บทที่ 521.2 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันพลันถามว่า “มีความคิดที่มากกว่านี้หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เฉาฟู่ใช้เซียวซูเย่ล่อข้าออกไปตามแผนล่อเสือออกจากภูเขา แล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าสามารถกุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว เขามาดักขวางทางเจ้าแล้วบอกกับเจ้าตามตรงถึงสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญเมื่อติดตามเขาขึ้นไปบนภูเขา เจ้าไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงยังหวาดผวาอยู่มากจริงๆ จะถูกอาจารย์ของเฉาฟู่จับมาหลอมเป็นเตาที่มีชีวิต หลังจากได้รับการถ่ายทอดมรรคาแล้วจะต้องฝึกตนคู่กับบรรพจารย์ตำหนักเกล็ดทองอะไรนั่น…

แม้ว่าจิตใจของสุยจิ่งเฉิงจะมุ่งเข้าหามรรคามาโดยตลอด แต่กลับไม่ต้องการเป็นหุ่นเชิดน่าสงสารที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความตั้งใจเดิมของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้เจ้าคืออะไร? เคยคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้มีตบะสูงยิ่งกว่า มีจิตใจชั่วร้ายและอันตรายยิ่งกว่า และวางแผนได้ยาวไกลยิ่งกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเฉาฟู่เล่า จะทำอย่างไร?”

เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมจากทั่วทั้งร่างของสุยจิ่งเฉิง

เฉินผิงอันยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองครั้ง บอกเป็นนัยแก่สุยจิ่งเฉิงว่าไม่ต้องหวาดกลัวมากเกินไป แล้วถึงเอ่ยเสียงเบา “ก็แค่ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้กล้ามอบสมบัติหนักสามชิ้นให้แก่เจ้า ทั้งเป็นการมอบโชควาสนาด้านการฝึกตนที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า แต่ก็ยังผลักเจ้าไปอยู่ในอันตรายที่มองไม่เห็น เหตุใดเขาถึงไม่พาเจ้าไปอยู่พรรคตระกูลเซียนของตัวเองโดยตรง? เหตุใดไม่จัดหาผู้ปกป้องมรรคามาอยู่ข้างกายเจ้า? เหตุใดถึงแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองจนกลายเป็นผู้ฝึกตนได้? ปีนั้นเรื่องประหลาดที่แม่ของเจ้าฝันว่ามีเทพอุ้มเด็กผู้หญิงมามอบให้ มีความลี้ลับซับซ้อนอะไรหรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็ใช้หลังมือยันหน้าผากเอาไว้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คิดแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องราวทางโลกส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ แต่คิดได้อย่างกระจ่างแจ้งจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเลื่อนลอย

ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องระหกระเหเร่ร่อนดั่งสุนัขไร้บ้าน เหตุการณ์พลิกผันขึ้นลง เรื่องในค่ำคืนนี้ ถ้อยคำไม่ประติดประต่อที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของนางเดี๋ยวพุ่งสูงเดี๋ยวดิ่งฮวบลงต่ำไม่หยุดนิ่ง

 เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หลังจากที่เจ้าตัดสินใจว่าจะไปแจกันสมบัติทวีปแล้ว ข้าถึงได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า นี่ก็เพราะต้องการให้เจ้าเลือกและละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจอีกครั้งหนึ่ง ควรจะรับมือกับยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นซึ่งชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ปรากฎตัว หรืออาจจะปรากฏตัวในคืนนี้เลยก็ได้อย่างไร สมมติว่ายอดฝีมือคนนั้นมีเจตนาดีต่อเจ้า เพียงแต่ว่าหากดูแลเจ้าในช่วงแรกเริ่มของการฝึกตนมากเกินไปจะเป็นการดึงหญ้าช่วยให้เติบโต และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในแคว้นอู่หลิงและตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร พอปิดด่านก็ยิ่งไม่สนใจความร้อนความหนาวในโลกมนุษย์มากเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สามารถไปเยือนแจกันสมบัติทวีปก่อนได้ชั่วคราว แต่กลับไม่สามารถรีบร้อนกราบชุยตงซานเป็นอาจารย์ แต่หากว่าคนผู้นั้นมีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจแน่ใจในความจริงของเรื่องราวได้ ทีนี้จะทำอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงถามย้อนกลับอย่างมึนงง “ทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันหัวเราะขันอย่างฉุนๆ “ทำอย่างไรอะไร?”

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาลูบใบหน้า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นก่อนหน้าที่จะได้พบกับผู้อาวุโส หรือหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ช่วยเหลือข้าไว้ ข้าก็คงไม่สนใจอะไรอีก ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี ต่อให้จะรู้สึกผิดต่อยอดฝีมือที่มีพระคุณยิ่งใหญ่กับข้าผู้นั้น ข้าก็จะพยายามสั่งตัวเองให้ไม่ไปคิดถึงเขาอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ายังคงเป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่พูดได้ถูกต้อง บัณฑิตล่างภูเขาเจอหายนะยากจะรักษาตัวรอดได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนบนภูเขา เจอหายนะยากจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ควรต้องรักษาจิตใจที่รู้สำนึกในบุญคุณเอาไว้ ดังนั้นผู้อาวุโสก็ดี ผู้อาวุโสชุยตงซานคนนั้นก็ช่าง ต่อให้ข้าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากชีวิตนี้ได้พบเจอยอดฝีมือท่านนั้นอีกครั้ง ต่อให้ขอบเขตของเขาจะไม่สูงเท่าพวกท่านทั้งสอง ข้าก็จะยังขอร้องท่านทั้งสองให้อนุญาตให้ข้าได้เปลี่ยนสำนัก กราบยอดฝีมือท่านนั้นเป็นอาจารย์!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะเป็นเช่นนี้”

ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือ อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าสุยจิ่งเฉิงกล่าวด้วยความจริงใจหรือไม่

คำพูดบางอย่าง จำเป็นต้องมองไม่ใช่ฟัง

นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตนบนภูเขา

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่เพราะความคิดของข้าดำมืดเกินไป ข้ายังคงหวังให้ในอนาคตเจ้ากับยอดฝีมือคนนั้นกลายเป็นอาจารย์และศิษย์ จับมือกันเดินขึ้นเขา ชื่นชมภูเขาแม่น้ำไปด้วยกัน”

สุยจิ่งเฉิงแอบหัวเราะ หรี่ตามองเขา

คราวนี้เฉินผิงอันเข้าใจถ้อยคำไร้เสียงในดวงตาของนางได้ทันที เขาจึงถลึงตาใส่นาง “ข้าและเจ้าแค่มีท่าทีในการมองโลกเหมือนกันเท่านั้น แต่สภาพจิตใจของเจ้าและข้ากลับไม่เหมือนกัน”

สุยจิ่งเฉิงหลุดส่งเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ทำท่าเหมือนเด็กๆ อย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ท่านอยู่ไหน?”

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะทำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ชุดเขียวที่สะพายหีบไม้ไผ่ในตอนแรกหรือไม่ บางทีเขาอาจจะอยู่ใกล้สุดขอบฟ้า หรืออาจจะอยู่ใกล้แค่ตรงหน้าก็ได้?

เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย

แน่นอนว่า ‘อาจารย์’ คนนั้นของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว

หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย แต่เนื่องจากสุยจิ่งเฉิงต้องฝึกตนตามเวลาที่แน่นอนในตอนกลางวัน ระหว่างเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอู่หลิง เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าหนึ่งคัน ตัวเองทำหน้าที่เป็นสารถี สุยจิ่งเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึงกุญแจสำคัญในการฝึกตนที่อยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น อธิบายถึงวิธีการเข้าฌาน บอกว่าในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าบางครั้งดวงตาของนางจะชุ่มชื้นเหมือนมีไอหมอกลอยอวล บางครั้งดวงตาก็จะเจ็บแปลบเหมือนมีสายฟ้าล้อมวน หรือไม่ในอวัยวะภายในก็เกิดแรงสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นไม่หยุด อันที่จริงเฉินผิงอันก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากนี้สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีความชำนาญ แต่กลับอาศัยตัวเองจนฝึกตนมาได้นานเกือบสามสิบปีโดยที่ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้ กลับกันผิวพรรณยังนุ่มเนียน ดวงตาสองข้างใสกระจ่าง ก็น่าจะไม่มีความผิดพลาดใหญ่ใดๆ แล้ว

ตลอดทางมานี้เดินทางกันอย่างราบรื่น ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน

ก็เหมือนปีนั้นที่ส่งพวกหลี่ไหวเดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยที่ไม่เพียงแต่มีการกระทบกระทั่ง มีความกลมเกลียวสามัคคี แต่อันที่จริงสิ่งที่มากกว่านั้นกลับเป็นเรื่องหยุมหยิมเหมือนบรรยากาศในหมู่ชาวบ้าน

อย่างเช่นว่าทุกครั้งที่หลี่ไหวจะไปอึไปฉี่ก็จะต้องลากเฉินผิงอันไปด้วยถึงจะกล้าไป โดยเฉพาะกลางดึกที่ต่อให้เป็นครึ่งคืนหลังที่อวี๋ลู่เป็นผู้เฝ้ายาม เฉินผิงอันที่เฝ้ายามครึ่งคืนแรกหลับสนิทไปนานแล้ว แต่ก็ยังถูกหลี่ไหวเขย่าปลุกให้ตื่น จากนั้นเฉินผิงอันที่งัวเงียก็ต้องเดินไปไกลๆ เป็นเพื่อนเจ้าคนที่เอาสองมือกุมเป้ากางเกงหรือไม่ก็จับก้น ตลอดการเดินทางครั้งนั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เฉินผิงอันไม่เคยว่ากล่าวอะไรหลี่ไหว ส่วนหลี่ไหวเองก็ไม่เคยพูดคำขอบคุณอะไร

แต่เด็กในชนบทก็ไม่ค่อยเคยชินกับการพูดคำว่าขอบคุณกับคนอื่นจริงๆ ก็เหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นที่ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดว่าข้าทำพลาดไป

แต่ถึงอย่างไรหลี่ไหวก็เก็บเอาไปใส่ใจ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่าในกลุ่มเดินทางปีนั้น หลี่ไหวใส่ใจเฉินผิงอันที่สุด ต่อให้ผ่านมานานหลายปี เล่าเรียนศึกษาอยู่ในสำนักศึกษามานาน หลี่ไหวเองก็มีเพื่อนเป็นของตัวเองแล้ว แต่กับเฉินผิงอัน เขาก็ยังคงมีสภาพจิตใจของเจ้าเด็กขี้ขลาดที่เก่งเฉพาะในโปงผ้าห่มของตัวเองอย่างในปีนั้น หากเกิดเรื่องเข้าจริงๆ คนแรกที่คิดถึงก็คือเฉินผิงอัน ถึงขั้นคิดถึงเฉินผิงอันก่อนพ่อแม่และพี่สาวที่อยู่ห่างไกลไปคนละทวีปด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าหนึ่งเป็นความรู้สึกพึ่งพา อีกหนึ่งเป็นความรู้สึกคิดถึงพะวงหา ความรู้สึกแตกต่าง ทว่ากลับลึกซึ้งเหมือนกัน

ส่วนสุยจิ่งเฉิงที่ถึงแม้จะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่เลี่ยงธัญพืชทั้งห้า อีกทั้งยังเป็นสตรี ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้น้อยไปกว่ากัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันซื้อรถม้าคันหนึ่งจากอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองจึงจงใจอยู่นานขึ้นอีกหนึ่งวัน ค้างแรมในโรงเตี๊ยม ตอนนั้นสุยจิ่งเฉินที่รู้สึกว่านอนกลางดินกินกลางทรายจนตัวเองน้ำหนักหนึ่งร้อยหกสิบจิน (ประมาณแปดสิบกิโลกรัม) เหมือนยกภูเขาออกจากอก นางขอยืมเงินส่วนหนึ่งมาจากเฉินผิงอัน บอกว่าจะไปซื้อของใช้บางอย่าง จากนั้นก็เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวใหม่เอี่ยม และยังซื้อหมวกคลุมหน้าบดบังใบหน้าของตนอีกหนึ่งใบ

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันจงใจดูแลสุยจิ่งเฉิงเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้รีบร้อนเดินทาง เขารู้เส้นทางอยู่ในใจตัวเองคร่าวๆ แล้ว ขอแค่ไม่ถ่วงเวลาการไปถึงแคว้นลวี่อิงช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็พอ

ดังนั้นท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ริมหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำเซาะไหลผ่าน เฉินผิงอันจึงหยิบเอาเบ็ดตกปลาออกมา ทรายไหลเคลื่อนเปลี่ยนแต่หินใหญ่อยู่นิ่งกับที่ อยู่ดีๆ เขาก็สามารถตกปลาหลัวซือชิงหนักสิบกว่าจินตัวหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่คนทั้งสองดื่มแกงปลา เฉินผิงอันเล่าให้ฟังว่าใบถงทวีปมีปลาหลัวซือชิงอยู่ในทะเลสาบบนภูเขาแห่งหนึ่งที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ขอแค่มีชีวิตอยู่มาเกินร้อยปี ในปากก็จะอมหินสีเขียวขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเอาไว้ เป็นหินที่บริสุทธิ์อย่างมาก หากใช้เวทลับบดให้ละเอียดแล้วตากแดดก็จะกลายมาเป็นวัตถุดิบในการวาดยันต์ที่ผู้ฝึกตนพรรคมหายันต์ปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน

สุยจิ่งเฉิงรับฟังด้วยความตกตะลึง

บางครั้งคนทั้งสองก็จะประลองหมากล้อมกัน ในที่สุดสุยจิ่งเฉิงก็แน่ใจแล้วว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนนี้เป็นคนที่เล่นหมากล้อมได้ห่วยจริงๆ เม็ดหมากช่วงแรกๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มหัศจรรย์ไร้ข้อบกพร่อง แต่จากนั้นยิ่งเล่นก็ยิ่งห่วย

ครั้งแรกที่เล่นด้วยกัน สุยจิ่งเฉิงเอาจริงเอาจังอย่างมาก เพราะนางรู้สึกว่าการประลองฝีมือในศาลาครานั้น ผู้อาวุโสต้องเก็บงำฝีมือของตัวเองอย่างแน่นอน

ภายหลังสุยจิ่งเฉิงก็ยอมรับชะตากรรม

ผู้อาวุโสท่านนี้ได้แต่ท่องจำรูปแบบวิธีการเล่นแบบตายตัวบางอย่างได้เท่านั้น

โชคดีที่ผู้อาวุโสก็ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าสักเท่าไร เล่นสิบครั้งแพ้สิบครั้ง ตอนที่ทบทวนกระดานยังขอความรู้วิธีการวางหมากที่ยอดเยี่ยมบางอย่างจากสุยจิ่งเฉิงด้วย แน่นอนว่าสุยจิ่งเฉิงไม่กล้าปิดบัง สุดท้ายตอนที่เดินเล่นในร้านหนังสือของเมืองแห่งหนึ่ง นางยังเลือกตำราหมากล้อมมาสองเล่ม เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘ตำราต้ากวานจื่อ’ เป็นตำราที่ใช้หัวข้อตายตัวเป็นหลัก อีกเล่มหนึ่งบันทึกรูปแบบการเล่นที่แน่นอนโดยเฉพาะ ตอนนั้นที่อยู่ในอำเภอผู้อาวุโสได้มอบเงินทองให้นางส่วนหนึ่ง แล้วบอกว่าให้นางเก็บเอาไว้ ดังนั้นซื้อตำราสองเล่มจึงมากพอเหลือแหล่

คืนนี้ระหว่างที่เดินทาง ตอนที่ผ่านสุสานร้างชานเมืองแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสพลันหยุดรถม้าแล้วเรียกให้สุยจิ่งเฉิงออกมานอกรถ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วเคาะลงบนหว่างคิ้วของนางเบาๆ บอกให้นางเพ่งสมาธิมองไปยังจุดหนึ่ง สุยจิ่งเฉิงเลิกผ้าโปร่งบางขึ้น เห็นเพียงว่าบนหลุมศพแห่งหนึ่งมีจิ้งจอกขาวแบกโครงกระดูกกำลังกราบไหว้ดวงจันทร์ นางถามว่านี่เป็นเพราะอะไร ผู้อาวุโสบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงร่างเป็นสาวงามล่อลวงบัณฑิตมามาก แต่จิ้งจอกที่แบกโครงกระดูกกราบไหว้ดวงจันทร์เช่นนี้ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

รถม้าออกเดินทางต่ออีกครั้ง

 จิ้งจอกแบกกระดูกขาวที่ได้ยินความเคลื่อนไหวร่างหายวูบไป ครู่หนึ่งต่อมาข้างทางก็มีสตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งมายืนชม้อยชม้ายชายตา เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่สุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่ด้านนอกห้องโดยสารกลับมีโทสะเล็กน้อย นางปลดหมวกคลุมหน้าลง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง สตรีผู้นั้นเหมือนถูกฟ้าผ่า สบถพึมพำบางอย่างกับตัวเองแล้วหมุนตัวจากไปทันที สุยจิ่งเฉิงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สวมหมวกกลับคืนไปอีกครั้ง ขาสองข้างที่ห้อยอยู่นอกตัวรถแกว่งส่ายเบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าจะโมโหปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งไปทำไม?”

สุยจิ่งเฉิงตอบ “จำแลงร่างเป็นสตรีมาล่อลวงบุรุษ มิน่าเล่าพวกชาวบ้านถึงชอบด่าคนด้วยคำว่าปีศาจจิ้งจอก วันหน้ารอให้ข้าฝึกวิชาเซียนสำเร็จเมื่อไหร่จะต้องสั่งสอนพวกมันให้ดีๆ สักหน่อย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกไม่ได้เป็นแบบนี้ไปเสียทั้งหมด มีบางส่วนที่แม้จะซุกซนแต่ก็จิตใจดี ข้ายังเคยได้ยินว่าจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีผู้ถวายงานเป็นจิ้งจอกฟ้าอยู่ตัวหนึ่ง เพื่อแสดงความซาบซึ้งที่ปีนั้นเทียนซือผู้เฒ่าใช้ตราประทับเทียนซือประทับลงบนหนังของมัน ช่วยให้มันรอดพ้นทัณฑ์สวรรค์จากการเลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบนมาได้ ภายหลังจึงคอยปกป้องคุ้มครองลูกศิษย์ของจวนเทียนซืออยู่ตลอดเวลา ถึงขั้นยังช่วยขัดเกลาจิตแห่งเต๋าให้พวกเขาด้วย”

สุยจิ่งเฉิงจดจำเรื่องราวบนภูเขาที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องเล่าพิสดารในนิยายเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ เพียงแต่ความคิดสุดท้ายของนางคือ ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นอาจจะไม่ได้งดงามมากกว่านางเสมอไป

ยามสนธยาของวันนี้ได้เดินทางผ่านศาลเก่าแก่โบราณในพื้นที่แห่งนี้ เล่าลือกันว่าในอดีตมักจะมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ทำให้เรือของพวกชาวบ้านไม่อาจข้ามแม่น้ำได้ จึงมีเซียนบรรพกาลวาดยันต์ลงบนกระดาษ แรดหินก็พุ่งออกจากกระดาษขาว กระโดดลงไปสยบภูตน้ำที่อยู่ในน้ำ นับแต่นั้นมาคลื่นลมก็นิ่งสงบ สุยจิ่งเฉิงเข้าไปจุดธูปในศาลพร้อมกับเฉินผิงอัน เถ้าแก่ร้านขายธูปที่จุดเชิญธูปคือคู่สามีภรรยาหนุ่มสาว ภายหลังพอไปถึงท่าเรือ สุยจิ่งเฉิงพบว่าสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นขึ้นรถม้ามาด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้นั่งคุกเข่าก้มกราบ บอกว่าขอร้องให้ท่านเซียนพาพวกเขาข้ามแม่น้ำไปด้วย

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง สุดท้ายเฉินผิงอันและสุยจิ่งเฉิงกับสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงรถม้าก็โดยสารเรือข้ามฟากลำใหญ่ยักษ์ข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน พอขึ้นมาบนฝั่ง รถม้าขับออกมาได้หลายลี้แล้ว สามีภรรยาหนุ่มสาวก็เปิดปากขอลงจากรถ สุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารกับสามีภรรยาหนุ่มสาวค่อนข้างจะเบียดเสียด และนางก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดอีกหลายเรื่อง ตอนที่รถม้าข้ามแม่น้ำมา สามีภรรยาคู่นั้นเหงื่อแตกท่วมตัวราวกับกลัวว่าเรืออาจล่มได้ทุกเมื่อ คนทั้งสองนั่งตัวแนบชิดติดกัน จับมือกันไว้ ท่าทางราวกับมองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ ทำเอาสุยจิ่งเฉิงเป็นกังวลไปด้วย เข้าใจผิดคิดว่าในแม่น้ำใหญ่จะมีภูตออกอาละวาดและอาจคว่ำเรือให้จมได้ทุกเมื่อ แต่พอคิดว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่นั่งอยู่ด้านนอก จิตใจนางก็สงบลงได้มาก

หลังจากสามีภรรยาลงจากรถก็คุกเข่าก้มกราบอีกครั้ง ถึงขั้นเป็นการกราบด้วยพิธีใหญ่สามโขกเก้าคำนับ

สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าผู้อาวุโสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมรับพิธีการใหญ่นี้ เพียงแต่ว่าพอสามีภรรยาหนุ่มสาวที่น้ำตาคลอคู่นั้นลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสกลับพูดว่า “ภูตผีปีศาจทำความดีสะสมบุญ มรรคาไร้ความลำเอียง ย่อมต้องได้รับการปกป้อง”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเพียงว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เพราะพอคู่สามีภรรยาได้ยินประโยคนี้กลับทำท่าเหมือนได้รับอภัยโทษ แล้วก็คล้ายว่าได้รับการกรอกเทสติปัญญา ถึงขั้นทำท่าจะลงไปคุกเข่าอย่างจริงใจอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้อาวุโสกลับยื่นมือมาประคองบุรุษหนุ่มเอาไว้ “ไปเถิด ภูเขาสายน้ำยาวไกล มหามรรคายากลำบาก จงรักษาตัวให้ดี”

 สามีภรรยาหนุ่มสาวไม่ได้เดินไปบนทางหลวง แต่เดินออกจากเส้นทางไป พอห่างไปไกลคู่สามีภรรยาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา คนหนึ่งค้อมเอวประสานมือคารวะ อีกคนหนึ่งยอบตัวถอนสายบัว

จากนั้นรถม้าก็ขับเข้าไปในทางสายเล็กเส้นหนึ่ง สุยจิ่งเฉิงที่กำลังจะถามถึงเรื่องสามีภรรยาคู่นั้นพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่ามีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่เทพเกราะทองในมือถือทวนเหล็กจะมาปรากฏตัวอยู่บนถนน

เฉินผิงอันหยุดรถม้า พลิ้วกายลงบนพื้น กุมหมัดสองข้าง จากนั้นจึงถามว่า “พวกเรากระทำการไปโดยพลการ ได้ทำให้เทพวารีลำบากใจหรือไม่?”

เทพเกราะทองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้มีกฎเกณฑ์พันธนาการ ข้ามีภาระหน้าที่ติดตัว จึงไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ สามีภรรยาคู่นั้นควรได้รับโชควาสนานี้ เพราะทำความดีจึงได้รับการปกป้องจากท่าน แม้ตรากตรำลำบากมาร้อยปี แต่สุดท้ายก็ข้ามผ่านมหานทีนี้ไปได้”

องค์เทพเกราะทองเปิดทางให้ด้วยการขยับตัวเบี่ยงข้าง ทวนเหล็กในมือทิ่มลงบนพื้นดินเบาๆ “เทพน้อยน้อมส่งท่านเดินทางไกล”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอีกครั้ง คลี่ยิ้มเอ่ยอำลา แล้วย้อนกลับไปที่รถม้า บังคับรถขับเคลื่อนผ่านองค์เทพเกราะทองที่เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายนี้ไปช้าๆ

สุยจิ่งเฉิงเงียบงันไปนาน สุดท้ายถามเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส นี่ก็คือการฝึกตนจนประสบความสำเร็จกระมัง? สามารถทำให้เทพเกราะทองที่มีอายุขัยยาวนานท่านหนึ่งเป็นฝ่ายเปิดทางน้อมส่งผู้อาวุโสด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าควรต้องรู้ว่า บนภูเขาไม่ได้มีแค่พวกคนอย่างเฉาฟู่ และในยุทธภพก็ไม่ได้มีแค่คนอย่างเซียวซูเย่ เรื่องบางเรื่องต่อให้ข้าบอกกับเจ้ามากแค่ไหน ก็ไม่สู้ให้เจ้าไปประสบพบเจอด้วยตัวเอง”

—–