บทที่ 1637 ตัวละครเล็กๆ

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พอโค่วเจิงมาถึงก็เห็นเม่ยจีกับเหมียวอี้กำลังคุมเชิงกันแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนการต่อสู้กำลังจะปะทุ ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พอเห็นเหมียวอี้ยังปลอดภัยดี โค่วเจิงก็โล่งใจบ้างแล้วนิดหน่อย พอเอียงหน้าเล็กน้อยบอกว่า “อืม” แม่ทัพเกราะแดงคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายก็โบกมือสั่ง ในทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสน นอกจากแม่ทัพเกราะแดงสิบกว่าคนที่ยังอยู่ข้างกายโค่วเจิง นอกนั้นก็พุ่งออกไปตั้งกระบวนทัพแล้ว ล้อมทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเอาไว้

ถึงแม้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จะมีไม่มาก แต่ก็เปิดเผยออกมาให้เห็นแล้วเช่นกัน แต่ละคนง้างลูกธนูไว้บนสาย เล็งไปยังคนที่ถูกล้อมไว้

สีหน้าของหลันเย่กับเม่ยจีดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ทั้งสองกำลังมองไปรอบๆ

เมื่อพวกลูกน้องมาล้อมเพื่อคุมสถานการณ์ไว้แล้ว โค่วเจิงถึงได้นำคนเข้ามาในกระบวนทัพ

“พี่ใหญ่โค่ว” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ

โค่วเจิงมองข้ามหลันเย่กับเม่ยจี แล้วพยักหน้าเบาๆ ให้เหมียวอี้ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ยิ้มพร้อมตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่แน่ใจขอรับ ต้องถามความเห็นของพระโพธิสัตว์เม่ยจีก่อน”

“อ้อ!” โค่วเจิงเอามือไขว้หลัง แล้วเอียงหน้ามองเหยียดเม่ยจีแวบหนึ่ง “หรือมียังมีคนกล้าทำร้ายกันอย่างโจ่งแจ้งอีก? ข้าก็อยากจะเห็นว่าใครกันที่มีความกล้าอย่างนั้น!”

ในเวลานี้ เขาได้แสดงความมีอำนาจอิทธิพลของตัวเองออกมาหมดแล้ว มองพระโพธิสัตว์เม่ยจีที่มีระดับเทียบเท่าเทพประจำดาวด้วยสายตาเหยียดหยาม

ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่ได้มาเพื่อวางมาดอย่างเดียว ถ้าจะให้โอ้อวดวางมาดจริงๆ แม้แต่ระดับจอมพลก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจเขาเลย แล้วมีหรือที่เขาจะเห็นคนระดับเทพประจำดาวอยู่ในสายตา

ท่าทีของเขากระตุ้นให้เม่ยจีค่อนข้างทุกข์ใจ ถึงอย่างไรฝั่งนี้ก็ยังมีกลุ่มลูกศิษย์ของสำนัก แล้วจะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร นางถามเสียงต่ำว่า “โค่วเจิง เจ้าหมายความว่าอะไร?”

เหมือนกับที่เม่ยจีทำกับเหมียวอี้ โค่วเจิงเอามือไขว้หลังเดินเข้ามาประชิดนางทีละก้าว บนใบหน้าแสดงความเหย่อหยิ่งจองหองออกมาหมด จนกระทั่งหน้าอกแทบจะแนบชิดกับหน้าอกที่ยื่นออกมาของนาง เขาถึงได้หยุด จากนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมบอกว่า “ก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก! แต่ถ้าเจ้าอยากจะมีความหมายอะไร โค่วคนนี้ก็จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้ทุกเมื่อ!”

ศิษย์ของเม่ยจีโมโหแล้ว ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะเคลื่อนไหว แม่ทัพเกราะแดงแถวหนึ่งก็ถลันตัวมาเตรียมพร้อมป้องกันอยู่ทางซ้ายและขวาของโค่วเจิง เล็งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

เหมียวอี้มองเม่ยจีที่เดี๋ยวก็กำหมัดเดี๋ยวก็คลายหมัด ในใจแอบรู้สึกขำ ถ้าพูดถึงพลังความสามารถ โค่วเจิงสู้เม่ยจีไม่ได้แน่นอน แต่ช่วยไม่ได้ที่ยอดฝีมือที่โค่วเจิงพามาด้วยก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน

เม่ยจีโบกมือห้ามคนของสำนักตัวเองไม่ให้วู่ว่าม แล้วหันตัวหลบโค่วเจิง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม “โค่วเจิง เจ้าอารมณ์ขึ้นเยอะเลยนะ! ถ่อมาพาลเกเรถึงแดนสุขาวดีแล้ว”

โค่วเจิงอสยะยิ้ม “ก็ช่วยไม่ได้ ดาบมาจ่อคอตระกูลโค่วของข้าแล้ว ถ้าไม่เจ้าอารมณ์สักหน่อย เกรงว่าคนของตระกูลโค่วจะตายหมดตั้งแต่เมื่อไรก็ยังไม่รู้เลย”

เม่ยจีหลุดหัวเราะ “ไม่ปะทะฝีปากกับเจ้าแล้ว คุยเรื่องสำคัญเถอะ หนิวโหย่วเต๋อตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เจ้าก็รู้กฎของแดนสุขาวดี”

“เจ้าเก็บเมิ่งถัวหลัวไปเหรอ?” โค่วเจิงหันมาถามเหมียวอี้

เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมิ่งถัวหลัวหน้าตาเป็นยังไง แล้วอีกอย่างนะ เมิ่งถัวหลัวก็ไม่ได้มีแค่ที่ดาวพิษด้ววย ถ้าข้าอยากได้เมิ่งถัวหลัวจริงๆ ยังจะต้องถ่อมาที่นี่อีกเหรอ? ที่ตลาดผีมีทุกอย่างนั้นแหละ ข้าเป็นแม่ทัพภาคตลาดผีนะ จะหาเมิ่งถัวหลัวไม่ได้เชียวเหรอ? คงไม่มีใครไร้เดียงสาถึงขั้นคิดว่าเมิ่งถัวหลัวถูกควบคุมจนไม่เล็ดรอดออกมาหมุนเวียนที่ตลาดเลยหรอกมั้ง? อย่างมากก็แค่ราคาแพงขึ้นก็เท่านั้นเอง ข้าจำเป็นต้องถ่อมาเสี่ยงอันตรายที่นี่เพื่อเก็บเมิ่งถัวหลัวด้วยเหรอ?”

โค่วเจิงได้ยินแล้วแอบพยักหน้า ที่จริงก่อนหน้านี้เขาก็สงสัยอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน รู้สึกว่าสำนักหลัวช่าไม่มีทางยิงธนูโดยไร้เป้า แต่พอได้ยินเหมียวอี้พูดอย่างนี้แล้ว ก็พบว่าไม่มีความจำเป็นนั้นจริงๆ จึงหันกลับมาบอกเม่ยจีว่า “เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ทางที่ดีอย่าพูดซี้ซั้ว”

เม่ยจีเงียบไปครู่หนึ่งเดิมทีก็รู้สึกเช่นกันว่าเหมียวอี้โดนไล่สังหารมา เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกะจิตกะใจถ่อมาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวที่ดาวพิษ ตอนนี้พอได้ยินเหมียวอี้อธิบายแล้ว ก็รู้สึกว่าสอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ปากนางกลับยอมรับตรงๆ ไม่ได้ จึงบุ้ยปากไปทางเหมียวอี้พร้อมบอกว่า  “ถ้าอยากจะพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเองก็ง่ายมาก ค้นตัวสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้แล้ว”

“ค้นตัว? ไม่ใช่ว่าไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้าค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ต้องมีคนรับผิดชอบสักหน่อยรึเปล่า คนของตระกูลโค่วน่ะ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะมาใส่ความก็ใส่ความได้นะ” โค่วเจิงกล่าว

จะไม่ให้สัญญานี้ก็ไม่ได้ เม่ยจีมองเขาพร้อมยิ้มอย่างเป็นกันแน่…

ผลสุดท้ายก็คือ ฝั่งสำนักหลัวช่าไม่ได้ค้นตัวเหมียวอี้ ส่วนโค่วเจิงก็ยอมรับเช่นกันว่าสำนักหลัวช่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเหมียวอี้ นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าไม่โดนกดดันจนหมดทางเลือด โค่วหลิงซวีกับพุทธะหน้าหยกก็ไม่อยากทำเรื่องราวระหว่างกันให้ใหญ่โต

“นี่คือพยาน ทำไมเจ้าถึงฆ่าเขาทิ้งแล้ว?” เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าศพของอวิ่นหมิง โค่วเจิงก็ถ่ายทอดเสียงตำหนิเหมียวอี้

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “ข้ารับปากต่อหน้าฝูงชนแล้ว ว่าขอเพียงเขาสารภาพความจริงออกมา ข้าก็จะทำให้เขาไปสบาย จะพูดจาไม่เป็นคำพูดได้ยังไง ต่อให้มีพยานแล้วยังไงล่ะ เกรงว่าคงจะไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อผลลัพธ์สุดท้าย”

โค่วเจิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วเช่นกัน

เรื่องราวต่อจากนั้นก็เรียบง่ายมาก ส่วนพยานอย่างเมี่ยวฉุน โค่วเจิงก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน ต้องพากลับที่ตำหนักสวรรค์ เพื่อความเที่ยงธรรม ฝั่งแดนสุขาวดีก็ต้องให้คนออกมาเช่นกัน พระโพธิสัตว์หลันเย่ติดตามเดินทางมาด้วยตัวเอง

โค่วเจิงมาอย่างรีบร้อนแล้วก็ไปอย่างรีบร้อน พาเหมียวอี้กลับไปด้วยกันแล้ว ส่วนเรื่องสืบสวนพระอรหันต์ตัวลี่อะไรนั่น แดนพุทธก็ไม่มีทางปล่อยให้ตำหนักสวรรค์ช่วยจัดการแทนเช่นกัน

เรื่องบางเรื่องที่จริงทุกคนก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว ต่างก็รู้ว่าตระกูลอิ๋งบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ไม่มีใครหาหลักฐานได้ เมื่อไม่มีหลักฐานที่เชื่อมโยงได้ว่ามาแทรกแซงฝั่งแดนสุขาวดี ตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางยอมรับ และตระกูลอิ๋งก็ไม่มีทางทิ้งหลักฐานอะไรไว้เช่นกัน

เพียงแต่สำหรับตระกูลโค่วแล้ว เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐาน ขอเพียงยืนยันได้ก็พอแล้ว แค่รอดูว่าตระกูลอิ๋งจะแอบมาแลกเปลี่ยนทำข้อตกลงอะไรกับตระกูลโค่วแล้ว ไม่อย่างนั้นวันพระก็ไม่ได้มีหนเดียว ทีใครทีมัน

นี่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายสำหรับเหมียวอี้ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็จะมีโอกาสไปเที่ยวชมที่เขาหลิงซานแล้ว ตอนนี้จึงทำได้เพียงส่งข่าวไปขออภัยฆราวาสผู่หลัน

ขณะมองส่งคนกลุ่มนี้จากไป เม่ยจีก็แสยะยิ้ม สายตาบังเอิญไปตกอยู่บนตัวชางหงที่ยังถูกมัด แล้วโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ปล่อยนางเถอะ”

ใครจะคิดว่าพอชางหงถูกแก้มัดแล้ว ก็รีบเดินมาคุกเข่าตรงหน้าเม่ยจีทันที แล้วกล่าวเสียงดังว่า “พระโพธิสัตว์ ศิษย์มั่นใจได้ว่าคนที่ล่วงล้ำเข้าดาวพิษคือหนิวโหย่วเต๋อ”

เม่ยจีขมวดคิ้วมองนาง ไม่รู้ว่าศิษย์คนนี้โง่จริงหรือแกล้งโง่ เขาอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว เจ้าจะยังกัดไม่ปล่อยทำไมอีก? ต่อให้ยืนยันได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัวแล้วยังไงล่ะ มีตระกูลโค่วหนุนหลังอยู่ ยังจะลงโทษเขาให้ถึงตายเหมือนคนทั่วไปได้เหรอ อย่างมากก็แค่ลดขั้นเขาสองขั้นเท่านั้น แต่ตอนเลื่อนขั้นเขาก็ยังเร็วกว่าคนทั่วไปอยู่ดี และการไปล่วงเกินตระกูลโค่วก็ไม่ได้ทำให้เราได้ประโยชน์อะไรเลย มีวัดและศิษย์อยู่มากมายอยู่ในอาณาเขตของอีกฝ่าย อีกฝ่ายมีวิธีการยัดข้อหาเจ้าอยู่แล้ว เพื่อให้หนิวโหย่วเต๋อโดนลดขั้นแค่สองขั้น มันคุ้มแล้วเหรอที่เจ้ายอมแลกมากขนาดนั้น?

“เจ้าเห็นกับตาเหรอว่าเขาโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว?” น้ำเสียงของเม่ยจีเคร่งขรึมลง นี่นับว่ากำลังเตือนแล้ว เพราะนางไม่สะดวกจะพูดต่อหน้าฝูงชนว่าอีกฝ่ายมีคนหนุนหลัง พวกเราไม่สะดวกจะไปล่วงเกิน

“เปล่าค่ะ!” ชางหงก้มหน้า

“เอาล่ะ เรื่องนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว” เม่ยจีโบกมือแล้วหันตัวเดินไปทางเตียงเตี้ย

ชางหงพลันเงยหน้าขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนว่า “ต่อให้เขาจะไม่ได้โขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว แต่ศิษย์ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอีกอย่าง ถ้าเขาไม่ได้มาเพื่อโขมยเก็บเมิ่งถัวหลัว เช่นนั้นเขาจะบุกเข้ามาที่ดาวพิษทำไม? พระโพธิสัตว์ ท่านไม่รู้สึกว่ามีลับลมคมในหรือคะ?”

นางรู้สึกเจ็บช้ำเพราะสายตาเหยียดหยามของเหมียวอี้แล้วจริงๆ แต่ความจริงก็เป็นเหมือนกับสายตาเหยียดหยามคู่นั้น เพราะผลสุดท้ายเหมียวอี้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด กลับเป็นนางที่ถูกมัดจนได้รับความอับอายต่อหน้าฝูงชน ตัวเองไม่ผิดแท้ๆ อุตส่าห์มีจิตใจที่ไร้ความเห็นแก่ตัว แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ? แค่เพราะอีกฝ่ายที่อำนาจหนุนหลัง ก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจแล้วเหรอ? นางรู้สึกไม่ยอม นางไม่เชื่อหรอกว่าตัวเองจะโค่นเหมียวอี้ไม่ได้!

ในบางเวลา ตัวละครเล็กๆ ก็สามารถสร้างผกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ โดยเฉพาะตัวละครเล็กๆ ที่ไม่ยอมประนีประนอม

ชางลั่วกับชางอวี่แอบกระวนกระวายแทนชางหง พบว่าศิษย์พี่หงไม่รู้จักแก้ไขนิสัยดื้อดึงเจ้าอารมณ์ของตัวเองเลย จะทำให้ตัวเองมีแผลไปทั้งตัวให้ได้เลยใช่มั้ย?

เม่ยจีพลันหยุดฝีเท้า รู้สึกใจอ่อนกับคำพูดนี้แล้วจริงๆ หันตัวช้าๆ มองไปยังลูกศิษย์น้อยที่กำลังคุกเข่าไม่ยอมลุก แล้วจ้องมองนางพักใหญ่…

ผ่านไปไม่นาน ชางหงที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำใหม่อีกครั้งก็โชคดีได้ติดตามเม่ยจีไปที่ดาวพิษเพียงลำพัง ส่วนเม่ยจีก็สวมชุดสีดำนั่นเช่นกัน

ทั้งสองหยุดอยู่บนท้องฟ้าเหนือซากของสำนักหนานอู๋ ชางหงชี้ซากข้างล่างที่ถูกปัดกวาดออกมา “พระโพธิสัตว์ ท่านดูสิ ตรงนี้คือซากของสำนักหนานอู๋ ทำไมต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นเพื่อปัดกวาดซากออกมาด้วยล่ะ? ไม่ว่าจะคิดยังไง ศิษย์ก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล”

เม่ยจีก็ใช่ว่าจะไม่เคยมาที่นี่ ย่อมรู้ว่าตอนที่ซากนี้ถูกฝุ่นกลบไว้หน้าตาเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำร่องรอยการปัดกวาดใหม่นี้ก็ชัดเจนมาก

นางขมวดคิ้วมุ่น ในดวงตางามเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ คิดไม่ตกเช่นกันว่าการที่เหมียวอี้มาปัดกวาดที่นี่หมายความว่าอะไร จะถ่อมารำลึกอดีตที่สำนักหนานอู๋ทำไม? ไร้สาระเกินไปรึเปล่า! หรือจะเป็นศิษย์ของสำนักหนานอู๋? เป็นไปได้เหรอ?

“เจ้าแน่ใจนะว่าหนิวโหย่วเต๋อเป็นคนปัดกวาดออกมา?” เม่ยจีสงสัย

“ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะโพกผ้าดำ แต่ศิษย์ก็ยังมั่นใจมากว่าเป็นเขาค่ะ” ถึงแม้ชางหงจะไม่แน่ใจว่านี่เป็นฝีมือเหมียวอี้ก็ตาม เพราะนางไม่เห็นว่าใครปัดกวาดที่นี่ แต่นางก็พูดมั่วไปอย่างนั้นแล้ว

“อ้อ!” เม่ยจีจ้องมองข้างล่างครู่หนึ่ง แต่ก็มองเบาะแสอะไรไม่ออกอยู่ดี ยังคิดไม่ตกว่าทำไมเหมียวอี้ต้องทำอย่างนี้ หลังจากผ่านไปพักใหญ่ จู่ๆ นางก็หัวเราะคิกคัก “สงสัยจะมีเงื่อนงำที่ให้คนอื่นรู้ไม่ได้จริงๆ หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ช่างน่าสนใจ…ชางหง!”

“คะ” ชางหงเอ่ยรับ

“นางหนูอย่างเจ้าก็น่าสนใจเหมือนกัน” เม่ยจีหันมามองประเมินนางศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง “เจ้ามาอยู่กับข้าเถอะ ถ้าเจ้าไม่มีความเห็นแย้ง เดี๋ยวกลับไปข้าจะคุยกับอาจารย์เจ้าเอง”

ชางหงอึ้งชั่วขณะ จากนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มมาก เพราะเม่ยจีคืออาจารย์ย่าของนาง ทรัพยากรในมือย่อมมีมากกว่าอาจารย์ของนางอยู่แล้ว สามารถให้อนาคตกับนางแบบที่ท่านอาจารย์ให้ไม่ได้ นางจึงรีบประนมมือทันที “ศิษย์น้อมรับคำสั่งค่ะ!”

เห็นได้ชัดว่าเม่ยจีก็อยากจะทดสอบให้ชัดเจนเช่นกันว่าเหมียวอี้กำลังเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ ไม่นานก็สั่งให้กลุ่มคนที่สวมชุดใยแมงมุมไหมดำค้นหาในบริเวณซากสำนักหนานอู๋เป็นวงกว้าง แม้แต่นางก็ค้นหาเบาะแสด้วยตัวเองแล้ว ไม่ปล่อยผ่านแม้แต่มุมเดียว ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบลึกลงไปใต้ดิน

ทว่าผลการสืบหาทำให้คนผิดหวัง คนกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ค้นหาที่ซากสำนักหนานอู๋เท่านั้น แต่ถึงขั้นค้นหาภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรของซากอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบว่าจุดไหนมีลับลมคมใน ต่อให้เป็นใต้ดินก็ไม่พบร่องรอยทางลับใดๆ เลย

เม่ยจียิ่งสงสัยมากขึ้น ว่าหนิวโหย่วเต๋อคิดจะทำอะไรกันแน่?

หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมาได้สักพัก คนที่ควรจะกลับก็กลับ คนที่ควรจะอยู่ก็อยู่ ภารกิจเก็บรวบรวมเมิ่งถัวหลัวยังคงดำเนินต่อไป

พวกชางลั่วกับชางอวี่ได้อยู่ต่อ แต่กลับแอบมองชางหงที่กำลังส่งต่องานให้พวกนางด้วยความอิจฉา เพราะเมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์มีคำสั่งลงมาแล้ว ว่าตั้งแต่นี้ไปจะให้ชางหงติดตามรับใช้พระโพธิสัตว์เม่ยจี ต่อจากนี้จะส่งต่อภารกิจเก็บสมุนไพรให้ชางลั่วรับผิดชอบ

…………………………