บทที่ 520.2 คำตอบอยู่บนไผ่เขียว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ม่านราตรีหนาหนัก บนยอดเขาแห่งหนึ่ง เฉาฟู่ปวดหัวราวกับหัวจะแตก หลังจากค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งขัดสมาธิ ในมือยังถือประคองของสิ่งหนึ่งเอาไว้

ก้มหน้าลงมอง จิตใจของเฉาฟู่ก็เหมือนขี้เถ้ามอด

เงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าบัณฑิตหนุ่มผู้นั้นนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ บนขาวางไม้เท้าเดินป่าพาดเอาไว้ ด้านหลังก็คือหีบไม้ไผ่

สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีหมวกม่านปิดบังดวงหน้างามล้ำก็นั่งอยู่ใกล้กับคนผู้นั้น สองมือของนางกอดเข่า นั่งขดตัวเหม่อลอย

เฉาฟู่ที่ถือประคองศีรษะของเซียวซูเย่ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก

เฉินผิงอันถาม “ไหนลองเล่าเรื่องสำนักของเจ้าและตำหนักเกล็ดทองอย่างละเอียดทีสิ”

เฉาฟู่ไม่มีความลังเลใดๆ เขาบอกความจริงและเรื่องวงในทั้งหมดที่ตัวเองรู้มารัวยาวราวกับเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่

เขาไม่อยากไปเดินอยู่บนเส้นทางน้ำพุเหลืองเป็นเพื่อนเซียวซูเย่

อาจารย์เคยบอกว่าศักยภาพของเซียวซูเย่นั้นหมดสิ้นแล้ว แต่เขาเฉาฟู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะมีคุณสมบัติของโอสถทอง

เฉินผิงอันถามอีก “แล้วไหนเจ้าลองเล่าเรื่องในครอบครัวและเรื่องราวในยุทธภพแคว้นอู่หลิงปีนั้นให้ข้าฟังสิ”

เฉาฟู่ยังคงเล่าทุกอย่างจนหมดเปลือกไม่มีหมกเม็ด

สุยจิ่งเฉิงคืนสติตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉาฟู่เปิดปากเล่าแล้ว นางเพียงรับฟังอยู่เงียบๆ

หลังจากเฉาฟู่เล่าจบ คนผู้นั้นก็กล่าวว่า “เจ้าสามารถพาศีรษะนี้จากไปได้แล้ว หลังจากคุ้มครองรองเจ้ากรมผู้เฒ่ากลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างลับๆ เรียบร้อย เจ้าก็สามารถกลับสำนักไปส่งมอบภารกิจได้เลย”

สุยจิ่งเฉิงทำท่าจะพูดแต่ก็ชะงักไป

คนผู้นั้นไม่ได้มองนาง เพียงแค่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “หากเจ้าอยากจะฆ่าเฉาฟู่ก็ลองลงมือดูเอาเองได้”

เฉาฟู่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ต้องตายจริงๆ เพียงแค่เอาศีรษะนั้นออกมาจากยอดเขาเท่านั้น

พอลงจากเขาก็รู้สึกราวกับอยู่คนละโลก ทว่าพอทำนายดวงชะตาแล้ว อนาคตของเขากลับยากจะหยั่ง เซียนซือหนุ่มที่เดิมทีคิดว่ายุทธภพในแคว้นอู่หลิงก็คือบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่งผู้นี้ยังคงกระวนกระวายไม่เป็นสุข

ข้างกองไฟ

สุยจิ่งเฉิงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส”

คิดจะสังหารเฉาฟู่เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่สำหรับตระกูลสุยแล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

หากทั้งซูเซียวเย่และเฉาฟู่ต่างก็ต้องตายตกตามกันไปในคืนนี้

จะมีคนอีกมากที่ต้องตาย อาจเป็นหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่น หูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ จากนั้นก็ตามมาด้วยคนทั้งตระกูลสุย

แต่หากปล่อยให้เฉาฟู่จากไป ให้เขานำความไปบอกต่อคนที่อยู่เบื้องหลัง เดิมทีนี่ก็คือการสำแดงบารมีอย่างหนึ่งที่เซียนกระบี่ชุดเขียวมีต่ออาจารย์ของเฉาฟู่และตำหนักเกล็ดทอง

เฉินผิงอันดึงท่อนฟืนในกองไฟ “พูดกับคนฉลาดก็มักจะประหยัดแรงกายแรงใจเช่นนี้”

จากนั้นสุยจิ่งเฉิงก็เห็นว่าคนผู้นั้นหยิบกระดานหมากล้อมและโถเก็บเม็ดหมากออกมาจากหีบไม้ไผ่ แต่กลับไม่ได้เล่นหมากล้อมเหมือนตอนอยู่ในศาลา แต่เริ่มบังคับกระบี่บินของเซียนเล่มหนึ่งให้แกะสลักหมากสองเม็ด ดูจากการขยับมือแกะสลักของเขา สุยจิ่งเฉิงก็มองออกว่าเขาแกะสลักเป็นชื่อคนและชื่อสำนักของอาจารย์เฉาฟู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทอง โดยแยกกันสลักไว้บนด้านหน้าและด้านหลังของเม็ดหมาก แล้วก็ตามมาด้วยหมากอีกหลายเม็ด ล้วนเป็นผู้ฝึกตนคนสำคัญของตระกูลเซียนทั้งสองฝ่าย หมากแต่ละเม็ดถูกวางไว้บนกระดาน

สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลังจากที่ได้พบเจอกันในศาลา ผู้อาวุโสก็คอยจับตามองพวกเราอยู่ตลอด ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “โชคในการเสี่ยงดวงของเจ้าดีมาก ทำให้ข้าอิจฉาอย่างยิ่ง”

ทว่าสุยจิ่งเฉิงกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

ดูท่าแล้วอุบายที่ตนคิดว่าลึกล้ำ เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของคนผู้นี้ก็คงน่าขันไม่ต่างจากเด็กเล็กที่ขี่ม้าไม้ไผ่หรือเล่นว่าวกระดาษ

เฉินผิงอันทยอยเอาเม็ดหมากของหมากสองกระดานที่เชื่อมต่อกันวางลงบนขอบของกระดาน

เขาเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ สายตาจ้องมองเม็ดหมากเหล่านั้น แล้วพูดเนิบช้าว่า “ในศาลา เด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าพูดล้อเล่นกับข้าหนึ่งประโยค อันที่จริงมันไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด แต่เจ้าบอกให้เขาขอโทษ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเองก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างมาก จากนั้นสุยเหวินฝ่าก็เอ่ยขออภัยอย่างจริงใจ”

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองสุยจิ่งเฉิง “ข้ารู้สึกว่านี่ก็คือขนบธรรมเนียมประจำตระกูลอย่างหนึ่งที่ตระกูลปัญญาชนสมควรมี ไม่เลวเลยทีเดียว ต่อให้ภายหลังไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำของพ่อเจ้าก็ล้วนผิดต่อสองคำว่า ‘เที่ยงตรง’ อยู่มาก แต่เรื่องไหนก็เรื่องนั้น การแบ่งแยกก่อนหลังเล็กใหญ่มีความต่าง สองฝ่ายไม่ขัดแย้งกันเอง ดังนั้นก่อนที่คนกลุ่มของหยางหยวนจะมาขวางทางพวกเราสองฝ่าย ข้าถึงได้แสร้งทำเป็นรังเกียจว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า ถอยกลับเข้ามาในศาลา เพราะข้ารู้สึกว่าบัณฑิตที่เดินเข้าไปในยุทธภพได้ทำตามคำกล่าวที่ว่าอ่านตำราหมื่นเล่มเดินทางหมื่นลี้ จึงไม่ควรจะถูกขัดขวางทางไปเพราะลมฝนในยุทธภพ”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ ก่อนจะถามอย่างประหลาดใจ “ตอนนั้นผู้อาวุโสก็สัมผัสได้ถึงการมาของเฉาฟู่กับเซียวซูเย่แล้วหรือ? รู้แล้วว่าต้องมีสถานการณ์นี้เกิดขึ้น?”

เฉินผิงอันทอดสายตามองม่านราตรี “รู้มาตั้งนานแล้ว”

สุยจิ่งเฉิงคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน ดวงหน้างดงามหวานล้ำชวนให้คนใจสั่น

ในอดีตเวลาที่นางอ่านนิยายและเรื่องเล่าแปลกประหลาดในยุทธภพกลับไม่เคยเลื่อมใสเซียนที่ขี่กระบี่ดุจสายรุ้ง หรือต่อยให้ตัวการร้ายตายด้วยหมัดเดียวอะไรนั่นมาก่อน คนสองประเภทและเรื่องราวสองอย่างนี้ แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แล้วก็ทำให้คนที่อ่านหนังสืออย่างนางรู้สึกมีความสุข กวาดตาอ่านได้อย่างรวดเร็ว สมควรจะดื่มชาต่างสุราให้กับเรื่องราวเหล่านั้น แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เพราะยังคงมีความแตกต่างจากยอดฝีมือนอกโลกที่ฝึกวิชาเซียน สำเร็จผลบนมหามรรคาในใจนางอยู่มาก

นางรู้สึกว่าผู้ฝึกตนที่แท้จริงจะต้องเข้าใจจิตใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง วางแผนได้อย่างรอบคอบรัดกุม ทั้งอุบายและวิชาคาถาล้วนสูงลึกเข้าไปในทะเลเมฆปานกัน นี่ต่างหากจึงจะเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง เทพเซียนพสุธาที่นั่งสูงอยู่บนทะเลเมฆจริงๆ พวกเขาล้วนสูงส่งเหนือผู้ใด หลุบตามองต่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างเฉยเมย แต่ก็ไม่ถือสาหากยามที่ลงมาเดินท่องในโลกมนุษย์จะหยอกล้อเหล่ามนุษย์เล่น และยังยินดีที่จะลงโทษคนทำชั่วชื่นชมคนทำดี

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “ความฉลาดเฉลียวและโง่เขลาของคนบนโลกล้วนเป็นดั่งกระบี่เล่มหนึ่งที่มีสองคม ขอแค่กระบี่ออกจากฝัก วิถีทางโลกใบนี้ก็จะมีเรื่องดีและเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ดังนั้นข้าอยากจะมองดูอีกสักหน่อย มองดูให้ละเอียด และช้าสักหน่อย คำพูดที่ข้าเอ่ยในคืนนี้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจำเอาไว้ จะได้สะดวกยามที่ต้องนำไปเล่าให้ใครบางคนฟัง ส่วนตัวเจ้าเองจะฟังเข้าใจได้สักกี่มากน้อย และจะคว้าจับเอาไว้ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเองได้มากน้อยเท่าไร ข้าไม่สนใจ ก่อนหน้านี้เคยบอกกับเจ้าแล้วว่าข้าไม่มีทางรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อโลกใบนี้ เหมือนข้ามากเกินไป ข้าไม่คิดว่าตัวเองจะสอนให้เจ้าทำในสิ่งที่ถูกที่สุดได้ ส่วนเรื่องจะให้ถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนอะไรนั่นแก่เจ้า ก็อย่าดีว่า หากเจ้าสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากอุตรกุรุทวีป ได้ไปถึงแจกันสมบัติทวีป ถึงเวลานั้นก็ย่อมมีโชควาสนารอให้เจ้าไปไขว่คว้า”

สุยจิ่งเฉิงเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่าอยู่ข้างกองไฟ “ทุกคำสอนของผู้อาวุโส ทุกประโยคทุกถ้อยคำ จิ่งเฉิงล้วนจะจดจำให้ได้ขึ้นใจ นำปลามามอบให้ไม่สู้สอนวิธีจับปลา หลักการเล็กน้อยแค่นี้ จิ่งเฉิงยังพอจะรู้อยู่บ้าง ผู้อาวุโสถ่ายทอดรากฐานมรรคาให้แก่ข้า นี่สำคัญยิ่งกว่าวิชาตระกูลเซียนใดๆ”

เฉินผิงอันเอามือออกจากชายแขนเสื้อ ชี้ไปยังกระดานหมาก “ในสายตาของข้า บางทีอาจจะไม่มีหลักการเหตุผลตายตัวที่เหมาะให้เอาไปใช้กับทุกสถานการณ์ แต่กลับมีเรื่องจริงและความจริงที่ตายตัว เมื่อเจ้ามองเห็นความจริงของใจคนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูดและการกระทำ รู้ถึงเส้นสายและลำดับขั้นตอนบางอย่างได้อย่างชัดเจนก่อน เรื่องราวที่ซับซ้อนก็จะเปลี่ยนมาเป็นเรียบง่ายยิ่งกว่าเดิม หลักการเหตุผลนั้นอาจจะสูงและเลื่อนลอยเกินไป เจ้ากับข้ามาทบทวนหมากล้อมทั้งสองกระดานนี้ด้วยกันก็พอ”

เฉินผิงอันคีบหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด “ระหว่างความเป็นและความตาย นิสัยใจคอของคนจะมีความชั่วร้ายเลวทรามแฝงอยู่ หวังให้ตัวเองรอดพ้นจากความตาย จึงไม่คิดจะเลือกวิธีการ ข้อนี้พอจะเข้าใจได้ ส่วนจะรับได้หรือไม่ก็ต้องดูที่คน”

เขาวางหมากเม็ดที่หยิบขึ้นมาลงบนกระดานเบาๆ “หูซินเหวยแห่งพรรคเหิงตู้เลือกความเลวในช่วงเวลานั้น ดังนั้นเขาที่เดินท่องอยู่ในยุทธภพต้องรับผิดชอบความเป็นความตายด้วยตัวเอง เมื่อมาอยู่กับข้าอาจไม่ถูกต้องเสมอไป แต่บนกระดานหมากในเวลานั้น เขาที่หวังจะรอดพ้นจากความตายกลับทำได้สำเร็จแล้ว เพราะเขาไม่เหมือนกับเจ้าสุยจิ่งเฉิง ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยเดาออกว่าข้าเองก็เป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง อีกทั้งยังกล้าลอบมองสถานการณ์อย่างลับๆ”

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยถาม “หากเขาสาบานว่าจะปกป้องพวกเราสี่คนตระกูลสุยจนตัวตาย ผู้อาวุโสจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ถ้าอย่างนั้นแคว้นอู่หลิงก็น่าจะยังมีจอมยุทธใหญ่ที่แท้จริงคนนี้ต่อไป ได้ท่องอยู่ในยุทธภพต่อไป หลังจากคลื่นลมมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว หากจอมยุทธใหญ่ผู้นี้ยังยินดีจะเลี้ยงเหล้าข้า ข้าจะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก”

เฉินผิงอันชี้ไปยังหมากสองเม็ดที่ไม่ได้ถูกวางลงบนกระดาน “อาศัยว่าเขาเฉาฟู่คือเซียนซือบนภูเขาคนหนึ่ง หรืออาศัยว่าเซียวซูเย่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง? คิดว่าลงจากเขามาแล้วยุทธภพในทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นแค่บ่อน้ำเท่านั้นหรือ? เอาเท้าก้าวลงไปก็สามารถมองทะลุไปเห็นก้นบ่อได้แล้ว? อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดข้าที่ระมัดระวังขนาดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ยังต้องกินเรือกลืนกระบี่ไปหนึ่งรอบ ถูกคนหมายแย่งชิงกระบี่บินที่ชายหาดโครงกระดูก แล้วก็ยังเกือบจะต้องตายอยู่ในยุทธภพแคว้นจินเฟยและยอดเขาเจิงหรง เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่ายุทธภพอันตราย ไม่ว่าดีหรือเลว ในเมื่อคอยหลบเลี่ยงหายนะอย่างระมัดระวังแล้วก็ยังอาจจะต้องตายได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเองรนหาที่ตายเองเลย ต้องตายแน่นอน หากเซียวซูเย่จะโทษก็ได้แต่โทษที่คอของตัวเองไม่แข็งพอ ไม่อาจต้านรับกระบี่ของคนอื่นที่ฟันลงมาได้”

เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบเม็ดหมากเม็ดนั้นไว้ “แต่หูซินเหวยไม่ได้เลือกจะเป็นจอมยุทธที่ผดุงคุณธรรม กลับกันคือยังบังเกิดความคิดชั่วร้าย นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ ข้าไม่คิดจะฆ่าเขาด้วยสาเหตุนี้ แต่จะปล่อยให้เขาเป็นตายไปตามยถากรรม สุดท้ายเขาเดิมพันจนช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งมาได้ เพราะฉะนั้นหากไม่พูดถึงข้า ในช่วงเวลานั้นก็ถือว่าหูซินเหวยเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนชาม้าโบราณหลังจากนั้นก็อย่าไปพูดถึงมันเลย นั่นคือหมากถามใจอีกกระดานหนึ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า”

เฉินผิงอันวางเม็ดหมากสี่เม็ดที่เป็นของคนตระกูลสุยสี่คนลงไปบนกระดาน “ข้ารู้มาแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าคือคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์หมากล้อม เฉาฟู่คือคนเล่น แต่ภายหลังเรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเองก็คือหนึ่งในเม็ดหมากเหมือนกัน อาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังเขากับตำหนักเกล็ดทองต่างหากที่ถึงจะเป็นเจ้าของหมากล้อมกระดานนี้ที่แท้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงฝ่ายหลัง เอาแค่ตอนนั้น เวลานั้น เบื้องหน้าข้าก็มีปัญหายากอยู่ข้อหนึ่ง ปมของปัญหาอยู่ที่ข้าไม่รู้ว่าเจตจำนงแรกเริ่มในการวางกับดักครั้งนี้ของเฉาฟู่คืออะไร นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร เส้นบรรทัดฐานความดีเลวของเขาอยู่ตรงไหน แล้วเขามีบุญคุณความแค้นอะไรกับตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรตระกูลสุยก็เป็นตระกูลปัญญาชน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่เคยทำความผิดใหญ่หลวงมาก่อน ยากจะหยั่งถึงเจตนาแท้จริงของเฉาฟู่ การที่เขาปรากฏตัวอย่างลึกลับ อีกทั้งยังรวบรวมคนอย่างพวกหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นให้มาเข้าร่วมสถานการณ์ครั้งนี้ด้วย แน่นอนว่าการกระทำของเขาไม่ถือว่าตรงไปตรงมา แต่ว่า ก็อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องร้ายเสมอไปเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ฆ่าใครทันทีที่ปรากฏตัว ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ตอนนั้นข้าแน่ใจได้อย่างไรว่าสำหรับเจ้าสุยจิ่งเฉิงและตระกูลสุยแล้วจะไม่ใช่เรื่องดีที่เหตุการณ์เกิดพลิกผันไปในทางที่ดี ทุกคนพากันปิติยินดีถ้วนหน้า?”

 สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับเบาๆ

เฉินผิงอันโน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นนิ้วไปดันหมากที่สลักชื่อว่าสุยซินอวี่ “คนแรกที่ทำให้ข้าผิดหวัง ไม่ใช่หูซินเหวย แต่เป็นพ่อของเจ้า”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ? เจอกับหายนะใหญ่ยากจะเอาตัวรอดจึงไม่กล้าช่วยคนอื่น หากเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพทั่วไปที่รู้สึกผิดหวัง ข้าคงไม่แปลกใจ แต่ด้วยนิสัยของผู้อาวุโส…”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้พูดต่อด้วยกลัวว่าจะเป็นการวาดงูเติมขา

เฉินผิงอันดึงมือกลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกหลานคนมีเงินไม่นั่งใกล้ชายคา วิญญูชนไม่ยืนอยู่ใต้กำแพงอันตราย คำกล่าวเหล่านี้ย่อมต้องมีเหตุผล สุยซินอวี่ที่อยู่ในศาลาไม่เอ่ยอะไรสักคำ คือการกระทำของคนที่เยือกเย็นสุขุม ความผิดไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่ข้าถามเจ้า สุยซินอวี่พ่อของเจ้าเป็นใคร?”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม บิดาของนาง? เจ้าประมุขสกุลสุย? บุคคลอันดับหนึ่งแห่งวงการหมากล้อมแคว้นอู่หลิง? อดีตรองเจ้ากรมโยธาธิการของหนึ่งแคว้น? แล้วแสงสว่างก็พลันเปล่งวาบขึ้นในหัวของสุยจิ่งเฉิง นึกถึงการแต่งกายก่อนหน้านี้ของผู้อาวุโสตรงหน้าขึ้นมาได้ นางก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “คือนักประพันธ์ใหญ่แห่งแคว้นอู่หลิงที่มีบทกวีอยู่เต็มท้อง คือ…บัณฑิต…ที่เข้าใจหลักการอริยะปราชญ์มากมาย”

เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องจริงที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ตอนนั้นหูซินเหวยไม่ได้บอกถึงสถานะของฝ่ายตรงข้ามให้พวกเจ้ารู้ ไม่ได้บอกว่าในคนกลุ่มนั้นมีหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นที่ชื่อเสียงดุร้ายเลื่องลืออยู่ด้วย ดังนั้นความจริงข้อหนึ่งสำหรับสุยซินอวี่ในเวลานั้นก็คือ สถานการณ์ในศาลาไม่ใช่สถานการณ์ที่จะตัดสินเป็นตาย แต่เป็นแค่สถานการณ์ที่ค่อนข้างจะยุ่งยากเท่านั้น ในแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของหูซินเหวยเจ้าประมุขพรรคเหิงตู้ ข้ามน้ำข้ามภูเขาไป ยังมีประโยชน์หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างอับอาย “แน่นอนว่ามีประโยชน์ ตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าเป็นเพียงเรื่องทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพทั่วไป ดังนั้นกับผู้อาวุโสแล้ว อันที่จริงตอนนั้นข้า…มีใจคิดอยากจะหยั่งเชิง ก็เลยจงใจไม่พูดว่าจะให้ยืมเงิน”

เฉินผิงอันเอ่ย “เพราะหูซินเหวยกลัวว่าจะชักนำภัยมาสู่ตัวจึงไม่ยอมเปิดเผยตัวตนของหยางหยวน การแสดงออกภายนอกสุขุมมีสติ และคำเตือนที่มีต่อพวกเจ้าก็ทำได้อย่างพอเหมาะพอควร นี่ก็คือประสบการณ์โชกโชนที่คนเก่าแก่ในยุทธภพสมควรมี เป็นสิ่งที่ใช้ชีวิตแลกเปลี่ยนมา ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงมองรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแวบหนึ่ง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าเห็นว่าข้าไม่ได้เปิดปากขอยืมเงินก็ทำท่าโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก นี่ไม่นับเป็นอะไร เพราะยังคงเป็นความรู้สึกทั่วไปของคน แต่ว่า สุยซินอวี่คือบัณฑิตคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตที่เคยมีสถานะสูงส่ง ใช้ความรู้ของอริยะปราชญ์ที่ได้ร่ำเรียนมาตอบแทนบ้านเมืองช่วยเหลือปวงประชา…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือออกมา เขางอนิ้วเข้าหากันเบาๆ แต่กลับไม่ได้ประกบโดนกัน ทำเหมือนว่าระหว่างนิ้วทั้งสองคีบเม็ดหมากอยู่เม็ดหนึ่ง “อริยะเคยกล่าวว่า มีความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สามารถนำมาเป็นตัวแบ่งแยกความต่างระหว่างมนุษย์และสัตว์ เจ้าคิดว่าตอนนั้นสุยอวี่ซิน พ่อของเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจหรือไม่ สักนิด สักเสี้ยว? เจ้าเป็นลูกสาวของเขา ขอแค่ไม่ใช่เงาใต้โคมไฟ ก็น่าจะรู้จักนิสัยของเขาดียิ่งกว่าข้า”

สุยจิ่งเฉิงส่ายหน้า ยิ้มขื่นเอ่ยว่า “ไม่มี”

สีหน้าของนางแสดงความเสียใจ พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ไม่มีเลยจริงๆ”

“ดังนั้นถึงได้บอกว่าคนคนหนึ่งเดินอยู่บนเส้นทางอย่างเชื่องช้า การดูให้มากและคิดให้มากล้วนเป็นกระบี่สองคมมาโดยตลอด มองดูคนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์มากไป สุดท้ายก็มีเพียงเท่านั้นเอง”

ทว่าคนผู้นั้นกลับมีสีหน้าเป็นปกติราวกับว่าเห็นมาจนชินตาแล้ว เขาเงยหน้ามองไปยังทิศไกล เอ่ยเบาๆ ว่า “ระหว่างความเป็นความตาย ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่านอกจากอยากให้ตัวเองมีชีวิตรอดแล้ว จู่ๆ ความชั่วร้ายที่เล็กเท่าเมล็ดงาจะขยายใหญ่ดุจขุนเขา นี่เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าคนบางส่วน อาจจะไม่ได้มีมากนัก ทว่าจะต้องมีคนจำพวกนั้นอยู่ คนที่แม้จะรู้ดีว่าเป็นช่วงเวลาคับขันที่ต้องตายอย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ยังจะเป็นดั่งแสงดวงดาวที่พลันจุดติดไฟลุกโชนขึ้นมา”

“ตอนที่อยู่ในศาลาและบนเส้นทางหลังจากนั้น ข้ามองดูอยู่และรอคอยอยู่ตลอดเวลา”

“ขอแค่ข้าหาไฟดวงหนึ่งที่ดับลงแล้วเจอ ต่อให้จะเป็นแค่แสงสว่างที่น้อยนิด ถูกคนใช้นิ้วขยี้ก็มอดดับได้แล้วก็ตาม”

“ต่อให้ในสายตาของข้าแสงสว่างในนิสัยคนที่เป็นเช่นนี้จะเป็นเพียงแค่แสงไฟจุดเล็กๆ จุดหนึ่ง ทว่ามันกลับสามารถประชันแสงกับตะวันจันทราได้”

—–