ตอนที่ 2192

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,192 : มรสุมเริ่มตั้งเค้า..

 

เมื่ออาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬเริ่มออกตัวเรื่องนี้

 

ทั่วทั้งลัทธิอารามทมิฬก็เสมือนถูกปลุกเร้าอารมณ์เดือดแค้น เหล่าศิษย์ทั้งหลายเริ่มลุกฮือขึ้นมาเรียกร้องโวยวาย ยากจะระงับอารมณ์กันได้สืบไป…

 

สุดท้ายก็ทำให้จ้าวอารามถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้!

 

ผู้นำของลัทธิอารามทมิฬหรือจ้าวอารามนั้น เป็นชายชราร่างผอม ตอนนี้มันที่อยู่ในชุดดำสนิท ได้มายืนตัวตรงด้วยสีหน้าที่ซีดเซียวราวกับผีดิบในห้องโถงใหญ่หลังหนึ่ง รูปลักษณ์ของมัน มองแล้วพาลให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ทั้งอึมครึมอย่างไรไม่ทราบ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดสีดำสนิทที่มันสวมใส่นั้น ยังมีการปักลายหัวกระโหลกด้วยด้ายสีเลือด แลแล้วให้ความรู้สึกน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก!

 

เรียกว่ามองผ่านแวบแรก จ้าวอารามผู้นี้ดูไม่คล้ายผู้คน!

 

และตอนนี้มันก็กำลังเผชิญหน้ากับ มหาธรรมราชา 2 คนที่เหลืออยู่ของลัทธิ ป้องมือประสานไว้เบื้องหน้า กล่าววาจาออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ

 

“ท่านมหาธรรมราชาทั้ง 2…หากพวกเรามิเร่งหาทางออกเรื่องนี้ ข้ากลัวว่าผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์สาวกจะไม่ยอมเลิกรา”

 

“นอกจากนี้กล่าวไปที่พวกมันเรียกร้องก็ถูก ในเมื่อต้วนหลิงเทียนนั่นมันย้อนกลับไปลัทธิบูชาไฟแล้ว หากลัทธิอารามทมิฬของพวกเราไม่ทำอะไรเลย ไม่เพียงแต่พวกเราจะทำให้เหล่าอาวุโสรวมถึงเหล่าศิษย์ตีตัวออกห่าง กระทั่งยังทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเอาได้!”

 

จ้าวอารามที่กล่าวรายงานเรื่องราวด้วยทีท่ากริ่งเกรงในตอนแรก พอกล่าวถึงกลางประโยคแววตาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นแหลมคมดุร้าย เอาเรื่องขึ้นมาไม่น้อย!

 

เห็นได้ชัดจากจุดนี้ ว่าจ้าวอารามผู้นี้ก็เคียดแค้นต้วนหลิงเทียนเข้าไส้เช่นกัน!

 

อันที่จริงเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว เซี่ยคังฉวิน ที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายก็คือ จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชา ที่เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิอารามทมิฬ!

 

เมื่อ 3 ปีก่อน จ้าวค้างคาวปีกเขียว เหวยสั่ว 1 ใน 4 มหาธรรมราชาก็ตกตายในกับดักที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเหลือทิ้งไว้ ทำให้พวกมันพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ไปทีนึงแล้ว…

 

แต่อย่างไรการตายของเหวยสั่วก็กล่าวได้ว่าตกตายเพราะความโลภส่วนตัว แม้เรื่องนี้จะน่าเศร้าเพียงใด แต่มันก็ทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนเท่านั้น

 

ทว่าการตายของจ้าวราชสีห์ขนทองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

 

ถูกคนสังหาร!!

 

ยิ่งไปกว่านั้นมือสังหารเป็นใคร พวกมันต่างรู้ดี!

 

ต้วนหลิงเทียน! ผู้ที่โชคดีได้รับตราผนึกมารมาครอง…สุดยอดอัจฉริยะในภูมิภาคเบื้องล่าง! ต่อมาก็ถูกเซี่ยจงอาวุโสคนหนึ่งของลัทธิอารามทมิฬ บุกลงไปช่วงชิงตราผนึกมารถึงภูมิภาคเบื้องล่าง…แต่สุดท้ายต้วนหลิงเทียนคนนั้น ก็ได้ขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบน จนได้เข้าร่วมกับลัทธิบูชาไฟ…

 

หลังเข้าสู่ลัทธิบูชาไฟแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้สร้างตำนานขึ้นมาบทแล้วบทเล่า…จนใช้เวลาไม่นานก็ได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะท้าทายสวรรค์ของลัทธบูชาไฟ!

 

ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ได้ลอบออกจากลัทธิบูชาไฟ และไปปรากฏตัวแถวนครแห่งบาป ลงมือฆ่าเซี่ยจงช่วงชิงตราผนึกมารกลับคืน!

 

หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปในกับดัก ของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะเหมือนคนอื่น!

 

แต่ทว่า…กับดักที่คร่าชีวิตมือดีของแดนดินไปมากมายนั้น กลับไม่อาจเอาชีวิตต้วนหลิงเทียนได้! กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่หลังจากใช้เวลาอยู่ในนั้น 3 ปี…!!

 

ถึงขั้นที่…เมื่อออกมาก็สามารถสังหารเซี่ยคังฉวิน จ้าวราชสีห์ขนทอง 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬได้อย่างง่ายดาย!!

 

ไม่รอให้มหาธรรมราชาทั้ง 2 กล่าวตอบอะไร จ้าวอารามก็เริ่มกล่าวโน้มน้าวสืบต่อ

 

“นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นสมควรเก็บงำความลับสะท้านฟ้าไว้กับตัว…อย่างน้อยๆก็เรื่องที่ไฉนมันถึงรอดชีวิตอยู่ในกับดักของ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะได้!”

 

“ไฉนพลังฝีมือของมันถึงประสบกับความก้าวหน้าครั้งมโหฬารได้ขนาดนั้น!? เพียงเวลาแค่ 3 ปีมันกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน! นี่ใช่เกี่ยวข้องอันดับกับความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในระนาบเทียมที่ 3 ปีศาจครึ่งก้าวเซียนอมตะนั่นสร้างไว้หรือไม่?”

 

“หากมีส่วนเกี่ยวข้องกับระนาบเทียมแห่งนั้นจริง ถ้าพวกเราสามารถง้างความลับนี้ออกจากปากมันได้ล่ะก็…ยิ่งถ้าสิ่งที่มันเผชิญมาเป็นวาสนาที่กระทำซ้ำได้ ความแข็งแกร่งของพวกเราก็สามารถเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลได้เช่นกัน!!”

 

วาจ้าประโยคท้ายของจ้าวอาราม เผยให้เห็นถึงความโลภที่แฝงเร้นเอาไว้ชัดเจน

 

หลังได้ยินคำของจ้าวอาราม มหาธรรมราชาที่เหลืออยู่ 2 คนของลัทธิอารามทมิฬ พญามังกรเสื้อม่วง กับ จ้าวพยัคฆ์ขาว ก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

(จ้าวพยัคฆ์ขาวจริงๆ ไม่ใช่อินทรีย์คิ้วขาว 55+)

 

พญามังกรเสื้อม่วงนั้นเป็นสตรี ทั้งยังเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในบรรดามหาธรรมราชาตั้งแต่แรก

 

นอกจากนั้นนางยังเป็นผู้นำมหาธรรมราชา และกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นอยู่

 

ชุดผ้าอาภรณ์ของนางนั้นมีสีม่วง แม้จะไม่ใช่ชุดรัดรูปอะไร แต่ก็ยากที่จะปกปิดรูปร่างอันสมบูรณ์โค้งเว้าเข้ารูปนั่นได้มิด

 

ผมยาวสลวยสีดำทอดยาวอยู่ด้านหลังดั่งม่านน้ำตก ใบหน้ามีผ้าสีม่วงปกปิดเอาไว้ ยากจะเห็นแก้มกระจ่างของนางได้ชัด แต่ด้วยคิ้วบางอันตอบรับกลับดวงตากระจ่างกลมใสงามหมดจดดั่งประกายดารา ก็มากพอให้ผู้คนคาดเดาได้ว่ารูปโฉมที่ปิดซ่อนอยู่นั้น ต้องเป็นโฉมงามล่มเมืองนางหนึ่ง…

 

เพียงนางยืนอยู่เฉยๆก็ให้ความรู้สึกเยือกเย็นเหินห่าง ปานจะผลักไสผู้คนให้ล่าถอยไปพันลี้…

 

ส่วนจ้าวพยัคฆ์ขาวนั้น เป็นชายหนุ่มที่แลดูแข็งแกร่งทรงพลัง มันเคยเป็นอดีตผู้นำมหาธรรมราชาก่อนที่พญามังกรเสื้อม่วงจะทะลวงด่านพลังจนทัดเทียมกับมัน รูปร่างของมันแลดูกำยำล่ำสันนัก ท่าทางร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว

 

แน่นอนว่าในลัทธิอารามทมิฬต่างรู้กันดี…

 

ว่าพลังฝีมือของจ้าวพยัคฆ์ขาวนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพญามังกรเสื้อม่วงเลย

 

หลายคนยังรู้สึกว่าเป็นมันจงใจอ่อนข้อให้พญามังกรเสื้อม่วงมีชัย หลายต่อหลายครั้งที่ได้ประมือกันด้วยซ้ำ!

 

และเรื่องที่มันไม่สมหวังในรัก เป็นฝ่ายแอบชอบพญามังกรเสื้อม่วงอยู่ข้างเดียว ก็ไม่ใช่ความลับอะไรในลัทธิอารามทมิฬ…

 

ถึงจ้าวพยัคฆ์ขาวผู้นี้แม้ร่างกายจะแข็งแกร่งบึกบึน แต่ใบหน้าของมันกลับคมเข้มหล่อเหลานัก! หว่างคิ้วให้ความดุดันดั่งพยัคฆ์ ชุดสีขาวให้ความรู้สึกสง่ามากราศี แลดูเข้มแข็งร้ายกาจแต่ไม่ดิบเถื่อน

 

เพียงมันยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกดั่งพยัคฆ์ทรงพลังยากตอแย ไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถล่วงเกินได้ง่ายๆ

 

“จ้าวอาราม ข้าเองก็เห็นด้วย เรื่องราวครั้งนี้พวกเราลัทธิอารามทมิฬมิอาจปล่อยผ่านไปได้…เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้อาวุโสเหล่าศิษย์ชืดชาเอาใจออกห่าง ยังทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะพวกเราได้ว่าพวกเราหวาดกลัวลัทธิบูชาไฟจนไม่กล้าทำอะไร! อีกทั้งยังเป็นความจริงที่พวกเราต้องง้างปากต้วนหลิงเทียนให้มันคายความลับออกมาให้ได้!!”

 

พญามังกรเสื้อม่วง หลังไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก็ประกาศจุดยืนออกมา

 

และในขณะที่ประกาศทีท่า แววตาของนางก็ฉายประกายแห่งความโลภให้เห็นออกชัด

 

“ข้าก็เห็นด้วย”

 

จ้าวพยัคฆ์ขาวก็เห็นด้วยอย่างไม่ลังเล

 

แต่สำหรับทีท่าของจ้าวพยัคฆ์ขาวนั้น จ้าวอารามไม่ได้สนใจมากมายแต่แรก

 

เพราะทันทีที่พญามังกรเสื้อม่วง ผู้นำมหาธรรมราชาประกาศจุดยืนออกมา จ้าวพยัคฆ์ขาวก็ไม่มีทางคิดเห็นเป็นอื่นแน่นอน เรื่องนี้ทุกคนรู้กันดี…ไหนเลยจ้าวพยัคฆ์ขาวจะกล้าขัดใจพญามังกรเสื้อม่วงได้!!

 

เพราะจ้าวพยัคฆ์ขาวคอยตามไล่เกี้ยวเอาอกเอาใจพญามังกรเสื้อม่วงมาโดยตลอด! หากนางให้มันไปซ้าย มันก็ไม่กล้าเลี้ยวไปขวา!!

 

“เนื่องจากท่านมหาธรรมราชาทั้ง 2 เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกท่านควรไปพบท่านผู้อาวุโสสูงสุดกับข้า…พวกเราจะได้หารือกันต่อว่าจะไปหาความกับลัทธิบูชาไฟอย่างไรดีหรือไม่?”

 

จ้าวลัทธิอารามทมิฬ เร่งกล่าววาจาชักชวนออกมา และนี่คือ ‘เป้าหมาย’ สูงสุดของมัน!

 

มันต้องการให้มหาธรรมราชาทั้ง 2 สนับสนุนมัน และไปพบอาวุโสสูงสุดด้วยกัน เพื่อหารือเรื่องระดมกำลังบุกลัทธิบูชาไฟ! หาทางจับตัวต้วนหลิงเทียนมาเค้นความลับทั้งชำระแค้นให้ได้!!

 

เหตุผลที่ไฉนมันต้องการให้ผู้อาวุโสสูงสุดออกโรงนั้น…ก็เพราะการคงอยู่ของจ้าวลัทธิบูชาไฟ!

 

แม้จ้าวลัทธิบูชาไฟ ถังซวน พึ่งจะประสบความสำเร็จในการทะลวงถึงขอบเขตเซียนสววรรค์ 9 เปลี่ยน เปลี่ยนสู่เซียนอมตะได้ไม่นาน…แต่มองไปทั่วทั้งลัทธิอารามทมิฬ ก็เห็นทีจะมีแต่อาวุโสสูงสุดคนเดียวเท่านั้นที่รับมือถังซวนได้!!

 

หากพวกมันบุกไปหาความที่ลัทธิบูชาไฟโดยไร้ผู้อาวุโสสูงสุด เกรงว่าพวกมันคงได้แต่คว้าน้ำเหลวกลับมา!

 

จ้าวลัทธิอารามทมิฬย่อมรู้เรื่องนี้ดี

 

“อืม นำไปสิ”

 

พญามังกรเสื้อม่วงพยักหน้า หลังจากนั้นก็ติดตามจ้าวอารามเพื่อเข้าพบอาวุโสสูงสุด!

 

นางเองก็รู้ดีแก่ใจเช่นกัน

 

หากคิดบุกไปที่ลัทธิบูชาไฟเพื่อหาความจากต้วนหลิงเทียนล่ะก็ มีแต่ต้องให้อาวุโสสูงสุดออกโรงสะกดถังซวนเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวกับพวกนางได้ หาไม่แล้วพวกนางคงไม่อาจสร้างแรงทัดทานอันใดให้กับลัทธิบูชาไฟได้เลย

 

เห็นพญามังกรเสื้อม่วงเดินตามจ้าวอารามไป จ้าวพยัคฆ์ขาวก็เดินตามหลังนางไปต้อยๆ…

 

ลัทธิอารามทมิฬนั้นแตกต่างจากลัทธิบูชาไฟ

 

ในลัทธิบูชาไฟ จ้าวลัทธิคือผู้ที่ได้รับความเคารพยำเกรงสูงสุด

 

หากแต่ในลัทธิอารามทมิฬนั้น จ้าวลัทธิอารามทมิฬนั้นไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าอาวุโสสูงสุดเลย กระทั่งยังไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าพญามังกรเสื้อม่วงและจ้าวพยัคฆ์ขาวด้วยซ้ำ!

 

ทั้งหมดนี้เพียงเพราะว่า พลังฝีมือของจ้าวอารามผู้นี้ มองทั่วทั้งลัทธิอารามทมิฬแล้ว ตอนนี้มันก็มีความแข็งแกร่งรั้งอยู่ในอันดับที่ 4 เท่านั้น

 

พลังฝึกปรือของมัน แค่เพียงบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนสุดปลายด่านพลัง จัดว่าเป็นชนชั้นสุดยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคนหนึ่ง!

 

ทว่าพญามังกรเสือม่วง กับจ้าวพยัคฆ์ขาวนั้น เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน

 

ส่วนอาวุโสสูงสุดยิ่งร้ายกาจกว่าใคร เพราะมันเป็นผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน! นอกจากนี้พลังฝีมือยังรั้งอยู่ในอันดับที่ 2 ของรายนามยอดเซียน เป็นรองก็แต่เพียง เนี่ยอู๋เทียน อันดับ 1 ในรายนามยอดเซียนเท่านั้น!!

 

เมื่อมีจ้าวอารามกับมหาธรรมราชาที่เหลือทั้ง 2 ไปเชิญอาวุโสสูงสุด ก็ไม่แปลกอะไรที่อาวุโสสูงสุดจะออกโรง

 

ไม่นานหลังจากนั้น ก็ปรากฏร่างคนกลุ่มหนึ่งเหินออกจากลัทธิอารามทมิฬ มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วสูงล้ำ…

 

เป้าหมายของพวกมันก็คือ ลัทธิบูชาไฟ ที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตก!!

 

การเคลื่อนไหวของลัทธิอารามทมิฬคราวนี้ ทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่ ต้วนหลิงเทียน ผู้พิทักษ์คนใหม่ของลัทธิบูชาไฟ!

 

และทั้งหมดนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงไม่ได้รู้เลย

 

ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น…ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นอักลักษณ์ปั้นยากนัก!

 

นั่นเพราะเขาพึ่งได้รับทราบถึงข่าวร้ายหนึ่ง ที่ถูกประกาศออกมาล่าสุด “หลังจากนี้อีก 3 เดือน…ซือหลิงจะถูกตัดสินประหารชีวิต?”

 

และข่าวที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งได้รับทราบ ก็เป็นถังซวนออกประกาศด้วยตัวเอง!

 

อีก 3 เดือนหลังจากนี้…ลูกสาวของเขากับเค่อเอ๋อ ต้วนซือหลิง จะถูกประหารชีวิตต่อหน้าสาธารณชน!

 

“3 เดือน…ไม่พอ! เวลาแค่ 3 เดือนมันไม่พอ!!”

 

ต้วนหลิงเทียนกังวลจนหน้ามืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก

 

เวลาแค่ 3 เดือนนั้น ต่อให้เขาบ่มเพาะพลังบนชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ทัน…

 

และการที่เขาไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนได้ทันเวลา…นั่นหมายความว่าเขาไม่อาจช่วยเหลือเค่อเอ๋อแม่ลูกด้วยกำลังตรงๆได้!

 

“ต้องมี…มันต้องมีสักทางที่ข้าสามารถช่วยเค่อเอ๋อกับลูกได้ในเวลาแค่ 3 เดือน!!”

 

ตอนนี้สีหน้าต้วนหลิงเทียนเคร่งเครียดนัก

 

ยังเป็นกังวลแทบบ้า!

 

ลูกสาวของเขาที่ไม่แม้แต่จะเคยได้เห็นหน้า กำลังจะถูกประหารในอีก 3 เดือนหลังจากนี้!

 

แต่ตอนนี้เขายังคิดหาหนทางช่วยนางไม่ได้!

 

ช่างเป็นบิดาที่ไม่เอาไหนนัก!

 

ไร้ค่ายิ่ง!!

 

ต้วนหลิงเทียนที่กังวลทั้งร้อนรนใจได้แต่เหินร่างออกจากบ้าน และมุ่งหน้าไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยสภาพวิญญาณหลุดลอย คล้ายจะไปสืบเสาะหาทางอย่างลมแล้งๆ!

 

ซูววว!

 

ทว่าทันใดนั้นเอง พลันมีร่างหนึ่งที่กำลังเหินผ่านมาในอากาศ และบังเอิญผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหินมาพอดี

 

ผู้ที่เหินร่างมานั้น พอเห็นว่าเบื้องหน้าไม่ไกลเป็นต้วนหลิงเทียน สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ความหวาดกลัวเริ่มฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของ ‘นาง’