“นี่มันจิ้งจอกเฒ่า!!” หลังจากได้ยินเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟ แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าการบรรยายอาจารย์ของตนเช่นนี้ไม่เหมาะสม แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ที่สามารถให้ตัวเองขี่หลังตัวเองได้ คิดแล้วเขาก็คงไม่สนใจเรื่องพวกนี้นักหรอก
ความจริงแล้วตอนที่หวังเป่าเล่อลงมือก่อนหน้านี้ยังคิดจริงๆ ว่าอาจารย์ต้องการให้ตนวางอำนาจ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายการมาที่นี่ของอาจารย์คือสิ่งนี้
“พอคิดดูดีๆ ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นปกปิดตัวเองก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นสังเกตเห็น แต่การก่อกวนของอาจารย์ได้ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นจำต้องออกหน้า และจากนั้นก็ทำให้การจัดเตรียมสถานที่ของพวกเขาเผยออกมาเล็กน้อย”
เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ สายตาที่มองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟก็แสดงความเคารพเลื่อมใสออกมา เขารู้ดีว่าอาจารย์ของตนต้องการอะไร และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเลื่อมใสของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟก็กระแอมไอเล็กน้อย เงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ ในใจเป็นสุขยิ่งนัก
เทพวัวที่นั่งลงของเขาก็หรี่ตาลง แสดงท่าทางพึงพอใจ
“ศิษย์รัก ตอนนี้รู้ความร้ายกาจของอาจารย์แล้วสินะ” ปรมาจารย์แห่งไฟเชิดคางขึ้น กล่าวกับหวังเป่าเล่อ
“พลังเทพของอาจารย์ เทียบได้กับการสะเทือนสวรรค์ ความฝันของศิษย์ในชีวิตนี้ก็คือประสบความสำเร็จให้ได้สักหนึ่งในหมื่นของอาจารย์ขอรับ เดิมคิดว่าทำได้แล้ว แต่ดูตอนนี้แล้วยังขาดอยู่มากนัก อาจารย์ได้โปรดรับการคำนับด้วยความเคารพจากใจจริงของศิษย์ด้วยขอรับ!” แววตาของหวังเป่าเล่อยังคงเคารพเลื่อมใสเช่นเดิม น้ำเสียงทอดถอนใจ ก่อนโค้งคำนับไปยังปรมาจารย์แห่งไฟอย่างล้ำลึก
ปรมาจารย์แห่งไฟยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เทพวัวก็ตัวสั่นอยู่หลายครั้ง
“อย่าได้ท้อแท้ ตราบใดที่เจ้าทุ่มเทฝึกฝน สุดท้ายก็จะมีวันนี้เอง” เพลิงกัลป์หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อแล้วตบบ่าของเขา สายตาทอดมองไปยังอวกาศสีเทาที่อยู่ไกลๆ
“เจ้าเห็นอวกาศสีเทานั่นแล้วสินะ แผ่สัมผัสสวรรค์ของเจ้าออกมาแล้วสัมผัสดูให้ดีๆ จากนั้นบอกข้าว่าเจ้ามองเห็นอะไร” ปรมาจารย์แห่งไฟมีความสุขจึงคิดชี้แนะหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็กวาดตามองอวกาศสีเทา ความจริงก่อนหน้านี้ตอนที่มาถึง เขาได้สังเกตเห็นเงาร่างที่เทียวไปเทียวมาในอวกาศสีเทาแล้ว ในใจมีการคาดเดาอยู่บ้าง รู้แล้วว่าภายในอวกาศสีเทาจะต้องมีบางอย่างแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่อาจอยู่ในนั้นได้นาน หลังจากผ่านไปพักหนึ่งก็จำเป็นต้องกลับมาฟื้นตัว แล้วค่อยเข้าไปใหม่
ดังนั้นจึงเกิดภาพเงาร่างมากมายเข้าๆ ออกๆ แบบนี้
ตัวอย่างเช่นศิษย์พี่สามของสำนักฉันปราณที่พวกเขาพูดถึงก็เช่นกัน ตอนนี้เขาเข้าไปในอวกาศสีเทาและยังอยู่ไม่ถึงขีดจำกัด ดังนั้นจึงยังไม่ได้ออกมาในเวลาอันสั้น
ขณะเดียวกันถ้าหากมองดูอวกาศสีเทาผืนนี้นานๆ แล้วจะพบได้ว่า เมื่อมีคนเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ สีของมันก็จะค่อยๆ เข้มขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้ในใจจะมีการวิเคราะห์และการคาดเดาอยู่บ้างแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังแผ่สัมผัสสวรรค์ออกไปยังอวกาศสีเทา ไม่นานก็สัมผัสกับมัน และในพริบตาที่สัมผัสสวรรค์ของเขาแตะเขตแดนอวกาศสีเทา หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นระริก เขาสัมผัสได้ถึงพลังกดดันขับไล่สายหนึ่ง
“หือ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อแข็งขึ้น เขาสัมผัสอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
พลันพบว่าพลังขับไล่นี้ไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่คงอยู่เสมอ และเมื่อสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อแผ่กระจายเข้าไป ความรู้สึกถึงการกดดันขับไล่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อคนอื่นๆ เข้าไปในพื้นที่อวกาศสีเทา เขาก็มองเห็นความแตกต่างได้ทันที
ถึงแม้ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งทรงพลัง แต่พลังขับไล่ที่ตัวของผู้ฝึกตนแต่ละคนกลับมีระดับความเข้มข้นแตกต่างกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์บางคนคล้ายไม่โดนการตอบโต้จากพลังขับไล่อย่างรุนแรงนัก แต่ดารานิรันดร์บางคนกลับเหนื่อยจนอ่อนระโหยโรยแรงอย่างเห็นได้ชัดตอนออกมา ราวกับใช้พลังมหาศาล
“มันเพิ่มขึ้นตามระดับการฝึกตน ยิ่งพลังฝึกปรือสูงเท่าไร แรงกดดันและการขับไล่ที่ต้องเจอหลังเข้าไปก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หรือก็คือ…ที่นี่มีข้อจำกัดอยู่ จำกัดการเข้ามาของผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงกว่าขอบเขตหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อเข้าใจในทันที หลังจากสังเกตดูอีกครั้งเขาก็เอ่ยขึ้นกะทันหัน
“ที่แห่งนี้ระดับจักรพิภพไม่อาจเข้าไปได้ ส่วนดาวพระเคราะห์…ถึงแม้จะสามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่น แต่กลับอันตรายเกินไป มีเพียงดารานิรันดร์…เป็นระดับเดียวที่เหมาะจะเข้าไปยังที่แห่งนี้มากที่สุด!”
ปรมาจารย์แห่งไฟได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา เขามองไปยังอวกาศสีเทาเช่นกัน แววตาฉายแววล้ำลึก ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เอ่ยเสียงเบา
“เจ้าพูดถูก ที่แห่งนี้มีพลังกดดันสยบอยู่ ไม่ใช่ว่าระดับจักรพิภพเข้าไปไม่ได้ แต่หลังจากเข้าไปแล้ว…ยากจะขยับได้แม้เพียงครึ่งก้าว!”
“และก็เพราะเหตุนี้ หลังจากหมื่นสำนักและตระกูลรู้ข้อมูลของที่แห่งนี้แล้ว จึงได้จัดมหาศิษย์ของสำนักและตระกูลของตนมาฝึกฝนเพื่อรับโชค ตระกูลไม่รู้สิ้นดูคล้ายจะไม่เต็มใจ แต่ความจริงแล้ว…พวกเขาเต็มใจ”
“เพราะยิ่งมีคนเข้าไปในนั้นมากเท่าไร ก็จะทำให้พลังแห่งเหตุต้นผลกรรมภายในพื้นที่อวกาศสีเทาผืนนี้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น และเมื่อเหตุต้นผลกรรมวุ่นวายโกลาหลโดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะทำให้พิธีกรรมสังเวยของพวกเขาราบรื่นยิ่งกว่าเดิม!”
“เพียงแต่ที่นี่มีอันตรายต่อชีวิตอยู่ ดังนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้เป็นคนเชิญชวนก่อน แต่ให้เลือกจากความสมัครใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่มหาศิษย์ของแต่ละสำนักตระกูลเสียชีวิตจำนวนมากอยู่ในที่แห่งนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว”
“แต่สำนักกับตระกูลเหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกโง่เง่า เรื่องนี้พวกเขารู้อยู่แก่ใจ แต่มีโอกาสวาสนาอยู่ใหญ่โตนัก ยากจะละทิ้งได้ ดังนั้นจึงเกิดภาพเช่นในตอนนี้ขึ้น” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยช้าๆ บอกถึงเหตุผลที่หมื่นสำนักตระกูลมารวมตัวกันที่นี่ครั้งนี้
“พลังแห่งเหตุต้นผลกรรมหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็ตกใจ มองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ
“เจ้าคิดว่าจุดประสงค์ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นส่งพลังกดดันอยู่ภายนอกคืออะไร” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ
“จุดประสงค์ย่อมไม่ใช่การช่วยเหลือจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก เพราะทำได้ยากเกินไป เว้นเสียแต่เสวียนหัวจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย แต่เขาจะกล้าหรือ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาก็คือต้องการให้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกตาย ซึ่งมีคุณค่าและมีความหมายยิ่งกว่า”
“ตัวอย่างเช่น…การระเบิดตัวเอง!” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตาลง หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ
“ขณะเดียวกัน…ถึงแม้ตระกูลไม่รู้สิ้นจะหวาดกลัวเฉินชิงจื่อ แต่ก็แค่หวาดกลัวเท่านั้น ไม่ว่าเฉินชิงจื่อจะเป็นอันตรายแค่ไหนก็มีแค่ตัวคนเดียว ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดได้ฟื้นคืน!”
“หมอกควันสีฟ้าที่แผ่ลงมาจากภายในเรือรบของไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่เจ้าได้เห็นเป็นของดี มันคือพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ต้องใช้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเพื่อมาสยบเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด”
“แบบนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเดือนแยกและทำให้อยู่ได้นานขึ้น แต่ยังทำให้เขามีพลังระเบิดตัวเองเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตต่อชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังขัดขวางไม่ให้เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดฟื้นคืนชีพ ถึงขั้นไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ…เพื่อทำให้เฉินชิงจื่อบาดเจ็บสาหัส”
“แต่…ข้ามักจะรู้สึกว่าเฉินชิงจื่อกำลังตกเหยื่ออยู่!” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำ คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ตอนนี้หลังจากสัมผัสสวรรค์ของเขาวนเวียนอยู่ที่ชายขอบของอวกาศสีเทาพักหนึ่ง กำลังจะถอนออกมา แต่พริบตาเดียวก็สัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกที่ดังมาจากส่วนลึกของอวกาศสีเทา
ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องสว่าง ไม่ได้ถอนสัมผัสสวรรค์กลับ แต่แผ่เข้าไปยังด้านในต่อ ปรมาจารย์แห่งไฟสังเกตเห็นแล้วแต่ไม่ได้ขัดขวาง
ไม่นานสัมผัสของหวังเป่าเล่อก็แพร่กระจายผ่านเส้นขอบของอวกาศสีเทา เพียงแต่ไม่มีร่างกายเป็นตัวแบกรับจึงยากจะแผ่ไปไกลกว่านี้ แค่มาถึงยังระยะไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว
พริบตาที่แผ่มาถึงระยะไม่กี่ร้อยจั้ง เสียงเพรียกนั้นก็แรงกล้าขึ้นทันที มีเสียงอันคุ้นเคยรางๆ ดังก้องอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อ
“มา…ศิษย์น้องเล็ก มาหาข้า”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างอีกครั้งแล้วมองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ
“ในเมื่อคิดจะไป เช่นนั้นก็ไปเถอะ” ปรมาจารย์แห่งไฟครุ่นคิดอยู่สองสามอึดใจก่อนจะหัวเราะ แววตาฉายประกายให้กำลังใจออกมา
“ไม่ต้องห่วง ถ้ารู้สึกผิดปกติแล้วก็จุดไฟเผาใบไม้ที่อาจารย์มอบให้เจ้าเสีย มีอาจารย์คอยอยู่ตรงนี้ จะต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้แน่!” ปรมาจารย์แห่งไฟลูบศีรษะของหวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ!” หวังเป่าเล่อซาบซึ้งและอบอุ่นใจมาก หลังจากประสานหมัดคำนับปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว ร่างกายก็สั่นสะเทือนแล้วพุ่งออกมาทันที เขาทะยานตรงไปยังอวกาศสีเทา เซี่ยไห่หยางที่อยู่บนเทพวัวด้านหลังของเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตามไปด้วย ทว่าเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์อา อย่าลืมช่วยพูดอะไรดีๆ แทนบิดาของข้าด้วยนะ”
หวังเป่าเล่อหัวเราะลั่น เงาร่างเหยียบย่างเข้าไปในอวกาศสีเทาทันที และในชั่วขณะที่เขาเข้าไปในอวกาศสีเทา ที่ส่วนลึกที่สุดของอวกาศสีเทาซึ่งมีเตาหลอมขนาดใหญ่เก้าเตาอยู่
มีแปดเตาห้อมล้อม หนึ่งเตาเป็นใจกลาง ตอนนี้ในเตาหลอมที่อยู่ใจกลางคล้ายมีโลกหนึ่งใบ และภายในโลกใบนี้ก็มีร่างของชายหนุ่มสวมชุดขาว ผมยาว ในมือถือกาสุรา ข้างๆ มีดาบไม้สีฟ้าโฉบไปมา เขาเงยหน้าดื่มสุราในกา มองไปยังที่ไกลๆ จากนั้นก็หัวเราะ
“ศิษย์น้องเล็กมาแล้ว”
แทบจะในทันทีที่เขาเอ่ยออกมา ที่ไกลๆ ของโลกใบนี้ก็มีเสียงคำรามโหยหวนดังขึ้น มองเห็นว่าสถานที่ที่เสียงคำรามดังออกมามีหมอกปราณสีดำแผ่กระจาย ปกคลุมเงาร่างของคนในตระกูลไม่รู้สิ้นขนาดใหญ่เอาไว้ข้างใน กัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหลือเพียงเลือดและเนื้ออยู่สามส่วนเท่านั้น
“เฉินชิงจื่อ ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าสิ!!!”
“ไม่ต้องรีบ” เฉินชิงจื่อจิบสุราอีกครั้ง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
……………………………………