บทที่ 519.3 เรื่องราวบนโลกเกินจะหยั่งเหมือนดั่งสถานการณ์บนกระดานหมากล้อม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หูซินเหวยผู้นี้สมกับเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ ก่อนจะมาถึงศาลา เขาเองก็ยินดีจะคุ้มกันสุยซินอวี่เดินทางด้วยระยะทางยาวไกลเพื่อไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน ขอแค่ไม่มีอันตรายที่ร้ายแรงถึงชีวิต เขาก็ยังคงเป็นจอมยุทธใหญ่หูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งยุทธภพคนนั้น

มีประโยคหนึ่งที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีพูดได้ดี ไม่เจอเป็นตาย ไม่พบวีรบุรุษ แต่หากตายไปแล้วก็ดูเหมือนว่ามันก็มีแค่นั้นเอง

มรสุมที่เกิดขึ้นในศาลา สุยซินอวี่ที่ยังมึนๆ งงๆ หยางหยวนที่มาร่วมแสดงด้วยหนึ่งฉาก เฉาฟู่ที่ตบะสูงที่สุดทว่ากลับมีกลอุบายลึกล้ำที่สุด สามฝ่ายนี้ หากจะพูดถึงชื่อเสียงด้านความชั่วร้าย บางทีอาจจะไม่มีใครเทียบกับหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นได้ แต่ตอนนั้นหยางหยวนกลับยอมปล่อยบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่เพียงแค่เขาดีดนิ้วก็สามารถบดขยี้อีกฝ่ายให้แหลกลาญได้ไป ถึงขั้นรู้สึกว่า ‘เฉินผิงอัน’ คนนั้นพอจะมีปณิธานมีความกล้าหาญอยู่บ้าง และยังมีเหนือกว่าสุยซินอวี่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในสามวงการอย่างวงการขุนนาง วงการนักประพันธ์และวงการหมากล้อม

หูซินเหวยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับยอดฝีมือนอกโลกผู้นี้ บาดแผลนั้นเลือดหยุดไหลแล้ว แต่กลับยังเจ็บปวดอยู่มากจริงๆ

คนผู้นั้นถามชวนคุยโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขา “ผดุงคุณธรรมอยู่ในยุทธภพ หนึ่งหมัดต่อยให้ตัวการชั่วร้ายตาย ส่วนพวกลูกสมุนที่ช่วยคนเลวทำชั่วที่เหลืออยู่ล้วนไม่มีโทษถึงตาย จอมยุทธใหญ่จึงทำการลงโทษไปรอบหนึ่ง ครั้นจึงจากไป พวกคนที่ได้รับความช่วยเหลือพากันโขกหัวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ เจ้าว่าจอมยุทธใหญ่ผู้นั้นสง่างามมากหรือไม่?”

หูซินเหวยหลุดปากตอบไปว่า “สง่างามกะผีน่ะสิ…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หูซินเหวยก็ตบบ้องหูตัวเองหนึ่งทีแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “เรียนเซียนซือ ไม่ถือว่าสง่างามอย่างแท้จริง หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในหนึ่งเมืองหนึ่งแคว้นจริงๆ เมื่อช่วยเหลือคนในท้องที่แล้วก็ยังนับว่าพูดง่าย พวกคนชั่วร้ายที่ตายแล้วก็ตายไป คนที่เหลือที่บาดเจ็บก็บาดเจ็บ เมื่อเคยเผชิญกับความยากลำบากมาก่อนก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่กล้าเกิดความคิดชั่วร้ายต่อคนที่ถูกช่วยเหลืออีกแล้ว แต่หากจอมยุทธใหญ่ผู้นั้นเพียงแค่เดินทางผ่านไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง พอเขาจากไป หนึ่งปีครึ่งปียังดีหน่อย แต่สามปีห้าปี ใครเล่าจะกล้ารับรองว่าพวกคนที่ถูกช่วยเหลือจะไม่มีจุดจบอเนจอนาถมากกว่าเดิม? ไม่แน่ว่าเดิมทีเพียงแค่ลักพาตัวหญิงชาวบ้าน ถึงท้ายที่สุดอาจกลายเป็นคนทั้งตระกูลโดนฆ่า ถ้าเช่นนั้นโศกนาฎกรรมครั้งนี้ สุดท้ายแล้วควรจะโทษใคร จอมยุทธใหญ่คนนั้นได้สร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้หรือไม่? ข้าว่าน่าจะใช่”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “หากเจ้าเป็นจอมยุทธใหญ่คนนั้น จะทำอย่างไร?”

หูซินเหวยเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อทำดีแล้วก็ทำให้ถึงที่สุด ไม่ต้องรีบร้อนจากไป พยายามใคร่ครวญถึงคนชั่วที่เหลืออยู่ซึ่งไม่อาจต่อยให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวเหล่านั้นให้มาก อย่าได้วางมาดเป็นจอมยุทธใหญ่กับทุกเรื่อง คนชั่วจำเป็นต้องให้คนชั่วเหมือนกันมารับมือ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงไม่รู้จักหลาบจำอย่างแท้จริง ต้องให้พวกเขากลัวเข้าไปถึงกระดูก ทางที่ดีที่สุดคือยามดึกดื่นที่นอนหลับก็ยังฝันร้ายจนต้องสะดุ้งตื่น ราวกับว่าทุกครั้งที่ลืมตาขึ้นมาในวันพรุ่งนี้ จอมยุทธใหญ่คนนั้นก็จะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องคนที่ถูกช่วยเหลือได้อย่างแท้จริง”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฟังเจ้าพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องใคร่ครวญหาถ้อยคำใดๆ คงจะเคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน แถมยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียวด้วย?”

หูซินเหวยทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวจริงๆ เขาจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้งแล้วรีบพยักหน้ารับ “ตอนหนุ่มเคยทำเรื่องประเภทนี้มาก่อน ภายหลังมีครอบครัวมีพรรคเป็นของตัวเองก็ไม่ค่อยได้ทำแล้ว หนึ่งเพราะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องน่าหงุดหงิดใจได้มากมายขนาดนั้น นอกจากนี้ยังง่ายที่จะชักนำปัญหาให้มาพัวพันตัวเอง ไม่กล้าพูดว่าทุกที่ในยุทธภพล้วนเป็นน้ำลึก แต่น้ำนั่นกลับขุ่นมากจริงๆ ไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองจะสมปรารถนาได้ทุกครั้ง คำกล่าวที่ว่ามีแค้นสิบปีค่อยชำระก็ยังไม่สาย ไม่ใช่คำกล่าวของคนดีที่ได้รับความอยุติธรรม มีแค้นล้ำลึกดุจมหาสมุทรเลือดเท่านั้น ลูกหลานและสหายของคนชั่วคนเลวก็มีความอดทนมีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน”

คนผู้นั้นพยักหน้ารับ “ถือว่าเจ้าเป็นคนในยุทธภพที่เข้าใจการใช้ชีวิต วันหน้ายามใดที่ต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล หรือสภาพจิตใจวุ่นวายสับสน ยังต้องกดกำราบเจียวชั่วร้าย…ความคิดชั่วร้ายในใจเอาไว้ให้ดี ไม่เกี่ยวกับว่าหลังจากเดือดดาลคลั่งแค้นแล้วจะทำอะไร เพราะถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นอย่างประโยคนั้นที่เจ้าเอ่ย น้ำในยุทธภพลึกอีกทั้งยังขุ่น ถึงอย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อนเป็นดี เจ้าได้ก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นจอมยุทธใหญ่ที่มีกิจการบ้านเรือนไม่เล็กอยู่ในยุทธภพแล้ว อย่าได้ทำให้ทุกอย่างที่เหนื่อยยากมาต้องเสียเปล่า เดือดร้อนคนในครอบครัว ทางที่ดีที่สุดคืออย่าให้ตัวเองจมลงสู่สถานการณ์น่าลำบากใจอันเป็นจุดตัดระหว่างเส้นความดีและความเลว ไม่เกี่ยวข้องกับว่าจิตดั้งเดิมที่แท้จริงนั้นดีหรือเลว แต่นี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่ว่าจะกับทั้งตัวเองหรือกับทั้งผู้อื่น”

หูซินเหวยมีสีหน้าเหลือเชื่อ

ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตนจะต้องตายอีกครั้งหนึ่งแล้ว?

คำพูดประโยคนี้ก็คือข้าวหัวขาดหรือ?(อาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษได้กินก่อนตาย)

คนผู้นั้นโบกมือด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ไปอีกหรือ? ทำไม รังเกียจที่ตัวเองอายุยืน จะต้องอยู่พูดคุยกับข้าที่นี่ให้ได้? หรือรู้สึกว่าฝีมือเล่นหมากล้อมของข้าห่วยแตก เลยอยากจะลองเลียนแบบรองเจ้ากรมผู้เฒ่า ในเมื่อไม่อาจแข่งด้านหมัดได้ ก็เลยอยากจะลองพิฆาตความองอาจของข้าบนกระดานหมากดู?”

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เฉินเซียนซือ ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”

คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ทำไม หรือยังต้องให้ข้าขอร้องเจ้าก่อน เจ้าถึงจะยอมไป?”

หูซินเหวยพูดติดๆ กันว่ามิกล้า หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้วก็วิ่งกะเผลกๆ เผ่นหนีไป

คราวนี้กลับไม่กลัวเจ็บแล้ว

ใช้กระจกส่องตัวเอง ทุกที่กลับเห็นเป็นเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วหันมาเพ่งมองกระดานหมากต่ออีกครั้ง หมากทุกเม็ดล้วนเป็นคนแปลกหน้าอย่างพวกหูซินเหวย

เขารู้สึกว่ามีความหมายไม่มากก็เลยโบกชายแขนเสื้อเก็บมันมา เม็ดหมากขาวดำถูกเก็บใส่ไว้ในโถอย่างง่ายๆ ต่อให้สีจะปนกันก็ไม่เป็นไร จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง โปรยเม็ดหมากที่ก่อนหน้านี้วางไว้บนกระดานในศาลาลงบนกระดานหมากตรงหน้า

เพ่งตามองหมากเหล่านั้น

เอามือหนึ่งเท้าคาง มือหนึ่งโบกพัด

สถานการณ์ในเมืองเล็กบนยอดเขาที่เป็นถิ่นของพรรคเจิงหรง หากไม่พูดถึงระดับความสูงของขอบเขตและระดับความลึกล้ำอันซับซ้อน อันที่จริงก็มีส่วนคล้ายคลึงกับเส้นบางเส้นของบ้านเกิดตน

เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะเก็บเม็ดหมากและอุปกรณ์การเล่นกลับไปใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ ทั้งงอบ ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ต่างถูกเก็บลงไปทั้งหมด เหน็บพัดไว้เรียบร้อยก็เอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้กระบี่บินมาผูกไว้ตรงเอว

เฉินผิงอันเอายันต์แบกศิลาแผ่นหนึ่งแปะลงบนร่างตัวเอง เริ่มอำพรางร่องรอยอีกครั้ง

เรื่องบางอย่างจำเป็นต้องพิสูจน์สักหน่อย

และคำพูดบางอย่าง ก่อนหน้านี้เขาก็ลืมพูดไป

แต่อันที่จริงจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ได้สำคัญเท่าไรนัก คนมากมายบนโลกใบนี้ ยามที่ตัวเองต้องเปลี่ยนจากคนชมเรื่องตลกมากลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นแทน ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก ก็มีแต่จะโทษและเกลียดแค้นวิถีทางโลก ไม่คิดจะโทษตัวเองและหันกลับมาทบทวนตน นานวันเข้า คนบางคนในกลุ่มคนเหล่านี้ บางส่วนก็กัดฟันผ่านพ้นไปได้ รักษาความดีที่เป็นดั่งเมฆเคลื่อนคล้อยเห็นจันทร์กระจ่างเอาไว้ได้ ส่วนบางคนต่อให้เผชิญกับความทุกข์ยากก็ยังไม่รู้ตัว และหากได้มอบความทุกข์ทนให้กับคนอื่นได้ก็จะยิ่งรู้สึกสาแก่ใจ เรียกตัวเองให้น่าฟังว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง บิดามารดาไม่อบรมสั่งสอน เทพเซียนก็ยากจะดัดนิสัยคนเหล่านี้ได้

……

บนเส้นทางชาม้าโบราณที่มุ่งลงสู่ตีนเขา ม้าสี่ตัวของครอบครัวตระกูลสุยเคลื่อนลงจากเขาไปช้าๆ ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง

ยังคงเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ทนไม่ไหว เปิดปากเอ่ยถามขึ้นมาก่อน “ท่านอา เฉาฟู่ผู้นั้นคือคนชั่วที่จิตใจอำมหิต กลุ่มของพวกเจียวแม่น้ำขุ่นหยางหยวนก็เป็นเขาที่จงใจส่งตัวมาแสดงละครให้พวกเราดู ใช่หรือไม่?”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าหัวเราะเสียงเย็น “ถามท่านปู่ของเจ้าดูสิ เขามีฝีมือเล่นหมากล้อมสูงส่ง ความรู้ก็กว้างขวาง มองคนได้แม่นยำ”

ผู้เฒ่าแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที

เด็กสาวคนนั้นก็ยิ่งจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร่างโยกโยนจนเกือบจะพลัดตกหลังม้าไปหลายครั้ง

ถึงอย่างไรสุยซินอวี่ก็เป็นขุนนางบุ๋นที่เคยเป็นรองเจ้ากรมคนหนึ่งมาก่อน เขาพูดกับเด็กหนุ่มเด็กสาวว่า “เหวินฝ่า เหวินอี๋ พวกเจ้าเดินนำไปก่อน ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านอาของเจ้าสักหน่อย”

เด็กหนุ่มเรียกพี่สาวที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่หลายครั้ง แล้วคนทั้งสองก็บังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เดินนำไปด้านหน้า แต่ไม่กล้าควบม้าจากไปไกลเกินนัก รักษาระยะห่างจากม้าสองตัวด้านหลังไว้ประมาณยี่สิบก้าว

ผู้เฒ่าชะลอฝีเท้าม้า จากนั้นก็ขี่ม้ามาเคียงข้างบุตรสาว ขมวดคิ้วถามอย่างเป็นกังวลว่า “ตอนนี้เฉาฟู่คือผู้ฝึกตนบนภูเขาคนหนึ่งแล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นก็ยิ่งเป็นยอดฝีมือระดับสูงที่หูซินเหวยสู้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพที่ศักยภาพพอๆ กับผู้อาวุโสหวังตุ้น วันหน้าจะทำอย่างไรดี? จิ่งเฉิง ข้ารู้ว่าเจ้าโทษที่พ่อแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง มองไม่ออกถึงความคิดชั่วร้ายของเฉาฟู่ แต่หลังจากนี้ตระกูลสุยของพวกเราจะข้ามผ่านด่านยากไปได้อย่างไร นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ตอนนี้เฉาฟู่ย่อมไม่กล้ามาหาเรื่องพวกเรา แต่ระยะทางกลับบ้านเกิดยาวไกลเกือบพันลี้ นอกเสียจากว่าเซียนกระบี่แซ่เฉินคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็ยากที่พวกเราจะรอดชีวิตกลับไปถึงบ้านเกิดได้ คาดว่าแม้แต่เมืองหลวงก็ยังไปไม่ถึง”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าคนที่แสร้งทำตัวเป็นหลานมาตั้งแต่ต้นจนจบผู้นั้น! ตอนอยู่ในศาลาก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีฝีมือ หากเพียงเท่านั้นก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดหลังจากแสดงตัวตนแล้วถึงยังทำอะไรเลอะเลือนแบบนี้อีก ในเมื่อเป็นเซียนกระบี่เหมือนอย่างในนิยาย เหตุใดถึงไม่ฆ่าเฉาฟู่สองคนนั่นไปเสีย ตอนนี้ไม่เท่ากับว่าปล่อยเสือกลับภูให้กลายมาเป็นหายนะในภายหลังหรอกหรือ?!”

ดูเหมือนว่าสุยจิ่งเฉิงจะรู้สึกอัดอั้นหายใจไม่สะดวก นางจึงปลดหมวกม่านลง เผยให้เห็นดวงหน้างามล้ำ สายตาของนางมองตรงไปด้านหน้า ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเลียนแบบรองเจ้ากรมผู้เฒ่าราวกับว่าตัวเองเป็นคนนอกไม่ข้องเกี่ยวกับสถานการณ์ “ตอนอยู่ที่ศาลา พวกเราเห็นคนจะตายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ หากเพียงเท่านั้นก็แล้วไปเถิด ภายหลังไม่ว่าจะอย่างไร คนเขาก็ถือว่าได้ช่วยพวกเราไว้หนึ่งครั้ง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าหันมาโทษที่เขายังทำเรื่องดีได้ไม่ดีพอ แบบนี้ไม่เท่ากับว่ามโนธรรมในใจของลูกหลานตระกูลสุยที่ขนบธรรมเนียมประจำตระกูลเที่ยงตรงมาโดยตลอดถูกสุนัขคาบไปกินหมดแล้วหรอกหรือ?”

ผู้เฒ่าโมโหจนเกือบจะยกแส้โบยม้าฟาดออกไป นังลูกอกตัญญูปากไม่มีหูรูด!

เขากดเสียงลงต่ำ “เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือพวกเราควรจะทำอย่างไรถึงจะหนีพ้นหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวนี่ได้!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็โมโหจนขบฟันกรอดๆ “แล้วตัวเจ้าเองเล่าดีสักแค่ไหน ยังจะมีหน้ามาตำหนิข้าอีกหรือ? หากไม่เป็นเพราะเจ้า ตระกูลสุยของพวกเราจะเจอกับหายนะครั้งนี้ไหม? ยังมีหน้ามาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีพ่ออยู่อีกหรือไร?!”

นึกไม่ถึงว่าสตรีสวมหมวกจะพยักหน้ารับ “ท่านพ่อสั่งสอนได้ถูกต้อง พูดได้มีเหตุผลอย่างยิ่ง”

ผู้เฒ่าอดทนข่มกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ยกแส้ฟาดลงบนร่างของบุตรสาวใจทมิฬอย่างแรง

เด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเห็นภาพนี้เข้าก็รีบหันหน้ากลับไปทันที เด็กสาวยิ่งยกมือขึ้นปิดปาก หลั่งน้ำตาเงียบๆ อยู่กับตัวเอง เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรต่อไป

สุยจิ่งเฉิงกลับไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ายังถือว่าพอจะมีวิชาคาถาปลายแถวอยู่บ้าง หากตีข้าจนบาดเจ็บ บางทีสภาพการณ์ที่ตายเก้ารอดหนึ่งก็อาจเปลี่ยนเป็นสถานการณ์ตายที่ไม่มีทางรอดเหลืออยู่เลย ท่านพ่อ ท่านคือนักเล่นระดับแคว้นที่ยึดครองพื้นที่ในวงการหมากล้อมมาหลายสิบปี หลักการตื้นเขินเพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเข้าใจอยู่บ้างกระมัง?”

ผู้เฒ่ายกมือขึ้นอีกครั้ง เกือบจะใช้แส้ฟาดไปบนใบหน้าของนาง เพียงแต่ว่าลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็เอามือลงอย่างห่อเหี่ยว “ช่างเถิด พากันรอความตายไปเถอะ”

สตรีใช้ความคิดจึงเงียบงันไปครู่หนึ่ง นางกวาดตามองรอบด้าน จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ตั้งสมมติฐานถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือเฉาฟู่สองคนยังไม่ยอมถอดใจ ติดตามพวกเรามาห่างๆ ตอนนี้โอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราก็มีเพียงแค่เดิมพันถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น นั่นคือเซียนกระบี่แซ่เฉินผู้นั้นก็เดินทางไปยังแถบเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงเหมือนกับพวกเรา ก่อนหน้านี้ดูจากเส้นทางการเดินของเขาแล้วก็มีความเป็นไปได้นี้อยู่ แต่ท่านพ่อก็อย่าได้ดีใจเร็วเกินไปนัก ข้ารู้สึกว่าขอแค่เฉาฟู่สองคนไม่ไปปรากฎตัวให้เซียนกระบี่ผู้นั้นเห็น เพียงแค่เล่นงานพวกเราอย่างระมัดระวัง เซียนกระบี่แซ่เฉินก็ไม่มีทางสนใจความเป็นความตายของพวกเรา ช่วยไม่ได้ ในเรื่องนี้ ท่านพ่อมีความผิด ข้าเองก็ไม่ต่างกัน”

นางพูดเยาะเย้ยตัวเองว่า “ไม่เสียทีที่เป็นพ่อลูกกัน บวกกับหลานสาวเด็กดีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นั้นก็สมกับคำว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกันเสียจริง”

ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเดือดดาล “เลิกพูดจาเสียดสีกันสักที! พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้นเหยียบย่ำตัวเองอยู่ดีไม่ใช่หรือ!”

สุยจิ่งเฉิงถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็หาโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้แสร้งดูเหมือนว่าเซียนกระบี่แซ่เฉินติดตามพวกเรามาอย่างลับๆ อีกทั้งยังทำให้พวกเฉาฟู่สองคนเห็นเข้าพอดี จนพวกเขาเกิดคลางแคลงสงสัย ไม่กล้าเดิมพันชีวิตกับพวกเรา”

บนใบหน้าของผู้เฒ่าเริ่มมีรอยยิ้ม “แผนการนี้นับว่ายอดเยี่ยม จิ่งเฉิง พวกเรามาวางแผนกันดีๆ พยายามทำให้ได้รอบคอบรัดกุม เป็นธรรมชาติมากที่สุด”

ทว่าสตรีกลับมีสีหน้าหม่นหมอง “ทว่าต่อให้เฉาฟู่ถูกพวกเราปั่นหัว แต่หากเขาคิดจะคลี่คลายสถานการณ์นี้ อันที่จริงก็ง่ายดายมาก ขนาดข้ายังคิดได้ ข้าก็เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วเฉาฟู่ก็ต้องคิดได้เช่นกัน”

ผู้เฒ่าตกตะลึงระคนหวาดหวั่น ถามอย่างกังขา “หมายความว่าอย่างไร?”

นางยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ก็ให้หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นมาฆ่าพวกเราอีกครั้ง แค่นี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

ใบหน้าผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเศร้าสลด “ข้าช่างมีชะตาชีวิตรันทดนัก!”

อยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้าของนาง หยิบหมวกขึ้นมาสวมอีกครั้ง แล้วหันหน้ามาเอ่ยว่า “อันที่จริงท่านพ่อพูดไม่ผิด ความผิดทั้งหลายล้วนเป็นความผิดของลูก หากไม่เป็นเพราะข้าก็คงไม่มีหายนะมากมายขนาดนี้ บางทีหากในอดีตข้าแต่งงานไปกับบัณฑิตสักคน ป่านนี้ก็คงออกเรือนอยู่ไกลจากบ้านเกิด ช่วยเหลือสามีอบรมบุตร ท่านพ่อเองก็สามารถเดินทางไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนกับหูซินเหวยได้ต่อ บางทีอาจจะยังคงไม่ได้ของตกแต่งเลื่อมร้อยอัญมณีมาครอบครอง แต่ก็จะได้ประลองหมากล้อมกับคนอื่น ถึงเวลานั้นจะได้ซื้อตำราหมากล้อมเล่มใหม่ที่จัดพิมพ์อย่างประณีตกลับมาบ้าน แล้วก็ยังจะส่งไปให้ลูกสาวลูกเขยเล่มสองเล่ม…”

นางสะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ

ผู้เฒ่าเงียบงันไปนาน มีเพียงเสียงถอนหายใจ สุดท้ายก็คลี่ยิ้มเศร้าสร้อย “ช่างเถิด ลูกสาวคนโง่ จะโทษเจ้าไม่ได้ และพ่อก็จะไม่ตำหนิกล่าวโทษอะไรเจ้าอีกแล้ว”

สองพ่อลูกขี่ม้าเดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า

บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างจากเส้นทางชาม้าโบราณไปไกล มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งยืนพิงลำต้น โบกพัดเบาๆ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “เหตุใดถึงได้มีสตรีที่ฉลาดขนาดนี้นะ อีกทั้งโชคในการเดิมพันก็ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด เทียบกับเหยาจิ้นจือแห่งใบถงทวีปแล้วยังมีอุบายลึกล้ำยิ่งกว่า หากได้ขึ้นเขาไปฝึกตนอยู่กับชุยตงซานสักช่วงเวลาหนึ่ง พอลงจากภูเขามา สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะปั่นหัวผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเล่นอยู่ในกำมือหรือไม่? น่าสนใจจริงๆ พอจะถือว่าเป็นหมากสถานการณ์ใหม่ได้อยู่บ้าง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็ค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม พึมพำกับตัวเองว่า “กระดานหมากเป็นกระดานใหม่ แต่ใจคนเล่า?”

—–