ตอนที่ 682 นัยตาสีม่วงของจีเฉวียน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ลูกแก้วจำนวนมากมายปรากฏขึ้นมา ตอนแรกยังกระจัดกระจายแต่เพียงพริบตาสั้นๆก็รวมตัวกันกลายเป็นกำแพงน้ำแข็งแผ่นหนา 

 

 

กำแพงน้ำแข็งสีดำที่หนาถึงสิบแปดชั้นโอบล้อมพวกนางเอาไว้ สกัดกั้นเงาดาบของตี้เสียเอาไว้ได้จนหมดสิ้น 

 

 

พระหัตถ์ของตี้เสียกุมดาบอาทิตย์เทพเอาไว้ ทุกสิ่งที่พาดผ่านแม้แต่ความว่างเปล่าก็ยังลุกเป็นไฟ 

 

 

ตอนนี้ พระองค์ทรงลืมไปแล้วว่าเดิมทีที่ข้างกายของพระองค์เคยมีฮว๋ายยู่อยู่ผู้หนึ่ง 

 

 

สีทองของนัยตามีละอองเลือดปะปน พระหัตถ์ที่กุมดาบอาทิตย์เทพมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา 

 

 

พระองค์บุกเข้ามาหาจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันทีละก้าวๆ แม้ว่าจะมีกำแพงสีหมึกสิบแปดชั้นขวางอยู่ แต่ด้วยพลังที่แข็งแกร่งเกินธรรมดาของพระองค์ ก็ทำให้ทรงทอดพระเนตรเห็น ว่ากริยาที่คนทั้งสองในกำแพงน้ำแข็ง กำลังอิงแอบแนบชิดกันเช่นไร 

 

 

ดาบนับสิบเล่มที่พุ่งลงมา เพียงทำให้แผ่นน้ำแข็งด้านนอกสุดเกิดรอยขีดข่วนเท่านั้น ไม่แม้แต่จะแตกร้าว 

 

 

ตี้เสียทรงยกดาบขึ้นสูงฟาดลงไปอย่างรุนแรงโดยไม่มีความลังเล 

 

 

ได้ยินเสียงกรีดแหลมดังขึ้นอย่างกึกก้อง เป็นเสียงของโลหะกระทบกัน พลังของเสียงนั้นยังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงคำรามของสัตว์อสูรเสียอีก เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็พากันอุดหู พวกเขาคืบคลานขึ้นมาจากบนพื้น ถอยออกไปจนห่างจากพื้นที่อันตรายแห่งนี้ 

 

 

แม้แต่ดาบอาทิตย์เทพก็ยังถูกเทียนตี้ทรงเรียกออกมาแล้ว แสดงว่าพระองค์ประสงค์จะสังหารคนทั้งสองด้วยพระองค์เองให้จงได้ พวกเขาสมควรจะห่วงตนเองให้มากดีกว่า 

 

 

ใช่แล้ว ไม่มีผู้ใดคิดว่าตี้เสียจะทรงพ่ายแพ้ 

 

 

พระองค์คือเทียนตี้ คือผู้ที่สู่งส่งที่สุดในหกภพภูมิ แม้แต่ประมุขวังของเผ่ามังกรทมิฬเยี่ยจ้าน และราชันย์แห่งภพภูติหมิงอ๋องก็ยังเคยพ่ายแพ้ในเงื้อพระหัตถ์มาแล้ว 

 

 

สองคนนั้น คือบุคคลเพียงสองคนในหกภพภูมิที่มีพละกำลังพอจะต่อกรกับพระองค์ได้ ขนาดพวกเขายังแพ้พ่ายให้กับเทียนตี้ไปแล้ว แล้วนางมารผู้นี้กับบุรุษที่อยู่ในหมอกสีดำนั่นจะเป็นอะไรได้? 

 

 

ต่อให้พวกนางแข็งแกร่งกว่านี้ หรือยังจะแข็งแกร่งกว่าเยี่ยจ้านและหมิงอ๋องอีกหรือ? 

 

 

คราวนี้ เงาดาบสีทองที่พุ่งลงมามีอยู่นับร้อยเล่ม ทันทีที่แสงสีทองทลวงลงมา กำแพงน้ำแข็งสีหมึกก็แตกราวลงไปในพริบตา 

 

 

พอชั้นแรกพังลงไป อีกห้าชั้นก็แตกออกในรวดเดียว 

 

 

ยามที่เงาดาบของดาบเทพร่วงหล่นลงมา กำแพงน้ำแข็งหมอกดำก็ที่หลงเหลืออยู่ต่างก็เกิดเสียงดังซี่ๆขึ้นมา ราวกับว่าพวกมันถูกหลอมจนระเหย กลายเป็นหมอกชื้นๆสีดำลอยขึ้นมา 

 

 

พอเหล่าเทพเห็นแล้ว ในส่วนลึกของแววตาพวกเขาก็ผุดยิ้มเย็นชาขึ้นมา 

 

 

บุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัวก็จริง แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษตัวหนึ่งเท่านั้น ที่จริงแล้วมิได้มีความสามารถยิ่งใหญ่อันใด 

 

 

เมื่อต้องเผชิญกับพลังของจักรพรรดิสวรรค์ ก็ได้แต่วิงวอนขอความเมตตาเท่านั้น 

 

 

พวกเขากำลังรอดู รออีกครู่เดียวก็จะได้เห็นคนทั้งสองตกตายอย่างไร้ที่กลบฝัง 

 

 

ใจกลางของกำแพงน้ำแข็ง จีเฉวียนโอบกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น 

 

 

ร่างกายของเขาอบอุ่น บนเส้นผมและเสื้อผ้าปรากฏเกล็ดสีดำขึ้นมา ในดวงตาหงส์คู่นั้นสะท้อนภาพเงาดาบที่พุ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่นอกจากความเยือกเย็นอย่างที่สุดแล้วก็ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นใดๆ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย นิ่งฟังเสียงหัวใจเต้นที่ดังออกมาจากในทรวงอกของเขา ในใจของนางก็สงบลง 

 

 

พอเห็นว่ากำแพงน้ำแข็งตรงหน้ากำลังพังลงมา ก็เห็นเขาปลดแถบผ้ารัดผมสีม่วงลงมา พันลงบนดวงตาของนางอย่างเบามือ 

 

 

“ซิงซิง กอดข้าให้แน่นๆ อย่าได้มองดูสิ่งใดทั้งสิ้น” 

 

 

เมื่อพูดกับตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงของเขายังคงนุ่มนวลอยู่เสมอ ราวกับหยกอุ่นที่ซึมลงในหัวใจ 

 

 

“เช่นนั้นก็ต้องกอดให้เต็มที่เลย!” ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ถอดผ้าผูกผมสีม่วงออก ตอนนี้นางกลายเป็นปลาหมึกที่เกาะติดหนึบกับร่างของจีเฉวียนไปแล้ว 

 

 

นางกลายเป็นตัวตะกละตะกลามที่กระหายไออุ่นของเขา กลิ่นอายของเขา แม้แต่ลมหายใจของเขาก็ยังต้องการ 

 

 

อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้น ไม่มีน้ำหนักอันใด 

 

 

แต่ว่าจีเฉวียนนั้นต่างกับนาง เขาบุกมายังแดนสวรรค์ด้วยร่างจริง ความอหังการเช่นนี้ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่อาจเทียบได้ 

 

 

ในเมื่อเข้าสามารถบุกขึ้นมาได้ด้วยร่างแท้จริงของตนเอง ย่อมต้องแข็งแกร่งจนถึงขั้นเหนือล้ำไปแล้ว! 

 

 

เขาสืบทอดพละกำลังและความทรงจำของท่านอาจารย์…. ว่ากันตามเหตุผลแล้ว จีเฉวียนในยามนี้ ก็คือหมิงอ๋องโดยสมบูรณ์….. 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังแข็งแกร่งกว่าหมิงอ๋องในตอนนั้นเสียอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเชื่อในตัวเขา 

 

 

จีเฉวียนก้มศีรษะลงมา จูบลงบนเส้นผมของนางครั้งหนึ่ง 

 

 

“ความตายกรายมาถึงศีรษะ ยังจะกล้าพรอดรักกันอยู่อีกหรือ?” ตี้เสียทรงควงดาบอาทิตย์เทพมาถึงพร้อมกับไอสังหาร แม้แต่กำแพงน้ำแข็งชั้นสุดท้ายก็ยังถูกเขาทำลายจนแตกกระจายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว พอมาถึงก็เห็นจีเฉวียนกำลังจูบตู๋กูซิงหลันพอดี 

 

 

ความเกลียดชังยิ่งทวีขึ้นจนแทบจะพุ่งเข้าไปสังหารคนทั้งสองให้ตกตายไปในทันที 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็กวัดแกว่งดาบอาทิตย์เทพขึ้นมาอีกครั้ง ปลายดาบชี้เข้าทรวงอกของจีเฉวียน 

 

 

จีเฉวียนขยับกายเล็กน้อย ให้ตนเองเข้าใกล้ดาบของเขามากกว่าเดิม และให้ตู๋กูซิงหลันถอยห่างออกไปอีกนิด 

 

 

ตี้เสียทอดพระเนตรเห็นแล้ว ก็แทบจะอาเจียนออกมา พระองค์สะอิดเอียนจนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! 

 

 

ผูกพันกันนักหรือ? 

 

 

ซีเหอในยุคบรรพกาล แน่นอนว่าจะต้องแข็งแกร่ง แต่ถึงแม้ว่าเขาในตอนนั้นจะกลับมาแล้ว ตี้เสียก็ไม่ทรงรู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างไร 

 

 

พระองค์ได้ฝึกฝนและสร้างตบะมานานกว่าซีเหอตั้งหลายแสนปี ดูดซับไอทิพย์ในแดนสวรรค์ตลอดทั้งวันทั้งคืน พลังตบะของพระองค์เหนือกว่ากาลก่อนมากแล้ว 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ อย่างมาเขาก็เป็นเพียงแค่ซีเหอที่กลับชาติมาเกิดใหม่เท่านั้น 

 

 

ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้พิณสุริยันต์จันทราได้ แต่ก็ไม่อาจทำให้มันสำแดงพลังจนถึงขีดสุด 

 

 

หากต่อสู้กับพระองค์อย่างจริงจัง คนผู้นี้ย่อมมิใช่คู่มือของพระองค์อยู่แล้ว 

 

 

………………………. 

 

 

ไกลออกไป ฮว๋ายยู่หรี่ดวงตาลง พอได้เห็นร่างที่เปี่ยมไปด้วยแสงทองระยิบระยับของตี้เสีย นางก็เกิดความภาคภูมิใจจนเปี่ยมล้มจากภายในออกมา 

 

 

ใช่แล้ว ไยนางจึงไม่เชื่อมั่นในองค์ตี้เสีย? 

 

 

พระองค์คือบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในหกภพภูมินะ! 

 

 

สองคนนั้น ก็เป็นเพียงแค่พวกจำอวดเท่านั้น ตี้เสียมีหรือจะไม่อาจสังหารพวกเขา? 

 

 

สิ่งที่นางสมควรกระทำ ก็คือการเชื่อใจพระองค์อย่างปราศจากข้อแม้ใดๆ 

 

 

ซือเป่ยยืนอยู่ด้านข้าง พอมองเห็นประกายในดวงเนตรของนาง ก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอย่าพึ่งด่วนดีใจไป” 

 

 

ฮว๋ายยู่หันไปถลึงเนตรใส่เขาครั้งหนึ่ง “เจ้าหุบปากเสีย!” 

 

 

………………. 

 

 

ยามนี้ ตี้เสียทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสูง ในดวงเนตรที่ทอพระเนตรออกไปอย่างเหียดหยาม ปรากฏไอสังหารสีแดงที่ดูโหดเหี้ยม 

 

 

พระองค์ยกดาบขึ้นมาอย่างไร้ความลังเล หมอกสีดำรอบกายของจีเฉวียนถูกแผดเผาจนส่งเสียงดังซี่ๆออกมา 

 

 

แสงสว่างอันเจิดจ้าของดาบอาทิตย์เทพ อาบไล้ลงไปบนดวงหน้าของจีเฉวียน ดวงหน้าที่งดงามและเรียบละมุนดุจเนื้อหยกโบราณ ตอนนี้มองเห็นได้อย่างแจ่มชัดและงดงามจนไร้ที่เปรียบ 

 

 

โดยเฉพาะดวงเนตรหงส์ที่งดงามคู่นั้นยิ่งสะท้อนแสงเพลิงจนเป็นประกาย 

 

 

ทั้งหมดนี้ ล้วนประจักษ์ต่อสายตาของทวยเทพทั้งหลาย 

 

 

ก่อนหน้านี้ร่างของเขาถูกกำบังอยู่ใต้หมอกสีดำ พวกตนจึงไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ยามนี้เมื่อมองไป ต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว 

 

 

เทียนตี้ทรงเป็นบุรุษที่งามสง่าที่สุดในแดนสวรรค์ เรื่องนี้ย่อมไม่ต้องมีข้อสงสัยอยู่แล้ว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ พอได้เห็นรูปลักษณ์ของจีเฉวียนอย่างแจ่ม พวกเขาก็ต้องเบิกตาโตขึ้นมา 

 

 

บุรุษผู้นี้ …..มีรูปโฉมที่มิได้เป็นรองต่อเทียนตี้เลย 

 

 

ไม่สิ ไม่เหมือนกัน 

 

 

บุรุษผู้นี้ ยังสูงสง่างามและละเมียดละไมยิ่งกว่า 

 

 

ขณะที่เหล่าเทพต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตะลึงอยู่นั้น ก็เห็นว่ามีหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของจีเฉวียน ดวงตาหงส์คู่นั้นเย็นยะเยือกดุจฤดูหนาวที่เสียดกระดูก 

 

 

ในพริบตานั้น บนข้างแก้มของเขา ก็ปรากฏลวดลายสีดำที่แปลกประหลาดขึ้นมา 

 

 

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง ในดวงตาหงส์ที่มีแต่ความดำทะมึน ตรงจุดกึ่งกลางปรากฏแสงสว่างสีม่วงขึ้นมา 

 

 

ทันใดนั้นเอง รอบกายของเขาก็สะท้อนคลื่นพลังที่รุนแรงเหลือประมาณออกมา คลื่นพลังนี้พอกระทบถูกร่างของตี้เสียก็เหมือนถูกภูเขาขนาดใหญ่นับพันลูกถล่มเข้าใส่ 

 

 

เห็นอยู่ว่าดาบของตี้เสียกำลังจะแทงเข้าไปในร่างของเขา แต่แล้วกลับถูกพลังระเบิดเข้าใส่อย่างไม่อาจป้องกันจนกระเด็นออกไป 

 

 

พริบตานั้นตี้เสียทรงกระเด็นจนลอยหลุดออกไป และที่กระเด็นออกไปพร้อมๆกับพระองค์ก็คือเศษหินและเศษวัตถุจำนวนมหาศาลที่หลุดล่วงไปจากแดนสวรรค์ 

 

 

………………………