ตอนที่ 890 ฟู่อวิ๋นซิวจากสำนักเมฆาคราม

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในขณะที่กำลังเฝ้ารอ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนตะวันลับฟ้าไป

จนกระทั่งตอนนี้ เวลาก็ผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้ว ทว่ายังไม่มีผู้ใดปรากฏตัวจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเช่นเดิม

“นี่มันอะไรกัน ? จอมยุทธ์ที่ผ่านการคัดเลือกในครานี้มีเพียงไม่กี่สิบคนเองรึ ?”

หลายคนที่ไม่ทราบเบื้องลึกเบื้องหลังเริ่มกระซิบกระซาบกันเบา ๆ

“ก็เป็นไปได้…ไม่เช่นนั้นเราคงเห็นผู้คนปรากฏตัวมากกว่านี้แล้ว”

“สมรภูมิรบเดนตายเป็นสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าจอมยุทธ์มากฝีมือของดินแดนตั้งมากมายจะล้มตายอยู่ข้างในนั้น”

หลายคนพึมพำด้วยความสับสนและเริ่มสงสัยกันว่าอาจมีแผนการสมคบคิดบางอย่างอยู่เบื้องหลัง

…..

“สามสำนักและเก้านิกายใกล้จะมากันครบแล้ว”

หลังจากกวาดสายตามองขุมกำลังที่มาถึงแล้ว จ้าวไห่ก็กล่าวแนะนำกับทุกคน

ตอนนี้ตัวแทนจากแปดในเก้านิกายปรากฏตัวแล้วและมีเพียงตัวแทนจากนิกายกระบี่สายฟ้าที่ยังคงมาไม่ถึง ส่วนตัวแทนจากสามสำนักก็ยังไม่ปรากฏตัวเช่นกันและคาดว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในระหว่างการเดินทาง

ที่นั่งสำหรับทั้งเก้านิกายอยู่ทางฝั่งตะวันออกของลานจัตุรัสซึ่งเรียงตามลำดับ ได้แก่ นิกายเมฆาล่องลอย นิกายหมื่นบุปผา นิกายกระบี่สายฟ้า นิกายนภาคราม นิกายธาราแดง นิกายมังกรฟ้า นิกายพยัคฆ์ขาว นิกายเต่าดำและนิกายหงส์แดง

ส่วนที่นั่งของสามสำนักถูกจัดไว้ตรงกลางลานจัตุรัสซึ่งเป็นตำแหน่งหลักและในตอนนี้ที่นั่งเหล่านั้นยังคงว่างเปล่า

สายตาของฉินอวี้โม่เลื่อนไปหยุดลงที่ตัวแทนจากนิกายหมื่นบุปผา เป็นจริงดังที่คิดไว้ ไม่มีบุรุษใดที่เป็นศิษย์ในของนิกายหมื่นบุปผาและตัวแทนในตอนนี้ก็มีเพียงสตรีจำนวนหนึ่งเท่านั้น

ผู้นำตัวแทนของนิกายหมื่นบุปผาในวันนี้คือผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายซึ่งมีนามว่า ‘ฮวาเยว่’ นางดูมีอายุอยู่ในช่วงสามสิบปีและมีรูปลักษณ์งดงามโดดเด่น ร่างกายของนางก็แผ่กลิ่นอายทรงเสน่ห์ของสตรีที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งยากจะละสายตา

ข้างกายนางก็มีศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาอีกสามคน

เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองไปทางศิษย์ของนิกายต่าง ๆ พวกนางก็พบว่าคนเหล่านั้นก็กำลังมองมาที่พวกตนเช่นกัน

ในฐานะจอมยุทธ์ฝีมือโดดเด่นที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายได้สำเร็จ แน่นอนว่าศิษย์จากนิกายเหล่านั้นย่อมสนใจในตัวพวกนางเป็นอย่างมาก

“สตรีเหล่านั้นดูใช้ได้ทีเดียว”

ฮวาเยว่จากนิกายหมื่นบุปผากล่าวขณะมองไปที่ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน

นิกายหมื่นบุปผาเต็มไปด้วยสตรีรูปงามมากมายและฮวาเยว่เคยคิดว่าคงไม่มีสตรีคนใดที่ทำให้นางรู้สึกทึ่งใจได้ ทว่าฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนได้ทำลายความคิดนั้นไปอย่างสิ้นเชิง

รูปลักษณ์ของทั้งสองงดงามดุจดั่งนางฟ้านางสวรรค์และมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งเหนือกว่านางเสียอีก กล่าวได้ว่าทั้งสองไม่ด้อยไปกว่าจ้าวนิกายหมื่นบุปผาเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของทั้งสองก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน การเอาตัวรอดจากสมรภูมิรบเดนตายได้อย่างไม่มีรอยขีดข่วนก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าพวกนางมีฝีมือที่เหนือชั้นกว่าจอมยุทธ์ทั่ว ๆ ไป

หัวใจของนางก็เกิดความคิดหนึ่งในทันที หากดึงตัวสตรีทั้งสองเข้ามาร่วมในนิกายหมื่นบุปผาได้ พลังอำนาจโดยรวมของขุมกำลังจะพัฒนาต่อไปได้อย่างแน่นอนและอาจถึงขั้นก้าวผ่านนิกายเมฆาล่องลอยจนกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในหมู่นิกายทั้งเก้า

นิกายอื่น ๆ ก็สนใจในตัวฉินอวี้โม่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือนิกายเมฆาล่องลอยซึ่งเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งในเก้านิกายและมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ตัวแทนจากสามสำนักไม่เข้ามาร่วมการแย่งชิง พวกเขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทาบทามจอมยุทธ์ผู้ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมขุมกำลังของตนได้มากกว่าครึ่งอย่างแน่นอน

“เหตุใดคนจากนิกายกระบี่สายฟ้าจึงมาไม่ถึงอีกล่ะ ?”

ในฐานะขุมกำลังอันดับต้น ๆ แน่นอนว่าผู้นำและตัวแทนของแต่ละนิกายล้วนรู้จักกันดี

อวิ๋นเฟิง—ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายเมฆาล่องลอยยิ้มให้ฮวาเยว่และเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“อาจเกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้ล่าช้าก็เป็นได้”

ฮวาเยว่ขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ ความสัมพันธ์ระหว่างนิกายหมื่นบุปผาและนิกายกระบี่สายฟ้าไม่ถือว่าดีนัก ก่อนหน้านี้นางจับได้ว่ามีคนของนิกายกระบี่สายฟ้าที่แอบแฝงตัวเข้าไปในนิกายซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่พอใจกับนิกายกระบี่สายฟ้าอย่างมาก

เมื่อเห็นท่าทางของฮวาเยว่ที่ดูจะไม่ต้องการพูดถึงคนเหล่านั้น อวิ๋นเฟิงก็นึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

“กล่าวกันว่าครานี้เหลยเจี้ยนเชิงจะมาด้วยตัวเอง คาดว่าเขาคงจะต้องการใช้โอกาสนี้ในการเลือกศิษย์ที่โดดเด่นเข้าร่วมนิกายด้วยตนเองเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนิกายอันดับหนึ่งในเก้านิกายเป็นแน่”

เมื่อนึกถึงข่าวซุบซิบที่ได้ยินมา อวิ๋นเฟิงก็ไม่รอช้าและเปิดเผยกับฮวาเยว่ทันที

“การที่จ้าวนิกายออกปากเชื้อเชิญด้วยตัวเองจะโน้มน้าวใจผู้คนได้มากจริง ๆ ทว่าครานี้ข้าจะไม่ยอมแพ้แน่”

ฮวาเยว่กล่าวตอบเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความมั่นใจว่าจะเอาชนะได้

อวิ๋นเฟิงก็เพียงยิ้มบาง ๆ เช่นกัน แม้ไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกไป ความหมายของเขาก็ชัดเจนไม่ต่างกัน

นิกายอื่น ๆ ก็กำลังนั่งกระซิบกระซาบกันเบา ๆ เช่นกันด้วยหวังว่าจะชวนเชิญคนที่พวกตนหมายตาทันทีที่มีโอกาส

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เมินเฉยต่อสายตาของคนเหล่านั้นขณะนั่งรอต่อไปอย่างใจเย็น

อีกครึ่งชั่วยามผ่านไปและท้องฟ้าในตอนนี้มืดสนิทแล้ว

ทันใดนั้น แรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่ไปทั่วลานจัตุรัสและทำให้ทุกคนประหลาดใจกันเล็กน้อย

“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องรอนาน !”

น้ำเสียงอันอบอุ่นดังขึ้นในหูของทุกคนก่อนคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวตรงกลางลานจัตุรัส

บุรุษผู้นำกลุ่มเป็นบุรุษอ่อนเยาว์ที่ดูเหมือนมีอายุเพียงประมาณยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเท่านั้น เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มและถือพัดพับในมือ ใบหน้าของเขาหล่อเหลาและดูดีดั่งสุภาพบุรุษรูปงาม ด้านหลังของเขาคือบุรุษวัยกลางคนสองคนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดและมีสีหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังอย่างมาก กลิ่นอายความหนักแน่นดุดันแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาจนผู้อื่นไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้แม้แต่น้อย

“ท่านลุงทั้งสอง ผ่อนคลายลงหน่อยเถิด อย่าจริงจังเกินไปนักเลย ผู้คนพากันเกรงกลัวหมดแล้ว”

บุรุษหนุ่มเอ่ยปากและสะบัดพัดในมือเบา ๆ ด้วยท่าทางที่ดูดีไร้ที่ติจนสตรีแทบทั้งลานจัตุรัสถึงกับอุทานออกไป

ต้องยอมรับเลยว่ารูปลักษณ์ของเขาเป็นอันตรายต่อหัวใจของสตรีมาก

“นั่นคือบุตรชายของจ้าวสำนักเมฆาคราม—ฟู่อวิ๋นซิว”

จ้าวไห่จดจำบุรุษหนุ่มผู้นั้นได้ทันที เขาคือบุตรชายของจ้าวสำนักเมฆาคราม ‘ฟู่อวิ๋นซิว’ เขาเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์อันดับต้น ๆ ของดินแดนและติดอันดับหนึ่งในสามของบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในดินแดน

“คิดไม่ถึงเลยว่าสำนักเมฆาครามจะส่งฟู่อวิ๋นซิวมาที่นี่ด้วยตัวเอง เห็นทีพวกเขาจะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกครานี้มากนัก”

ฟู่อวิ๋นซิวมิใช่เป็นเพียงบุตรชายของจ้าวสำนักเมฆาครามเท่านั้นทว่ายังเป็นผู้ที่มากพรสวรรค์ที่สุดในหมู่จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ของสำนักเมฆาคราม ด้วยวัยเพียงสามสิบห้าปี ความแข็งแกร่งของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดแล้วซึ่งถือว่ามีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าผู้อาวุโสหลายคนของสำนักก็ยังเทียบเขาไม่ได้ด้วยซ้ำและมีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะเอาชนะเขาได้

หลังจากทักทายทุกคน ฟู่อวิ๋นซิวก็กำลังจะย่อตัวนั่งลง ทว่าจู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนซึ่งนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยอยู่ด้านข้าง

“ว้าว ! ข้าไม่ได้ออกมานอกสำนักเสียนาน ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับสตรีงามเช่นนี้ เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเลย แม่นางทั้งสองคงจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อสตรีงามที่สุดในดินแดนมหาเทพสินะ”

เขาเดินตรงเข้าไปหาทั้งสองและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ฟู่อวิ๋นซิวเคยพบสตรีงดงามที่ติดอันดับมาแล้วมากมาย แม้สตรีเหล่านั้นล้วนมีรูปลักษณ์โดดเด่นชวนมอง ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับอยู่ในระดับปกติทั่วไป หลังจากได้พบหรือพูดคุยกันเป็นเวลานาน เขาก็พบว่าตนเองหมดความสนใจในตัวพวกนางไป เพราะเหตุนั้น เขาจึงไม่เคยสนใจสตรีที่อยู่ในรายชื่อสตรีงามของดินแดน

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียนแตกต่างจากสตรีเหล่านั้นที่เขาเคยพานพบมา ทั้งสองมีกลิ่นอายความโดดเด่นบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเป็นประเภทที่มีเสน่ห์ดึงดูดอยู่ตลอดเวลา ต่อให้ได้พบและทำความรู้จักกันเป็นเวลานาน เขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดนึกเบื่อทั้งสองอย่างแน่นอน

“ข้าน้อยมีนามว่าฟู่อวิ๋นซิว ไม่ทราบว่าแม่นางจะยินดีผูกมิตรกับข้าหรือไม่ ?”

เขายื่นมือออกไปตรงหน้าฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวอย่างเป็นมิตร

แม้ฉินอวี้โม่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับฟู่อวิ๋นซิวมาก่อน ความประทับใจแรกที่มีต่อเขาก็ถือว่าดีพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้น แววตาของฟู่อวิ๋นซิวก็ไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝงนอกจากความชื่นชม แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ยินดีผูกมิตรกับเขา

ขณะนางกำลังจะยื่นมือออกไปตอบรับอีกฝ่าย มือของฟู่อวิ๋นซิวก็ถูกจับไว้เสียแล้ว

“ข้าหานโม่ฉือและนี่คือภรรยาของข้านามว่าฉินอวี้โม่”

หานโม่ฉือจับมือทักทายฟู่อวิ๋นซิวและถือโอกาสแนะนำตัวทันที

“ที่แท้แม่นางก็แต่งงานแล้วนี่เอง”

ฟู่อวิ๋นซิวมองหานโม่ฉือด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย รูปลักษณ์ของบุรุษผู้นี้ดูดีกว่าตัวเขาเสียอีก ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นี้ก็จะไม่ธรรมดาเช่นกัน