บทที่ 519.1 เรื่องราวบนโลกเกินจะหยั่งเหมือนดั่งสถานการณ์บนกระดานหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนเส้นทางชาม้าโบราณ ม้าแต่ละตัวพากันชักหัวหันกลับแล้วควบขี่มาทางสตรีสวมหมวกผ้ากับบัณฑิตที่สะพายหีบไม้ไผ่ช้าๆ

เฉาฟู่มีสีหน้าตกตะลึง “ท่านลุงสุย จิ่งเฉิงทำอะไรน่ะ?”

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าแก่ๆ ของตนไปไว้ที่ไหน ในใจเต็มไปด้วยไฟโทสะ แต่กระนั้นก็ยังพยายามกดน้ำเสียงให้สงบนิ่ง ยิ้มกล่าวว่า “จิ่งเฉิงไม่ชอบออกจากบ้านมาตั้งแต่เด็กแล้ว บางทีวันนี้ได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าอกสั่นขวัญผวามากไปก็เลยเสียสติไปเล็กน้อย เฉาฟู่เดี๋ยวเจ้าก็ปลอบใจนางสักหน่อยเถิด”

เฉาฟู่พยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านลุงสุยโปรดวางใจ จิ่งเฉิงเสียขวัญแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ”

สุยเหวินฝ่าประหลาดใจเป็นที่สุด เขาพึมพำกับตัวเองว่า “แม้ว่าอาหญิงจะไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน แต่เวลาปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นี่นา ในบ้านมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมากมาย ท่านพ่อท่านแม่ของข้าต่างก็ตื่นตระหนกลนลาน มีเพียงอาหญิงที่สุขุมมีสติมากที่สุด เวลาได้ยินท่านพ่อเล่าถึงปัญหายากๆ ในวงการขุนนางก็ล้วนเป็นท่านอาที่คอยช่วยวางแผนออกอุบายให้อย่างเป็นระบบระเบียบ มีขั้นมีตอนอย่างยิ่ง”

เฉาฟู่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจเอ่ยกับผู้ปกป้องมรรคาคนนั้น “มองตื้นลึกออกหรือไม่?”

เซียวซูเย่มือดาบลังเลเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจตอบกลับ “ไม่อาจดูแคลน ทางที่ดีที่สุดอย่าผูกปมแค้นเงื่อนตายกับเขาเด็ดขาด ตอนนี้ทุกหนแห่งในราชวงศ์ต้าจ้วนมีแต่คลื่นใต้น้ำ อย่างพวกเราก็ยังต้องออกมาจากอาณาเขตของสำนักไม่ใช่หรือ? สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามีตะพาบน้อยใหญ่ตัวใดบ้างที่คลานออกมาจากบ่อลึก ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งของตำหนักเกล็ดทอง นั่นก็จะต้องเดือดร้อนให้อาจารย์ของเจ้าพัวพันมีปัญหากับตำหนักเกล็ดทองไปด้วย”

เฉาฟู่กล่าว “เว้นเสียแต่ว่าเขายืนกรานจะแย่งชิงสุยจิ่งเฉิงไป ไม่อย่างนั้นทุกเรื่องก็ล้วนคุยกันได้”

เซียวซูเย่พยักหน้ารับ “หากเป็นเช่นนี้ย่อมดีที่สุด ดูจากท่าทางของคนผู้นั้น เขาไม่เหมือนคนที่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องด้านล่างภูเขา ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ก็คงไม่ออกมาจากศาลาก่อน”

เฉาฟู่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “กลัวก็แต่ว่าพวกเราเป็นนกขมิ้นที่รออยู่ด้านหลังตั๊กแตนจับจักจั่น ส่วนเขาเป็นคนยิงหนังสติ๊ก แท้จริงแล้วตั้งใจมาหาเรื่องพวกเราตั้งแต่แรก”

เซียวซูเย่ยิ้มกล่าว “หากเป็นเช่นนี้จริงจะยังทำอย่างไรได้อีก ก็ต้องสู้กันสักตั้งนั่นแหละ สุยจิ่งเฉิงคือคนที่อาจารย์ของเจ้าต้องครอบครองให้จงได้ บนร่างของนางมีโชควาสนาใหญ่ ในเมื่อเขาค้นพบเบาะแสก่อนพวกเราก็อย่าได้ลังเลอีก บนมหามรรคา เมื่อพลาดโชควาสนาไปครั้งหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะไขว่คว้าไว้ได้อีก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ก็เป็นเพราะนายท่านหวังดีต่อเจ้า และเจ้ากับสุยจิ่งเฉิงเดิมทีก็มีเส้นใยเชื่อมโยงกันไว้ ยิ่งเป็นเจ้าที่ค้นพบถึงความล้ำค่าของชุดคลุมอาคมตัวนั้นบนร่างนางก่อนใคร ดังนั้นโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ก็ควรได้มาอยู่ในมือของเจ้าครึ่งหนึ่ง”

เซียวซูเย่ชำเลืองตามองบัณฑิตชุดเขียวที่อำพรางตัวตนได้อย่างลึกล้ำคนนั้น “หากเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ขอแค่ไม่ได้อยู่ระหว่างข้าเซียวซูเย่กับหวังตุ้นแห่งแคว้นอู่หลิง แต่ถ้าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงอีกแปดคนนั้นก็คงจัดการได้ง่าย หากเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง โดยที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนตำหนักเกล็ดทองที่มีแผนการยิ่งใหญ่อย่างที่นายท่านเคยเล่าให้ฟังก็จัดการได้ง่ายอีกเหมือนกัน เมื่อครู่นี้ที่เตือนให้เจ้าระวัง อันที่จริงก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเกินไปนัก ทุกวันนี้ยอดฝีมือส่วนใหญ่ล้วนไปรวมตัวอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นต้าจ้วนกันหมดแล้ว”

เฉาฟู่พยักหน้ารับ “ค่อยๆ ดูกันไปทีละก้าวแล้วกัน ให้แน่ใจในตัวตนของเขาก่อน ยังไม่ต้องรีบร้อนสังหาร ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะเกิดคลางแคลงในตัวพวกเราแล้ว น่าแปลกนัก สตรีผู้นี้มองออกได้อย่างไร?”

ซูเซียวเย่ยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าเรือนของเจ้าคนนี้ก็เป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว จิตใจและลางสังหรณ์ย่อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ คราวนี้พวกเราวางแผนไว้ตื้นเขินเกินไปหน่อย เหตุการณ์บังเอิญเกินไป ย่อมทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าก็อาจจะเป็นเพราะนางจงใจหลอกเจ้า เจ้าต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้สักหน่อย ไม่ต้องพูดอะไรแต่ให้รับมืออย่างระมัดระวัง สตรีที่ความคิดความอ่านรอบคอบ อีกทั้งยังยอมละทิ้งศักดิ์ศรีหน้าตาทุ่มเดิมพันก้อนใหญ่เช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นตัวอ่อนในการฝึกตน เหมาะสมคู่ควรกับเจ้าอย่างแท้จริง วันหน้าเมื่อกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วจะต้องช่วยเหลือเจ้าและสำนักได้มากอย่างแน่นอน ขอข้าพูดมากสักคำ นายท่านแค่ต้องการชุดคลุมอาคมและปิ่นทองของนางเท่านั้น ตัวนาง ถึงอย่างไรก็ยังต้องเป็นของเจ้า”

เฉาฟู่กล่าวอย่างจนใจ “อาจารย์ดีกับข้ายิ่งกว่าบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก เรื่องนี้ข้ารู้ดี”

เซียวซูเย่คลี่ยิ้ม คำพูดบางอย่างไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะจะทำให้เสียความรู้สึก เหตุใดนายท่านถึงดีกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าเฉาฟู่อย่าได้ยึดครองความได้เปรียบแล้วยังไม่รู้จักพอ จะดีจะชั่วนายท่านก็เป็นผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองคนหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะตอนนี้ตบะของเจ้าเฉาฟู่ยังต่ำต้อย ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร และยังห่างจากขอบเขตประตูมังกรอีกยาวไกลจนแทบไม่อาจนับวันรอ ไม่อย่างนั้นป่านนี้พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์คงกลายเป็นคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาไปนานแล้ว ดังนั้นถึงได้บอกว่าหากสุยจิ่งเฉิงผู้นี้กลายเป็นสตรีของเจ้าจริงๆ พอไปอยู่บนภูเขาก็มีแต่ต้องรับความทุกข์ทน ไม่แน่ว่าพอได้ชุดคลุมอาคมผ้าโปร่งบางอย่างเสื้อไผ่และปิ่นทองสามชิ้นนั้นไปแล้ว อาจารย์ของเจ้าอาจจะบอกให้เจ้าบดโครงกระดูกสาวงามกับมือตัวเองก็เป็นได้

เซียวซูเย่เชื่อมั่นว่าหากถึงวันนั้นจริงๆ เฉาฟู่ย่อมเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างไม่มีความลังเล

มหามรรคาไร้ความรู้สึก บนเส้นทางของการเป็นอมตะ นอกจากคู่รักเทพเซียนที่มีพันธะผูกพันกันบนมหามรรคาแล้ว สตรีก็เหมือนพื้นรองเท้าที่ต่อให้จะงามล่มบ้านล่มเมืองปานไหน ก็สามารถถูกเปลี่ยนถูกทิ้งได้ทุกเมื่อ

ม้าแต่ละตัวเดินหน้ามาอย่างเชื่องช้าราวกับกลัวว่าจะทำให้สตรีที่กลับมาสวมหมวกม่านอีกครั้งตกใจ

นางลุกขึ้นยืน ขยับมาอยู่ด้านหลังคนหนุ่มชุดเขียวอีกครั้งแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชายเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าคือเทพเซียนบนภูเขาที่แท้จริง อีกทั้งยังไม่มีเจตนาร้ายต่อตระกูลสุยของพวกเราด้วย เพียงแค่ก่อนหน้านี้รู้สึกผิดหวัง คร้านจะถือสาพวกเราก็เท่านั้น ทว่าเฉาฟู่ผู้นี้มีจิตใจชั่วช้า เขาจงใจวางแผนขุดหลุมให้ข้าลงไปติดกับ ขอแค่วันนี้เจ้าช่วยข้า ข้าก็ยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า! ต่อให้ต้องทำหน้าที่เป็นสาวใช้คอยยกน้ำส่งชา แบกหีบหาบของ ข้าสุยจิ่งเฉิงก็ยินยอมพร้อมใจจะเป็น!”

คนหนุ่มที่หันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับม้าหลายตัวหันหน้ากลับมา โบกพัดเบาๆ พลางกล่าวว่า “เลิกพูดจาเหลวไหลเสียที ชายชาตรีในยุทธภพทำความดีผดุงคุณธรรมไม่เคยหวังสิ่งตอบแทน คำพูดตามมารยาททำนองว่าจะใช้ร่างกายตอบแทน จะเป็นวัวเป็นม้าอะไรนั่น พูดให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ระวังว่าจากที่อยากอวดฉลาด สุดท้ายจะกลายเป็นแสดงความโง่เขลา ใช่แล้ว เจ้าคิดว่าหูซินเหวยจอมยุทธใหญ่หูผู้นั้นสมควรตายไหม?”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าครุ่นคิดหาถ้อยคำที่เหมาะๆ อยู่ครู่หนึ่ง บางทีคงคิดว่าเซียนซือหนุ่มผู้นี้กำลังทดสอบสติปัญญาของตนอยู่ นางถึงได้ตอบอย่างระมัดระวัง “เขาแค่ขี้ขลาดไร้ความกล้าหาญ แต่ยังไม่เคยฆ่าใคร ไม่ควรมีโทษถึงตาย”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ ไม่เปลี่ยนใจแน่หรือ?”

นางพยักหน้ารับหนักๆ

คนผู้นั้นหุบพัดเข้าด้วยกัน เอามาเคาะไหล่ตัวเองเบาๆ ร่างเอนมาด้านหลังเล็กน้อยพร้อมกับหันหน้ามายิ้มกล่าว “จอมยุทธใหญ่หู เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”

หูซินเหวยตื่นตระหนกจนไม่คิดจะเลือกเส้นทางให้ดี ร่างของเขากระโดดผลุงขึ้นสูง กระโจนออกห่างไปจากเส้นทางชาม้าโบราณโดยตรง แล้ววิ่งตะบึงลงจากเขาไปตลอดทาง มีมาดแห่งความกล้าหาญพร้อมบุกฝ่าขวากหนามอย่างยิ่ง เพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตา ร่างก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันแค่สิบก้าวกว่า สุยซินอวี่ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “เด็กโง่ อย่าก่อเรื่องเหลวไหล รีบกลับมาเร็วเข้า เฉาฟู่ยังลุ่มหลงในตัวเจ้าไม่มากพออีกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำแบบนี้เป็นการทำเรื่องโง่ๆ ของคนที่ตอบแทนบุญคุณคนด้วยความแค้น?!”

พูดมาถึงช่วงท้าย รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่มีฝีมือการเล่นหมากล้อมเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นก็แสดงสีหน้าเดือดดาล ตวาดเสียงกร้าว “ขนบธรรมเนียมของตระกูลสุยถูกต้องเที่ยงตรงมาทุกรุ่นทุกสมัย จะมีการกระทำเช่นนี้ได้อย่างไร! ต่อให้เจ้าไม่ยินดีแต่งงานกับเฉาฟู่อย่างขอไปที ยังไม่อาจยอมรับวาสนาคู่ครองที่มาเยือนอย่างกะทันหันนี้ได้ แต่ว่าพ่อก็ดี หรือเฉาฟู่ที่ตั้งใจเดินทางมาแต่กลับต้องมาเสียใจก็ช่าง พวกเราล้วนเป็นคนมีเหตุผล หรือเจ้าจะต้องทำตัวมุทะลุวู่วามแบบนี้เพื่อให้พ่อลำบากใจให้จงได้? จะให้คนสกุลสุยของพวกเราอับอายขายหน้าอย่างนั้นหรือ?!”

เด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าและเด็กสาวสุยซินอี๋ต่างก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว

พวกเขาไม่เคยเห็นท่านปู่มีโทสะเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน

สตรีสวมหมวกคลุมหน้ายิ้มขื่นเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ลูกรู้แค่เรื่องเดียว ผู้ฝึกตนไร้ความรู้สึกที่สุด วาสนาคู่ครองในโลกโลกีย์ พวกเขามีแต่จะรีบหลบเลี่ยงยังไม่ทัน”

เฉาฟู่เอ่ยเสียงเบาด้วยสายตาอ่อนโยน “แม่นางสุย รอให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ก็จะรู้เองว่าบนภูเขาก็มีคู่บำเพ็ญตนอยู่เหมือนกัน คู่ที่ได้รู้จักกันตั้งแต่ตอนอยู่ล่างภูเขาแล้วสานวาสนากันต่อบนภูเขาก็ยิ่งมีน้อยดุจขนหงส์เขากิเลน ข้าเฉาฟู่จะไม่ทะนุถนอมเห็นค่าได้อย่างไร? อาจารย์ของข้าคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง คือผู้ฝึกตนผู้บรรลุมรรคาบนยอดเขาอย่างแท้จริง ท่านผู้อาวุโสปิดด่านมานานหลายปี ออกจากด่านมาครั้งนี้จึงช่วยทำนายชะตาให้ข้า เห็นว่าดาวหงหลวน *(ดาวมงคลที่เหมาะแก่การแต่งงาน การมีบุตร)*ขยับเคลื่อน ด้วยเหตุนี้ยังสอบถามอักษรเกิดแปดตัวของเจ้าและข้าสองคน พอทำนายออกมาแล้วก็ได้แค่แปดคำว่า คู่สร้างคู่สม ร้อยปียากจะพานพบ”

สตรีสวมหมวกม่านลังเลอยู่เล็กน้อย นางบอกว่ารอสักครู่ จากนั้นก็หยิบเหรียญทองแดงกำหนึ่งจากชายแขนเสื้อมากำไว้ในฝ่ามือข้างขวา ครั้นจึงชูแขนขึ้นสูง แล้วโยนลงบนฝ่ามือข้างซ้ายเบาๆ

นางพลิกๆ หยิบๆ สุดท้ายเงยหน้าขึ้น กำเหรียญทองแดงที่อยู่ในฝ่ามือไว้แน่น ยิ้มเศร้าสร้อย “เฉาฟู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดทั้งที่ปีนั้นงานแต่งครั้งแรกของข้าไม่สำเร็จผล แต่ข้ากลับยังมวยผมทรงสตรีที่แต่งงานแล้ว วางตัวเหมือนหญิงหม้าย? ภายหลังต่อให้ท่านพ่อของข้าตกลงเรื่องงานแต่งกับครอบครัวเจ้าได้สำเร็จแล้ว ข้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนทรงผม นั่นเป็นเพราะข้าอาศัยศาสตร์นี้ทำนายออกมา บัณฑิตที่ตายไปก่อนวัยอันควรผู้นั้นต่างหากถึงจะเป็นคู่ครองที่ดีของข้าในชาตินี้ หาใช่เจ้าเฉาฟู่ไม่ เมื่อก่อนไม่ใช่ ตอนนี้ก็ยังคงไม่ใช่ ตอนนั้นหากครอบครัวของเจ้าไม่เจอกับหายนะ ข้าก็คงแต่งงานกับเจ้าตามประสงค์ของครอบครัว เพราะถึงอย่างไรคำสั่งของบิดาก็ยากจะคัดค้าน แต่ในเมื่อผ่านครั้งนั้นมาแล้ว ข้าก็สาบานกับตัวเองว่าชีวิตนี้จะไม่แต่งงานอีก ดังนั้นต่อให้ท่านพ่อบีบบังคับให้ข้าแต่งงานกับเจ้า ต่อให้ข้าเข้าใจเจ้าผิด ข้าก็ยังคงสาบานว่าจะไม่แต่งงาน!”

นางขว้างเหรียญทองแดงกำนั้นลงบนพื้นอย่างแรง พลันดึงปิ่นทองอันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วแทงทะลุผ่านผ้าโปร่งบางที่ห้อยลงมาจากหมวกบนศีรษะ ทิ่มเข้าที่ลำคอของตนอย่างรวดเร็ว เลือดสดซึมออกมา นางมองไปยังผู้เฒ่าที่อยู่บนหลังม้า พูดเสียงสะอื้น “ท่านพ่อ ยอมให้ลูกเอาแต่ใจตัวเองสักครั้งเถิด”

สุยซินอวี่โมโหจนใช้หมัดทุบขาตัวเอง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เนรคุณ เนรคุณจริงๆ แล้ว เหตุใดข้าถึงให้กำเนิดลูกเวรที่ถูกผีบังตาบังใจอย่างเจ้าได้นะ! เทพนำมามอบให้ในความฝัน คำทำนายของยอดฝีมืออะไรนั่น…”

สุยซินอวี่โกรธเกรี้ยวจนพูดจาสะเปะสะปะ

เฉาฟู่ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านลุงสุย ไม่อย่างนั้นก็ยกเลิกไปดีไหม? ข้าไม่อยากเห็นจิ่งเฉิงต้องลำบากใจเช่นนี้”

บัณฑิตชุดเขียวใช้พัดไม้ไผ่ดันหน้าผาก สีหน้าเหมือนคนปวดหัว “สรุปว่าพวกเจ้าจะเล่นบทไหนกันแน่ คนหนึ่งก็เป็นสตรีที่จะฆ่าตัวตาย คนหนึ่งก็ตาเฒ่าที่จะบีบให้ลูกสาวแต่งงาน คนหนึ่งคือเซียนซือคนดีที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่ใฝ่ฝันจินตนาการอยากมีอาเขยกับเขาเร็วๆ คนหนึ่งก็เด็กสาวที่รักแรกผลิบานจึงยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไร อีกคนก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพที่กำลังลังเลว่าควรจะหาข้ออ้างลงมือดีหรือไม่ นี่มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ตอนอยู่ที่ศาลา ต่อยตีเข่นฆ่ากันเสร็จไปแล้วหนหนึ่ง แต่นี่มันเรื่องในบ้านของพวกเจ้านะ ไม่ควรรีบกลับบ้านไปปิดประตูปรึกษาวางแผนกันดีๆ หรอกหรือ?”

ม้าตัวหนึ่งค่อยๆ ควบเคลื่อนผ่านเฉาฟู่และสุยซินอวี่ที่เดิมทีหยุดม้าเคียงบ่ากันมา เอ่ยถามว่า “ข้าน้อยเซียวซูเย่แห่งแคว้นชิงสือ ไม่ทราบว่าสำนักของคุณชายคือ?”

เผชิญหน้ากับคนที่เพียงแค่ยกมือขึ้นง่ายๆ ก็สามารถทำให้เหรียญทองแดงทั้งหลายที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นลอยค้างขึ้นกลางอากาศ เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ถวายงานของตำหนักเกล็ดทอง ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองตัวเล็กๆ คนหนึ่ง บังเอิญนัก ข้าเองก็เพิ่งออกจากด่านมาได้ไม่นาน เห็นพวกเจ้าสองคนแล้วไม่ค่อยถูกชะตานัก กำลังคิดว่าจะเลียนแบบพวกเจ้า ทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามดูสักครั้ง”

จากนั้นคนผู้นั้นก็หันหน้าไปยิ้มเยาะใส่สตรีสวมหมวกคลุมหน้า “มีใครเขาโยนเหรียญทองแดงแล้วทำนายส่งเดชแบบนี้บ้าง เจ้าคิดจะหลอกผีหรือไง?”

นางยังคงยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ใช้ปิ่นทองทิ่มลำคอตัวเองไว้อย่างนั้น

เฉาฟู่พูดด้วยเสียงในหัวใจ “อาจารย์เคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของตำหนักเกล็ดทองเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่งจริงๆ พลังการสังหารรุนแรงมาก!”

เซียวซูเย่มือดาบที่เพิ่งเลื่อนสู่สิบอันดับใหม่ล่าสุดพยักหน้ารับเบาๆ ใช้เสียงในหัวใจตอบกลับ “เรื่องนี้สำคัญมาก ชุดคลุมอาคมและปิ่นทองบนร่างของสุยจิ่งเฉิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาถาบทนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวพันกับโชควาสนาบนมหามรรคาของนายท่าน ดังนั้นเราจะถอยไม่ได้ ต่อจากนี้ข้าจะลงมือหยั่งเชิงคนผู้นั้นดู หากเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองจริงๆ เจ้ารีบหนีไปทันที ข้าจะช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ แต่หากเป็นตัวปลอมก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วงแล้ว”

คนผู้นั้นบิดหมุนข้อมือ โบกพัดพับเบาๆ เหรียญทองแดงทั้งหลายก็ลอยขึ้นลอยลงตามจังหวะการโบกพัด เขาจุ๊ปากเอ่ยว่า “พี่ชายมือดาบท่านนี้ ปราณสังหารบนร่างช่างเข้มข้นยิ่งนัก ไม่ทราบว่าปราณดาบจะมีน้ำหนักสักกี่จิน ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนี้ของข้าแล้ว จะเป็นดาบแห่งยุทธภพที่เร็ว หรือจะเป็นกระบี่บินบนภูเขาที่เร็วกว่ากันแน่”

ประกายแสงเส้นหนึ่งพลันพุ่งพรวดออกมาจากหว่างคิ้วของบัณฑิตชุดเขียว

กระบี่บินขนาดจิ๋วของเซียนกระบี่เล่มนั้นเพิ่งจะปรากฎตัว ร่างของเซียวซูเย่ก็ถอยกรูดไปด้านหลัง คว้าจับไหล่ของเฉาฟู่แล้วทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน จากนั้นก็พลันเปลี่ยนวิถีพลิกตัวกลับ เหยียบลงบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ พุ่งทะยานออกไป

ทว่าคนชุดเขียวกลับมายืนอยู่บนยอดกิ่งไม้ที่เซียวซูเย่เหยียบผ่านไปก่อนหน้านี้แล้ว “หากมีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าเซียวซูเย่และเฉาเซียนซือที่แคว้นชิงสือ”

ระหว่างที่เขาพูด

เซียวซูเย่ผู้นั้นก็พลิกมือขว้างยันต์สีทองแผ่นหนึ่งมาด้านหลัง

เพียงแต่ว่าถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งปักตรึงเข้าไปในแก่นของยันต์ จากนั้นแผ่นยันต์ก็หมุนคว้างเข้าไปอยู่ในมือของเซียนกระบี่หนุ่ม พอถูกเขากำไว้ในมือก็ระเบิดแตกกลายเป็นผุยผง

เซียวซูเย่ยิ่งทะยานหนีจากไปเร็วมากกว่าเดิม

เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตำหนักเกล็ดทองผู้นั้นจริงๆ ด้วย!

—–