึงกับนำสมุดบันทึกออกมาเปิดรอจดข้อสงสัยของหลินเป่ยเฉิน เพื่อเตรียมไปสอบถามกับหน่วยข่าวกรองของกองทัพ และหวังว่าตนเองจะได้คำตอบมามอบให้แก่เด็กหนุ่มโดยเร็วที่สุด
เพราะยิ่งตอบข้อสงสัยของหลินเป่ยเฉินได้มาเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งมีความเข้าใจศัตรูมากเท่านั้น
และยิ่งหลินเป่ยเฉินมีความเข้าใจศัตรูมากเท่าไหร่ จักรวรรดิเป่ยไห่ก็ยิ่งเข้าใกล้ชัยชนะในการประลองมากเท่านั้น
การประลองครั้งนี้มีความสำคัญมาก
โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการประเมินระดับจักรวรรดิเช่นนี้ การเผชิญหน้าของคู่ต่อสู้ทั้งสองคนเปรียบเสมือนตัวแทนของจักรวรรดิทั้งสองแห่ง นอกจากแสดงออกถึงความแข็งแกร่งแล้ว มันยังเป็นการแสดงออกถึงความอ่อนแอของผู้พ่ายแพ้อีกด้วย และนั่นก็จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการประเมินระดับจักรวรรดิที่กำลังจะมาถึง
พลัน หลินเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทำไมอวี้ซือไป๋ถึงได้รับฉายาว่ามือธนูจ้าวอินทรีล่ะขอรับ?”
“ว่าไงนะ?”
องค์ชายเจ็ดหยุดชะงักไปอีกครั้ง
นี่หรือคำถามที่เด็กหนุ่มอยากรู้
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าสงสัยจับใจ “เท่าที่ข้ารู้มา จักรวรรดิจี้กวงเป็นดินแดนแห่งน้ำแข็งไม่ใช่หรือขอรับ? พวกเขามีแต่สัตว์ทะเลมากมาย เหตุไฉนถึงมีฉายาเป็นสัตว์บกที่อยู่บนท้องฟ้าได้ล่ะ? พวกเขาเอาเหตุผลอะไรมาตั้งฉายานี้?”
องค์ชายเจ็ดพูดอะไรไม่ออก
นี่ล้อกันเล่นใช่หรือไม่?
ตื่นเสียที คุณชายหลิน
นี่หรือคือสิ่งที่เจ้าสงสัย?
เจ้าสงสัยว่าจักรวรรดิจี้กวงไม่มีนกอินทรี แล้วทำไมถึงเอานกอินทรีมาตั้งเป็นชื่อฉายา?
พวกเขาจะมีนกอินทรีหรือไม่มี มันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?
องค์ชายเจ็ดต้องยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อเห็นแววตาอยากรู้คำตอบของหลินเป่ยเฉิน เขาก็จำเป็นต้องอธิบายด้วยความอดทนว่า “ในรัศมีกว่า 5,000 ลี้ของจักรวรรดิจี้กวงที่เป็นชายแดนติดกับดินแดนของเรานั้น มันเป็นที่ตั้งของทะเลทรายแห่งหนึ่งนามว่าทะเลทรายชวี่หนี่หม่า สุดยอดสัตว์นักล่าของที่นั่นคืออินทรีอสูร พวกมันมีนิสัยดุร้าย สามารถฆ่าศัตรูได้จากทางอากาศ และถือเป็นหนึ่งในสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของจักรวรรดิจี้กวงเสมอมา”
“และจะต้องเป็นมือธนูที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเท่านั้น ถึงจะกล้าบุกเข้าไปในทะเลทรายชวี่หนี่หม่า และใช้อินทรีอสูรเหล่านี้เป็นเป้าซ้อมยิงธนู ว่ากันว่าก่อนที่จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียน อวี้ซือไป๋อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นนานหลายปีจนมีสถานะเป็นจ้าวอินทรีอสูร และนั่นก็เป็นที่มาของฉายามือธนูจ้าวอินทรีนั่นเอง”
หลินเป่ยเฉินได้รับคำตอบเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่สมเหตุสมผลมากกว่าเดิม
“งั้นทำไมไม่ตั้งฉายาว่ามือธนูจ้าวทะเลทรายแทนล่ะขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัยต่อเนื่อง
องค์ชายเจ็ดมีเส้นเลือดปูดโปนบริเวณข้างลำคอแล้ว
เขาเผลอตัวขึ้นเสียงว่า “โอ๊ย ก็เพราะตลอดเวลาหลายปีนั้น อวี้ซือไป๋สามารถยิงอินทรีอสูรตายได้จำนวนนับไม่ถ้วนน่ะสิ และอวี้ซือไป๋ก็ไม่ได้อยู่ในทะเลทรายตลอดไปสักหน่อย เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงตั้งฉายาว่ามือธนูจ้าวทะเลทรายไม่ได้!”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
นี่ค่อยเป็นคำตอบที่พอยอมรับได้หน่อย
“ท่านเจ็ดไม่ต้องเป็นกังวลขอรับ ข้าน่าจะรับมือเขาได้ไม่มีปัญหา”
หลินเป่ยเฉินมององค์ชายเจ็ดด้วยสายตาสื่อความหมายว่า ‘ท่านก็รู้ว่าข้ามีฝีมือขนาดไหน’ เพื่อให้องค์ชายหนุ่มได้สงบจิตสงบใจลงบ้าง หลังจากนั้น เขาจึงถามต่อ “แล้วข่าวร้ายเรื่องสุดท้ายคืออะไรขอรับ?”
“ข่าวร้ายเรื่องสุดท้ายก็คือพวกของแม่ทัพเกาได้เดินทางออกจากมณฑลเฟิงอวี่มาถึงนครหลวงแล้ว แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางมา คณะของอาจารย์ฉู่กลับยังเดินทางไปไม่ถึงนครเจาฮุย”
องค์ชายเจ็ดกล่าว
แววตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปทันที
องค์ชายเจ็ดรีบอธิบายเพิ่มเติมว่า “คำอธิบายเดียวก็คือพวกเขาคลาดกันระหว่างทาง จึงไม่ได้พบเจอกัน”
หลินเป่ยเฉินรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าและแววตาของตนเอง ก่อนพูด “ข้าลองมาคิดเรื่องนี้ดูดีๆ แล้ว ไม่ทราบว่าพวกของอาจารย์ฉู่เมื่อเดินทางมาถึงนครหลวง เขาได้พูดถึงใครบ้างไหมขอรับ? หรือพวกเขาได้ไปมีเรื่องบาดหมางกับใครบ้างหรือไม่?”
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 70 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย