บทที่ 1643 งานเลี้ยงที่พระตำหนักอุทยาน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่ออยู่ภายในโอกาสและสถานที่แบบนี้ พวกเขาเชื่อว่าคนอื่นไม่กล้าก่อเรื่อง แต่กับเหมียวอี้คนนี้ เขาไม่มีความเชื่อใจเลยจริงๆ เพราะมีตัวอย่างบทเรียนให้เห็นมาก่อนแล้ว ถ้าจะบอกว่าในโลกนี้มีใครกล้าก่อเรื่องในงานมงคลของราชันสวรรค์ ก็เป็นท่านนี้แน่นอน!

อีกสามคนบนโต๊ะสบตากันอย่างพูดไม่ออก ทั้งสามมีฐานะเหมือนเหมียวอี้ ล้วนเป็นเขยของตระกูลโค่ว แต่กลับเป็นเขยแท้ๆ ฮูหยินของพวกเขาล้วนเป็นลูกสาวแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ไม่ใช่แค่ลูกสาวบุญธรรมอย่างอวิ๋นจือชิว

รุ่นที่สองของตระกูลโค่ว ถ้านับรวมอวิ๋นจือชิวด้วย ก็เรียงลำดับพี่น้องได้เป็น โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน โค่วอิง โค่วเชี่ยน โค่วอวี้ อวิ๋นจือชิว

เฉียนลู่แต่งงานกับโค่วอิง ชูเจี้ยนแต่งงานกับโค่วเชี่ยน เซิงมู่เสวี่ยแต่งงานกับโค่วอวี้

ตอนนี้เฉียนลู่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ ส่วนชูเจี้ยนเดิมทีก็เป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวี หลังจากแต่งงานกับโค่วเชี่ยนแล้ว ก็ค่อยๆ กลายเป็นตัวละครที่ทำหน้าที่พิทักษ์ตระกูลโค่วอย่างทุกวันนี้ และเป็นคนเดียวของเขยตระกูลโค่วที่ได้พักอาศัยอยู่ในตระกูลโค่วโดยไม่ได้แยกบ้าน เรียกได้ว่ากุมอำนาจมหาศาลในการเฝ้าประตูและปกป้องคนในบ้านของตระกูลโค่วเอาไว้ ส่วนเซิงมู่เสวี่ยก็เนื่องจากบิดาเป็นลูกน้องคนสนิทของโค่วหลิงซวีมาตั้งแต่ปีแรกๆ แล้วรบตายในศึกใหญ่เพื่อช่วยชีวิตโค่วหลิงซวีเอาไว้ ทว่าเซิงมู่เสวี่ยมีความสามารถค่อนข้างอ่อนด้อย โค่วหลิงซวีอยากจะสนับสนุนอย่างไรก็สนับสนุนลำบาก แต่เห็นแก่บุญคุณของบิดาอีกฝ่าย จึงมอบโค่วอวี้ลูกสาวคนสุดท้องให้แต่งงานกับเขา นับว่าได้ตอบแทนบุญคุณที่บิดาได้ช่วยชีวิตแล้ว ได้รับประกันเกียรติยศความร่ำรวยของเซิงมู่เสวี่ยไปทั้งชีวิต นับว่าเป็นการให้คำอธิบายแก่บิดาของเขารวมทั้งบรรดาลูกน้องที่อุทิศตนรับใช้

ไม่ว่าความสามารถของเซิงมู่เสวี่ยจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะเป็นแค่ตำแหน่งที่ว่างงาน ในมือไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่ก็ยังมียศสูง มียศเดียวกับเฉียนลู่และชูเจี้ยน ตอนนี้อยู่ในระดับแม่ทัพใหญ่เกราะแดงแล้ว ในบรรดาลูกเขยพวกนี้ จะว่าไปแล้วเหมียวอี้ก็ยังมียศต่ำสุด

ทั้งสามทยอยกันลุกขึ้นมา เฉียนลู่กับชูเจี้ยนไปเกลี้ยกล่อมเหมียวอี้ มีเพียงเซิงมู่เสวี่ยที่เดินไปข้างกายโค่วเหวินไป๋ที่กำลังมีสีหน้าย่ำแย่ แต่ตบบ่าเขาพร้อมเตือนสติว่า “เหวินไป๋ อย่าเข้าใจผิดนะ อาเขยของเจ้าไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งเจ้า เขาพุ่งเป้าไปที่คนนั้น นั่น…” บุ้ยปากไปทางตระกูลอิ๋ง “อิ๋งหยาง!”

เซิงมู่เสวี่ยเป็นคนอ่อนโยนประจำตระกูลโค่ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีความกังวลทุกข์ร้อนใดๆ ทั้งนั้น ทำตัวอิสระเสรีไปวันๆ ไม่ไปล่วงเกินใครทั้งนั้น ไม่แย่งชิงอะไรกับใครด้วย ถึงขั้นควบคุมให้ลูกสาวลูกชายตัวเองใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยม สรุปก็คือฝั่งเขาแน่วแน่ที่จะไม่เข้าไปยุ่งกับการแข่งขันอย่างลับๆ ระหว่างลูกหลานตระกูลโค่ว ไม่ยืนอยู่ฝ่ายไหนทั้งนั้น มีท่าทีอย่างนี้มาตลอด ไม่ล่วงเกินฝ่ายไหน รักษามิตรภาพกับทุกฝ่ายเอาไว้ตลอด เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็ไม่มีใครมาดึงเขาไปเป็นพวก สำหรับคนอ่อนโยนคนนี้ ในตระกูลโค่วไม่ว่าใครจะมีเรื่องดีๆ อะไรก็จะไม่ลืมเขา อย่างไรเสียโค่วอวี้ฮูหยินของเขาก็ยังเป็นลูกสาวของโค่วหลิงซวี

พอได้ฟังเขาอธิบายอย่างนี้ โค่วเหวินไป๋ก็มองปี่ฝั่งตระกูลอิ๋ง ทำให้เข้าใจทันที เพราะเขาก็ได้ยินเรื่องที่แดนสุขาวดีมาเหมือนดัน ท่าทางจะไม่ได้กลั่นแกล้งตนจริงๆ ด้วย แต่เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ รีบถามเสียงต่ำว่า “อาเขย เขาคงจะไม่ก่อเรื่องในงานนี้หรอกใช่มั้ย?”

เซิงมู่เสวี่ยส่งสายตาที่สื่อความหมายลึกซึ้งให้เขา ราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ’ จากนั้นหันตัวเดินไปทางเหมียวอี้ ไปช่วยเกลี้ยกล่อมตามกระแส

โค่วเหวินไป๋อกสั่นขวัญแขวน เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อนว่าอาเขยจอมเอาเปรียบคนนี้เป็นคนอย่างไร เป็นคนที่กล้าก่อเรื่องในพิธีรับสนมของราชันสวรรค์ กล้าตบหน้าอิ๋งจิ่วกวงต่อหน้าฝูงชน มีหรือที่จะกลัวลูกหลานของตระกูลอิ๋ง

ภายใต้การเกลี้ยกล่อมซ้ำๆ ของทุกคน เหมียวอี้บอกว่า “พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่เชื่อใจข้าขนาดนี้ งั้นก็ไปด้วยกันกับข้าเลยสิ ถ้าข้าก่อเรื่องเมื่อไร พวกท่านจะได้ห้ามทันที”

ทุกคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วโค่วฉินก็ขมวดคิ้วบอกว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ก่อเรื่อง ทำไมเจ้าจะต้องไปดื่มสุราคารวะกับเขาให้อึดอัดด้วย?”

“ข้าก็แค่เห็นเขาสนุกสนานเกินไป อยากจะเข้าไปขัดจังหวะเขาก็เท่านั้นเอง” เหมียวอี้กล่าว

เขาพูดความจริงสุดๆ แล้ว อีกฝ่ายแทบจะเล่นงานจนเขาตาย แต่กลับยังดื่มสุราอย่างสนุกสนานอยู่ทางนั้น ถ้ามองไม่เห็นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเห็นแล้วจะให้แกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ยากหน่อย เขาเข้าตระกูลโค่วมาเพื่ออะไรล่ะ? ถ้าเข้าตระกูลโค่วมาแล้วยังต้องทนรับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้ เขาก็รู้สึกผิดกับตัวเองเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงอยากจะเข้าไปหาสักหน่อย…ทางที่ดีต้องทำให้อีกฝ่ายก่อเรื่องเอง

ทว่านี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พวกโค่วเจิงไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้าไปในเวลานี้ ถ้าคนของตระกูลโค่วไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่ในเมื่ออยู่ตรงนี้แล้วยังปล่อยให้เหมียวอี้ก่อเรื่อง กลับไปก็จะแก้ตัวกับท่านพ่อไม่ไหว

โค่วเจิงก็ยิ่งแอบถ่ายทอดเสียงบอกอิ๋งอู๋หม่านที่อยู่ฝั่งตระกูลอิ๋ง “ให้ลูกชายเจ้าหลบไปหน่อย เดี๋ยวต่อไปเกิดเรื่องขึ้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ”

สี่อ๋องสวรรค์เท่าเทียมกันมาก แต่ละคนจะมีลูกชายสามลูกสาวสาม ลูกชายสามคนของอิ๋งจิ่วกวงมีอิ๋งอู๋หม่าน อิ๋งอู๋เชวีย อิ๋งอู๋เฟย

อิ๋งอู๋หม่านก็คือลูกชายคนโตของตระกูลอิ๋ง พอได้ยินก็หันกลับมามอง พอเห็นคนของตระกูลโค่วกำลังขวางเหมียวอี้อยู่ทางนั้น ก็เข้าใจทันทีว่าโค่วเจิงหมายถึงอะไร จึงถ่ายทอดเสียงเย้ยว่า “ขู่ข้าเหรอ? นึกว่าตระกูลอิ๋งของข้ากลัวตระกูลโค่วของเจ้ารึไง?”

“ขู่เจ้าเหรอ?” โค่วเจิงพ่นเสียงทางจมูก ขี้คร้านจะพูดกับเขาแล้ว จึงหันตัวมาคว้าข้อมือเหมียวอี้ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะมีข้ออ้างเหลวไหลอะไร ลากกลับมาโดยตรง

เมื่อได้เห็นฉากนี้ ในใจอิ๋งอู๋หม่านก็รู้สึกหนักหน่วงเล็กน้อย เขาไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาหรอก เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ท่าทีของตระกูลโค่ว การปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งนั่นต่างหากที่ทำให้ตระกูลอิ๋งกังวลที่สุด ต่อไปก็ยังไม่รู้เลยว่าตระกูลโค่วจะลงมือกับลูกหลานคนไหนของตระกูลอิ๋ง ตระกูลอิ๋งทำได้ ตระกูลโค่วก็ทำได้เหมือนกัน อาจจะพุ่งเป้ามาที่อิ๋งหยางเป็นพิเศษก็ได้

“อิ๋งหยาง เจ้าออกจากงานเลี้ยงไปก่อน กลับจวนไปก่อน” สุดท้ายอิ๋งอู๋หม่านก็ถ่ายทอดเสียงบอกลูกชายที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่ง

เมื่อเห็นเหมียวอี้กำลังจ้องอิ๋งหยาง เขาก็ไม่อยากให้อิ๋งหยางกับเหมียวอี้เจอกัน ไม่ใช่เพราะกลัวเหมียวอี้ แต่ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้ ต่อให้มีเหตุผลแก้ตัวที่ฟังขึ้น แต่ก็ยังเป็นการไม่ไว้หน้าราชันสวรรค์ ราชินีสวรรค์และตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ดี ตามหลักแล้วคนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในโอกาสและสถานที่แบบนี้หรอก แต่หนิวโหย่วเต๋อนั่นเหลวไหลเกินไปจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู้นี้มีตระกูลโค่วขวางอยู่ ดีไม่ดีก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วก็ได้

ที่เขาให้อิ๋งหยางกลับไป ก็เพราะวันนี้ยังต้องใช้เวลาที่อุทยานหลวงอีกนาน เขากังวลว่าเหมียวอี้จะจับตาดูอิ๋งหยางไม่เลิก ถ้าต่อไปเหมียวอี้ได้มาเจอกับอิ๋งหยางอีก ในงานมงคลที่ยิ่งใหญ่จนได้รับอภัยโทษทั้งแผ่นดินก็จะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีเลย หลบคนบ้าอย่างเหมียวอี้ไว้หน่อยจะดีกว่า

ในบรรดาทหารยามที่เฝ้าอยู่บนบันไดนอกตำหนัก มีคนมองลงมาสังเกตความเคลื่อนไว้ของคนในงานเลี้ยง ความเคลื่อนไหวของคนตระกูลโค่วอยู่ในสายตาของเขา และข้อมูลก็ป้อนกลับไปที่หูของซ่างกวนชิงอย่างรวดเร็ว

ในตำหนัก ระหว่างที่งานเลี้ยงดำเนินไป สี่อ๋องสวรรค์ก็หาข้ออ้างทยอยกันไปในตำหนักด้านข้าง

ประมุขชิงที่นั่งอยู่เบื้องสูงชำเลืองมองที่นั่งข้างล่างที่ขาดคน ซ่างกวนชิงเข้ามาถ่ายทอดเสียงข้างหูทันที บอกความเคลื่อนไหวข้างนอกให้ประมุขชิงรู้

ประมุขชิงแอบทำเสียงฮึดฮัด “อยากจะก่อเรื่องในงานมงคลของข้าอีกแล้ว เจ้าลูกลิงนั่นเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง? ทางตระกูลอิ๋งไม่ได้แอบมาเจรจาประนีประนอมกับตระกูลโค่วเชียวเหรอ?”

ซ่างกวนชิงตอบว่า “ไม่รู้ว่ารายละเอียดเป็นยังไง แต่มีเรื่องบางเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ ช่วงนี้ตระกูลอิ๋งควบคุมดูลูกหลานแบบเข้มงวดมาก ลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่ค่อยออกนอกบ้านเลย”

“อ้อ!” ประมุขชิงรู้สึกบันเทิงทันที “สงสัยครั้งนี้ตระกูลโค่วจะไม่อยากเมตตาแล้ว ตระกูลอิ๋งเริ่มกลัวแล้วล่ะ”

ซ่างกวนชิงบอกว่า “บ่าวก็สงสัยอย่างนี้เช่นกัน เป็นตระกูลอิ๋งที่หาเรื่องใส่ตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อมีเรื่องกับคนไปทั่วขนาดนั้น ถ้าทำเรื่องนี้อย่างสะอาดเรียบร้อย ก็เกรงว่าคงจะตัดสินได้ยากว่าใครเป็นคนลงมือ แต่ตระกูลอิ๋งดันทำงานไม่เรียบร้อย เปิดโปงตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้งนี้คงจะทำตระกูลโค่วเดือดดาลแล้วจริงๆ”

พอกวาดมองที่นั่งวางของสี่อ๋องสวรรค์แวบหนึ่ง ประมุขชิงก็แสยะยิ้ม “น่าสนใจดีนี่ กลัวก็แต่สุนัขจะกัดกับสุนัขไม่ไหว”

ในตำหนักด้านข้าง สี่อ๋องสวรรค์กำลังล้อมอยู่รอบอ่างน้ำ ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงอยู่ตรงข้ามกัน อิ๋งจิ่วกวงกับโค่วหลิงซวีอยู่ตรงข้ามกัน

ในบรรดาสี่คนนี้ มีเพียงโค่วหลิงซวีที่วางสองมือลงในอ่างน้ำที่มีกลีบดอกไม้โปรยแล้วล้างมืออย่างสบายๆ อิ๋งจิ่วกวงที่จ้องอยู่ตรงข้ามเขาเหมือนจะแค้นจนกัดฟันกรอด เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวสุขุมนุ่มลึกอะไร

“ตาแก่โค่ว ทะเลาะกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีกับใคร คนที่ได้ประโยชน์มีแต่ท่านที่นั่งอยู่ข้างใน ถึงยังไงหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่เป็นอะไร เห็นอะไรดีๆ ก็รับไว้เถอะ” ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวโน้มน้าว

โค่วหลิงซวียิ้มเรียบๆ “ดูพูดเข้าสิ ซูกวงกวงบอกว่าตระกูลอิ๋งไม่ได้ทำไม่ใช่เหรอ ข้ารับไว้แล้ว เหมือนข้าจะไม่ได้ทำอะไรตระกูลอิ๋งนี่นา? พวกเจ้ามาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรกัน”

“พอแล้ว อยู่ต่อหน้าคนชัดเจนไม่พูดอะไรคลุมเครือ เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ต้องถูกลงโทษ” ก่วงลิ่งกงกล่าว

เพื่อที่สี่อ๋องสวรรค์จะได้รักษาผลประโยชน์ในระดับนี้ของพวกเขาเอาไว้ เมื่อระหว่างพวกเขาเผชิญกับเรื่องที่ประนีประนอมกันกันลำบาก ก็จะดึงคนที่เหลือมาช่วยประสานงานให้ หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม จะให้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายจริงๆ ไม่ไหวหรอก นอกเสียจากจะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างถึงที่สุด หมดสิทธิ์ในการเจรจาต่อรอง ทำได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าแกงเท่านั้นแหละ ดังนั้นระหว่างทั้งสี่จึงมีทั้งการแข่งขันและความร่วมมือกัน

หลังจากตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแน่งนั้นไปแล้ว อิ๋งจิ่วกวงก็เกิดปัญหายุ่งยากแล้ว จึงถือโอกาสบอกให้ฮ่าวเต๋อฟางและก่วงลิ่งกงรู้

ที่จริงระหว่างสี่อ๋องสวรรค์นั้นพยายามหลีกเลี่ยงไม่ลงมือกับคนในครอบครัวของกันและกัน นอกเสียจากจะโดนกดดันจนหมดทางเลือก ไม่อย่างนั้นถ้าโต้ตอบกันไปโต้ตอบกันมา ผู้ที่สูญเสียก็จะมีแต่ครอบครัวพวกเขาเอง

โค่วหลิงซวีแสยะยิ้ม “โดนปรับเหรอ? เดี๋ยวต่อไปข้าโดนปรับด้วยก็สิ้นเรื่องแล้ว”

อิ๋งจิ่วกวงข่มไฟโกรธเอาไว้ เรากล่าวเสียงต่ำว่า “อย่าพูดเลวร้ายนักเลย ก็เสนอราคามาเถอะ”

เรื่องนี้ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ ทำเอาลูกหลานของตระกูลอิ๋งไม่กล้าออกจากบ้านนั้นเป็นเรื่องเล็ก เฉพาะสิ่งนี้ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ ว่าจิ่วกวงจ่ายค่าปรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนาดลูกหลานในบ้านตัวเองปกป้องไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่คนนอกเลย แล้วจะให้ลูกหลานในบ้านมองเขาอย่างไร?

โค่วหลิงซวีเงยหน้า “ข้าไม่ต้องการค่าชดเชยจากเจ้า ก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”

อิ๋งจิ่วกวงบอกว่า “ตาแก่โค่ว ค่ะแนะนำว่าเจ้าอย่าทำเกินไปนัก หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่ผู้ชายของลูกสาวแท้ๆ ของเจ้าสักหน่อย อาศัยวรยุทธ์และฐานะของเขา ข้ายอมมอบตำแหน่งหัวหน้าภาคให้สองตำแหน่ง ก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว แถมเจ้านั่นก็ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด รอดชีวิตกลับมาแล้ว เจ้าคิดจะเอายังไงอีก?”

“ซูกวงกวง เราจะหาเรื่องให้ได้เลยใช่ไหม?” โค่วหลิงซวีถาม

อิ๋งจิ่วกวงเดือดดาลแล้ว ชี้โค่วหลิงซวีที่อยู่ตรงข้าม พลางถามสองคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “พวกเจ้าดูสิ ไม่ใช่ข้าที่ไม่เล่นตามกติกานะ เป็นเขาที่ตอแยไม่เลิก เรื่องนี้เจรจากันไม่ไหวแล้ว ได้ ไม่ยอมหยุดใช่ไหม ได้ ข้าก็อยากจะดูว่าใครจะกลัวใคร อย่างมากก็แค่แหลกลาญไปพร้อมกัน!”

ฮ่าวเต๋อฟางกับก่วงลิ่งกงสบตากันแวบนึง  แล้วก็พยักหน้าเบาๆ ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ทุกคนถอยคนละก้าว ซูกวงกวงให้ตำแหน่งหัวหน้าภาคสามตำแหน่ง แล้วตาแก่โค่วก็หยุดตรงนี้ เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปแล้ว เป็นยังไง?”

ก่วงลิ่งกงบอกว่า “ข้าคิดว่าได้นะ แล้วพวกเจ้าสองคนคิดว่ายังไง?”

อิ๋งจิ่วกวงแสยะยิ้ม “ครั้งนี้ข้ายอม!” นับว่าตกลงแล้ว

“เขาบอกแล้วไง ข้าไม่ต้องการอะไรชดเชย” ใครจะคิดว่าโค่วหลิงซวีกลับกล่าวยังเย็นชา

ทำให้อีกสามคนสีหน้าเปลี่ยนทันที ฮ่าวเต๋อฟางกล่าวเสียงต่ำว่า “ตาแก่โค่ว ก็หมายความว่า เจ้าดึงดันที่จะเปิดศึกให้ได้เลยใช่ไหม?”

โค่วหลิงซวีส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเปิดศึก แต่ตระกูลอิ๋งลงมือสังหารหนิวโหย่วเต๋อครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้ข้าจะอยากปลอบใจ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรแล้ว เขาเปิดเผยต่อหน้าข้าเลย ว่าเขาไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการแค่หัวของอิ๋งหยาง!”

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่มีวิธีการควบคุมเขา” ก่วงลิ่งกงกล่าว

โค่วหลิงซวีก้มหน้าล้างมือต่อไป “ถึงแม้ข้าจะรับปากเขา แต่ก็มีอยู่เรื่องนึงที่ข้าเปิดเผยให้เขารู้ไปแล้ว ตระกูลโค่วไม่มีทางลงมือกับลูกหลานของตระกูลอิ๋ง ถ้าเขาอยากได้หัวของอิ๋งหยาง ก็ให้ไปจัดการเอาเอง ข้าทำถึงขั้นนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่พอใจอีก?”

“พวกเราหายหน้าไปตลอดงาน จะดูเหลวไหลเกินไป” จู่ๆ ฮ่าวเต๋อฟางก็บอกแบบนี้ ก่อนจะเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว

“อย่าให้ฝ่าบาทรอนานจะดีกว่า” ก่วงลิ่งกงกล่าวกลัวหัวเราะ แล้วหันตัวเดินออกไปเช่นกัน

โค่วหลิงซวียกมือสองข้างที่เปียกน้ำ สะบัดละอองน้ำใส่หน้าอิ๋งจิ่วกวง “ถ้ามีครั้งหน้า ถ้าไม่เกรงใจแล้วนะ!” พูดจบแล้วก็เดินออกไป

ข้างหน้าอิ๋งจิ่วกวงมีลำแสงปรากฏออกมา สกัดละอองน้ำไว้กลางอากาศ พอลำแสงหายไป เสาน้ำต้นหนึ่งก็ตกลงในอ่างน้ำ แทนที่เขาจะต่อว่าการกระทำที่ไร้มารยาทของโค่วหลิงซวี กลับถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปเช่นกัน…

งานเลี้ยงข้างนอกดำเนินไปได้ครึ่งทาง ตอนที่เหมียวอี้ที่ออกจากวงสุราของรุ่นเล็กแล้วมองไปทางตระกูลอิ๋ง ก็พบว่าอิ๋งหยางไม่อยู่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน เขาจะหาข้ออ้างออกจากโต๊ะไปเช่นกัน

“พี่ใหญ่ เขา…” โค่วฉินบอกใบ้

คนอื่นๆ ก็ปวดประสาทเช่นกัน แต่ใครจะคิดว่าโค่วเจิงกลับส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ต้องไปสนใจเหมียวอี้ เพราะเขาสังเกตเห็นตั้งนานแล้วว่าอิ๋งหยางไม่อยู่ ออกจากงานไปก่อนเวลา ถ้าอิ๋งอู๋หม่านไม่ป้องกันไว้ก่อนก็แปลกแล้ว

เขาเดาไว้ไม่ผิด เหมียวอี้เอาแต่คิดถึงอิ๋งหยางไม่เลิกจริงๆ แต่เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่ ถ้าก่อเรื่องในเวลานี้อีก เกรงว่าตัวเองคงจะไม่โชคดีได้ไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนครั้งก่อนแล้ว จาบจ้วงเดชานุภาพสวรรค์ต่อเนื่องกันแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ช่วยเขาไม่ได้แล้ว

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางก่อเรื่อง จะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปหาอิ๋งหยาง ให้อิ๋งหยางเป็นฝ่ายก่อเรื่องเอง ดูว่าจะวางกับดักให้อิ๋งหยางตายได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เป็นเพราะเขารู้อยู่แก่ใจ ว่าถ้าพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ถ้าครั้งหน้าอยากจะลงมือกับอิ๋งหยางอีก ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นแล้ว ตระกูลโค่วปฏิเสธตำแหน่งหัวหน้าภาคสองตำแหน่งงั้นไปแล้ว ถือว่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น ต่อไปนี้การคุ้มครองข้างกายอิ๋งหยางจะต้องแน่นหนา ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแตะต้องก็แตะต้องได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพลาดโอกาสครั้งนี้

ทว่าเดินหาไปรอบๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเงาอิ๋งหยาง ถึงแม้วันนี้พระตำหนักอุทยานจะเปิดสถานที่รับแขกมากมาย แต่บางสถานที่เขาก็เข้าไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักใหญ่ที่ใช้รับรองแขกของประมุขชิง คาดว่าอิ๋งหยางก็เข้าไปหลบข้างในไม่ได้เช่นกัน ที่สวนด้านหลังราชินีสวรรค์ก็มีไว้รองรับสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้หญิง ทั้งยังมีสนมของวังหลังอยู่เยอะมาก ไม่มีทางปล่อยให้แขกผู้ชายเข้าไป

หาอิ๋งหยางไม่เจอ แต่กลับเดินเนิบนาบอยู่ในศาลาที่อยู่ระหว่างน้ำพุของสวนชมทิวทัศน์ กลางน้ำมีภูเขาจำลองที่เกิดขึ้นจากหยกขาวธรรมชาติ มีหงส์เฟิ่งหวงขนสีรุ้งตัวหนึ่งที่นอนขดอยู่บนนั้น

เหมียวอี้เดินออกมาจากตึกศาลา เดินช้าๆ อยู่บนแท่นลอยริมสระน้ำ เขาหยุดยืนอยู่บนริมแท่นลอยที่อยู่ห่างจากภูเขาจำลองเพียงสองจั้ง แล้วเงยหน้ามองหงส์รุ้งที่นอนสงบนิ่งอยู่บนภูเขาจำลองลูกนั้น

ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด บนภูเขาหยกมีหงส์สีรุ้ง คนที่อยู่ใต้ศาลามองกันผ่านน้ำกัน อีกฝ่ายอยู่ที่สูง อีกฝ่ายอยู่ข้างล่าง เป็นฉากที่เหมือนภาพวาด

เหมียวอี้ที่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแอบมองประเมินไปรอบๆ รอจนกลุ่มเทพธิดาทยอยกันเดินออกไปจากสวนแล้ว เหมียวอี้ที่กำลังเหลียวซ้ายแลขวาก็พลันพลิกมือแล้วกำหมัด ในมือเขากุมของบางอย่างเอาไว้ หมัดของเขาที่กำไว้แน่นมีระลอกคลื่นสีฟ้าลอยขึ้นมาจางๆ

…………………………