บทที่ 844 ความลับของระฆังศักดิ์สิทธ

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

หลินจ้านเผิงรีบเดินเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น และถามว่า “บรรพบุรุษ ท่านจะให้ข้าดูอะไรงั้นเหรอ? ว่าแต่ข้าควรจะเปลี่ยนแซ่ของตระกูกลับไปใช้แซ่เดิมดีไหม?”

“เรื่องแซ่มันเป็นปัญหาของเจ้า ไม่ใช่ปัญหาของข้า เจ้าต้องตัดสินใจเอาเอง!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “อันที่จริงเจ้าเองก็พูดถูกไม่ว่าจะเลือกทางไหนมันก็ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญกับปัญหาอยู่ดี ดังนั้นการที่เจ้าตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางของตระกูลก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลว! เอาล่ะตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปดูความลับที่แท้จริงของหอคอยเสียงสวรรค์เพื่อที่เจ้าจะได้ควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์”

เมื่อได้ยินว่าเขาจะสามารถควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ หลินจ้านเผิงก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิมและถามขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษ หลังจากที่พวกเราควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว พวกเราสามารถใช้มันเพิ่มระดับการบ่มเพาะได้เร็วกว่าเดิมไหม?”

“หากเจ้าคิดว่าหอคอยเสียงสวรรค์มีไว้สำหรับช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจในเต๋าง่ายยิ่งขึ้น ข้าบอกเลยว่าเจ้ากำลังเข้าใจผิด!” หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “พวกเจ้าทั้งหมดเพ้อกันไปเองทั้งนั้น จริง ๆ แล้วสิ่งที่พวกเจ้าสัมผัสก็คืออำนาจของสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมา ซึ่งมันเหนือล้ำกว่าความเข้าใจของพวกเจ้า จนมันทำให้พวกเจ้าได้รับประโยชน์กันทางอ้อม แต่ถ้าหากพวกเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้หรือพวกเจ้าเข้าใจในพลังแห่งกฎของสวรรค์และโลกไปถึงระดับหนึ่ง เจ้าจะไม่ได้รับประโยชน์จากมันอีก”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงเปิดประตูลับของหอคอยเสียงสวรรค์ ซึ่งเชื่อมไปที่แกนกลางของหอคอย

หลินจ้านเผิงรีบตามเข้าไปทันที และสิ่งที่เขาเห็นก็ทำให้เขาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

“ท่านบรรพบุรุษมันคือ…” หลินจ้านเผิงอุทานขึ้น

เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าแท้จริงแล้วหอคอยเสียงสวรรค์จะมีแกนกลางเป็นแบบนี้ และไม่นึกว่าสิ่งที่อยู่ในแกนกลางก็คือระฆังสำริดขนาดยักษ์!

หลิงตู้ฉิงไม่ได้ตอบอะไรกลับ เขาชี้นิ้วไปที่ระฆังและปล่อยสายลมอันรุนแรงใส่มัน

แต่เมื่อเขาสร้างสายลมซัดเข้าใส่ระฆังได้อยู่สักพัก และระฆังก็ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ หลิงตู้ฉิงจึงเดาได้ว่าระฆังนี้กำลังหลับลึกอยู่ เขาจึงเปลี่ยนวิธีการติดต่อกับมันเป็นการใช้ทักษะสวรรค์มหาบงการของตำหนักศาสตราศักดิ์สิทธิ์ เพื่อติดต่อกับมันแทน

ร่างของครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาเพศหญิง ซึ่งดูเหมือนนางน่าจะเป็นเผ่าปีศาจสมุทรจู่ ๆ ก็ปรากฏออกมาจากระฆังและถามขึ้นว่า “นายท่าน? นี่ท่านมาพาข้ากลับไปงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงมองไปที่วิญญาณศาสตราที่โผล่ออกมาจากระฆังศักดิ์สิทธิ์ และถามว่า “หยิงหยิงพูดอะไรกับเจ้าก่อนที่นางจะส่งเจ้ามาที่นี่?”

“หืม? ท่านไม่ใช่นายท่านงั้นเหรอ? โธ่…ข้าก็นึกว่านายท่านจะมาพาข้ากลับไปซะอีก…” วิญญาณศาสตราพูดขึ้นด้วยสีหน้าสลด “ว่าแต่ท่านปลุกข้าขึ้นมาได้ยังไง?”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “ข้ามีวิธีของข้า แต่เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าเจ้านายของเจ้าบอกกับเจ้าว่ายังไงก่อนที่นางจะพาเจ้ามาที่นี่?”

วิญญาณศาสตราตอบกลับด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “เจ้านายของข้าพูดแค่ให้ข้าปกป้องสถานที่แห่งนี้เอาไว้เมื่อมีหายนะใหญ่เกิดขึ้น ว่าแต่หยิงหยิงที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อครู่เป็นใครงั้นเหรอ?”

หลิงตู้ฉิงถามต่อโดยที่เขาไม่สนใจจะตอบคำถามของวิญญาณศาสตรา “เจ้าคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าปีศาจสมุทรใช่ไหม?”

“ถูกต้องแล้ว!” วิญญาณศาสตราพยักหน้าทันที

“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าปีศาจสมุทร ถ้างั้นเจ้าก็จงอยู่คุ้มกันที่นี่ต่อไปอีก 30,000 ปี หลังจากนั้นเจ้าจะได้รับอนุญาตให้กลับไปที่เผ่าของเจ้าได้ แต่ในช่วงเวลา 30,000 ปีนับจากนี้เจ้าต้องคอยดูแลตระกูลหลินให้ดีกว่าเดิม ห้ามนอนหลับอย่างที่แล้วมา ส่วนเผ่าปีศาจสมุทรของเจ้าตอนนี้ข้าได้ถ่ายทอดวิญญาณก้องกังวาลและ ท่วงทำนองทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์ให้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงว่าชีวิตของเขาจะลำบาก” หลิงตู้ฉิงอธิบายกับวิญญาณศาสตราอย่างสั้น ๆ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าก็ไม่มีปัญหา ข้าจะดูแลที่นี่เป็นอย่างดี 30,000 ปีนับจากนี้!” วิญญาณศาสตราตอบกลับด้วยสีหน้าเบิกบาน

สำหรับวิญญาณศาสตราอย่างนาง ระยะเวลา 30,000 ปีนั้นไม่ถือว่ายาวนานอะไรเลย และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนางได้ยินว่าเผ่าของนางได้รับวิญญาณก้องกังวาลและท่วงทำนองทัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางจึงรู้สึกไม่กังวลกับเผ่าของนางเหมือนก่อนหน้านี้

หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาของวิญญาณศาสตราแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงพาหลินจ้านเผิงเดินออกจากแกนกลางของหอคอยเสียงสวรรค์ และพูดว่า “เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าคุยกับวิญญาณศาสตราแล้วใช่ไหม? ข้าให้เวลากับเจ้า 30,000 ปีในการเตรียมตัวให้พร้อม! หากภายใน 30,000 ปีนี้เจ้ายังไม่อาจพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้ทันโลกภายนอกได้ เจ้าก็ต้องโทษตัวเองแล้วหากเกิดเรื่องเลวร้ายกับพวกเจ้าในอนาคต”

“ท่านบรรพบุรุษ สิ่งนั้น…” หลินหงเหวินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ยังคงตกตะลึง

เขายังคงไม่เข้าใจว่าในเมื่อสมบัติชิ้นนี้มันวิเศษมากขนาดนี้ ทำไมหลิงตู้ฉิงถึงไม่สั่งให้มันอยู่ที่นี่ตลอดไป? และเผ่าปีศาจสมุทรมันคือเผ่าอะไรกัน?

เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์คับข้องใจของหลินจ้านเผิง หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและตวาดใส่ทันที “ไอ้ทายาทไม่รักดีนี่ เจ้าคิดว่าคำพูดของข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม? ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าหากหลังจาก 30,000 ปีผ่านไปแล้ว และเจ้ากลับโลภมากพยายามผนึกระฆังนี้ไม่ให้กลับไปที่เผ่าของมันแล้วล่ะก็ พวกเจ้าจะต้องเจอกับหายนะใหญ่แน่นอน!”

“ระฆังนี้คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าปีศาจสมุทร หากว่ามันถูกพวกเจ้าผนึกไว้ที่นี่โดยที่มันไม่เต็มใจและถ้าหากเผ่าปีศาจสมุทรรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ พวกเขาจะยกทัพมาเอาเรื่องเจ้าแน่”

“และเจ้าไม่ต้องคิดว่าจะปิดบังเรื่องระฆังนี้ได้มิด เพราะเมื่อไหร่ที่ตระกูลของเจ้าแข็งแกร่งและโด่งดังขึ้น มันจะต้องมีตัวตนระดับสูงมาเยือนตระกูลของเจ้าในอนาคตแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นตัวตนเหล่านั้นจะรู้ได้ทันทีว่าอะไรอยู่ในหอคอยแห่งนี้ และข่าวเรื่องนี้จะต้องรู้ไปถึงหูของพวกเผ่าปีศาจสมุทรแน่นอน”

หลินจ้านเผิงรีบพยักหน้าทันที “ท่านบรรพบุรุษ ข้าเข้าใจแล้ว!”

หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจแบบที่เจ้าพูดจริง ๆ! เดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดวิธีการควบคุมมหาค่ายกลของหอคอยเสียงสวรรค์ให้กับเจ้าเพื่อที่นับจากนี้เจ้าจะได้สามารถเข้าไปติดต่อกับระฆังศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกเวลา แต่! เจ้าห้ามพยายามที่จะล่อลวงมันให้มันอยู่กับเจ้าเด็ดขาด เพราะมันคือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีเจ้าของแล้ว และทั้งมันเองและเจ้าของของมันจะต้องไม่ชอบใจแน่นอนหากเจ้าพยายามทำเช่นนั้น ซึ่งถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าและเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกแซงเรื่องนี้แน่นอน เพราะข้าถือว่าข้าได้เตือนเจ้าไปหลายรอบแล้ว เจ้าจะต้องแบกรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง!”

เมื่อเขาย้ำเตือนหลินจ้านเผิงเสร็จ เขาก็เริ่มถ่ายทอดวิธีการควบคุมมหาค่ายกลให้กับหลินจ้านเผิงต่อ

หลังจากถ่ายทอดวิธีการควบคุมมหาค่ายกลเสร็จเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “ในเมื่อที่นี่อยู่ในอาณาเขตหนานหัว ถ้างั้นข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณให้กับเจ้าเพื่อให้เจ้านำมันไปพัฒนาตระกูล ซึ่งถ้าเจ้าบ่มเพาะมันไปได้ถึงระดับที่สามารถสร้างเขตแดนสวนบุปผาทักษิณได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะหมายความว่าตระกูลหลินมีความแข็งแกร่งพอที่จะตั้งหลักได้แล้ว และถึงแม้ว่าที่อาณาเขตหนานหัวแห่งนี้จะเล็กและมีทรัพยากรอยู่น้อย แต่เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดีว่าไม่ว่าอนาคตต่อไปเจ้าจะพาตระกูลไปได้ไกลแค่ไหนเจ้าก็ห้ามทิ้งที่นี่เป็นอันขาด เจ้าจำเป็นต้องปกป้องมันเอาไว้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม!”

หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงถ่ายทอดเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณเข้าไปในหัวของหลินจ้านเผิงโดยตรง

“ท่านบรรพบุรุษ…” หลินจ้านเผิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ เพราะเขาสามารถบอกได้เลยว่าเคล็ดวิชาบุปผาทักษิณที่หลิงตู้ฉิงถ่ายทอดมานั้นมันเหนือล้ำกว่าเคล็ดวิชาที่เขาบ่มเพาะอยู่ราวฟ้ากับเหว ซึ่งมันทำให้เขายิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่?

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ดูเหมือนว่าถ้าข้ายังคงให้เจ้าสงสัยเรื่องของข้าต่อไป มันจะมีแต่หายนะต่อตระกูล ดังนั้นเจ้าจงลืมบางส่วนที่ไม่จำเป็นไปซะจะดีกว่า…”

เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ลบความทรงจำบางส่วนที่เกี่ยวกับตัวเขาออกไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นข้อความที่พี่ชายของเขาทิ้งเอาไว้ให้เหลือแค่เพียงเรื่องที่ตระกูลเปลี่ยนแซ่เพียงอย่างเดียวให้กับหลินจ้านเผิงได้รู้

หลังจากถูกลบความทรงจำ หลินจ้านเผิงมองก็หลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง เพราะเขาสัมผัสได้ว่าจู่ ๆ เขาก็ลืมอะไรไปหลายอย่าง แต่เขาบอกไม่ได้ว่าเขาลืมอะไรไปบ้าง แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เขายังสัมผัสอยู่ได้ชัดเจนก็คือ หลิงตู้ฉิงนั้นเป็นตัวตนที่เขาจำเป็นต้องหวั่นเกรงและเป็นบรรพบุรุษของเขา!