ตอนที่ใช้ความเร้นลับของนัยน์ตาเฉาเฟิง สองตาของหลินสวินราวกับสามารถมองทะลุการอำพรางทุกสิ่ง หยั่งรู้แก่นแท้ของสรรพสิ่ง

ศิลาอุกกาบาตที่ตอนแรกมีพลังคลุมเครือบดบังอยู่ ราวกับยลบุปผากลางสายหมอก จับจุดสำคัญไม่ได้ ดูความจริงไม่ออก

แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นหลินสวินก็มองเห็นว่า ภายในศิลาอุกกาบาตที่ขนาดประมาณแตงโมก้อนหนึ่งผนึกเม็ดหินสีแดงเพลิงซึ่งมีขนาดเพียงไข่นกกระทาก้อนหนึ่ง แดงราวกับเปลวเพลิง สว่างไสวเป็นประกาย

ผลึกหินกำเนิดไฟ!

วัตถุดิบวิญญาณที่เรียกได้ว่าล้ำค่าอย่างหนึ่ง สามารถปรุงยาและหลอมอาวุธได้

แต่มันไม่ถึงกับหายาก หลินสวินจำได้ว่าหอประสานฟ้ามีสมบัติเช่นนี้ขาย ราคาอย่างมากก็แปดร้อยแกนวิญญาณขั้นกลาง

แต่ตอนนี้ศิลาอุกกาบาตที่ผนึกผลึกหินกำเนิดไฟอยู่นี้ กลับระบุราคาห้าร้อยแกนวิญญาณขั้นสูง ซึ่งก็คือห้าหมื่นแกนวิญญาณขั้นกลาง

ราคาต่างกันถึงหกเท่ากว่า!

หากใครเลือกซื้อหินนี้จะต้องขาดทุนจนกระอักเลือดแน่

‘ที่แท้นัยน์ตาเฉาเฟิงก็มีประโยชน์เช่นนี้ด้วย…’

ในใจหลินสวินตื่นเต้น ‘นี่ไม่ใช่หมายความว่า ตอนที่เลือกศิลาอุกกาบาตย่อมสามารถทำให้ข้าทำกำไรได้โดยไม่ขาดทุนไม่ใช่หรือ’

“เอ๋ ภิกษุเจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ ทำไม นักบวชอย่างเจ้าก็จะพนันหินหรือ”

และตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงเย้ายวนแฝงความเย้ยหยันของหนานกงสุ่ยก็ดังขึ้น

หันมาก็เห็นหนานกงสุ่ยก้าวเดินมาอย่างเชื่องช้าจากระยะไกล

ข้างๆ เขากลับมีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยล้อมอยู่ ต่างอยู่ในชุดหรูหราสวยงาม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณทั่วไป

“แค่ดูผ่านๆ” หลินสวินพูดสบายๆ

“ภิกษุ เจ้าบอกข้ามาตามตรงว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่”

สายตาของหนานกงสุ่ยราวกับสายฟ้า พินิจหลินสวิน “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าเหมือนกำลังสาปแช่งข้า”

หลินสวินลอบประหลาดใจ สัญชาตญาณของเจ้าหมอนี่ถือว่าแหลมคมดี

บนใบหน้าของเขากลับเคร่งขรึมพลันพูด “ยังไม่ถึงเวลา ไม่สามารถบอกได้ ไม่สามารถบอกได้”

“ภิกษุ เจ้ามาจากวัดไหน ทำไมถึงพูดจาเช่นนี้” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงสุ่ยตำหนิ

หลินสวินเหลือบมองคนผู้นั้นแวบหนึ่งพร้อมพูดว่า “โยม อาตมาเห็นว่าสีหน้าของท่านดูมีไอชั่วร้าย จุดอิ่นถังมืดมน กลางหน้าผากมีไอชั่วร้ายปกคลุมอยู่รางๆ นี่เป็นลางแห่งเคราะห์ร้าย ทางที่ดีระวังคำพูดและการกระทำ อย่าได้ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท มิฉะนั้นกลัวว่าเคราะห์กรรมจะมาเยือน”

คนผู้นั้นอึ้ง จากนั้นก็เดือดดาลยกใหญ่ “เจ้ากล้าสาปแช่งข้าหรือ”

ตูม!

ในขณะที่พูดหมัดของเขาก็กระแทกเข้าใส่หน้าหลินสวิน

คำว่ายโสโอหังเป็นอย่างไร ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า ไม่เข้าหูเพียงคำเดียวก็ลงมือเลย

หลินสวินประสานมือทั้งสองข้าง ถอนหายใจเบาๆ ราวกับมุนินทร์ที่ยืนอยู่ในแดนพิสุทธิ์ ท่าทางเปี่ยมด้วยเมตตา

ความจริงเขาลอบโคจร ‘อานุภาพพระเวทสยบมาร’ ซึ่งเป็นวิชาลับวิชาหนึ่งในคัมภีร์มหากษิติครรภ์ไปแล้ว ทำให้รอบตัวเขามีสนามพลังที่มองไม่เห็นเพิ่มเข้ามา มีพื้นฐานกำราบอสูรสยบมาร หมื่นวิชาไม่อาจทำลายได้

ตูม!

ชายหนุ่มกระแทกหมัดออกมา ยังไม่ทันสัมผัสหน้าหลินสวินก็รู้สึกเหมือนกระแทกใส่เพชร ไม่เพียงแค่แข็งแกร่งอย่างที่สุด ยังเกิดพลังสะท้อนกลับที่รุนแรง ทำให้หมัดและข้อมือของเขาพับหักไปทันที

กร๊อบ!

ทันใดนั้นแขนขวาทั้งแขนของเขาถูกสะเทือนหัก ร่างกายเซถอย เจ็บจนสูดหายใจเย็น แยกเขี้ยวยิงฟัน เกือบจะกรีดร้องออกมา

พวกหนานกงสุ่ยหรี่ตาลงทันใด พลันรู้สึกว่าภิกษุหนุ่มคนนี้ร้ายกาจมาก ไม่ธรรมดาเลย

หลินสวินกล่าวเสียงทอดถอนใจ “โยมดูสิ คำพูดก่อนหน้านี้ของอาตมาเป็นจริงแล้ว เคราะห์มาเยือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ”

ทุกคนเกือบจะกลอกตาใส่ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการบาดเจ็บจากการต่อสู้ ใช่เคราะห์ซะที่ไหน ภิกษุคนนี้เหลวไหลเกินไปแล้ว

ทว่าทุกคนต่างไม่กล้าดูถูกหลินสวินแล้ว ก่อนหน้านี้หลินสวินยืนนิ่งไม่ขยับ ไม่เห็นว่าอานุภาพของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่กลับทำให้คนหนุ่มผู้นั้นถูกแว้งกัด นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้

“ที่แท้ก็เป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ศักยภาพลึกล้ำคนหนึ่ง” นัยน์ตาของหนานกงสุ่ยมีประกายเยียบเย็นพลุ่งพล่าน ราวกับกระแสน้ำซัดสาด น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

“สหายยุทธ์หนานกงชมเกินไปแล้ว หากไม่มีเรื่องอะไร อาตมาจะประเมินหินต่อแล้ว” หลินสวินยิ้มน้อยๆ ในขณะที่พูดเขาก็หมุนตัว คร้านจะสนใจอีกฝ่าย

ที่นี่เป็นงานประเมินหิน ผู้คนพลุกพล่าน ผู้ฝึกปราณก็มาก แม้หลินสวินจะไม่กลัว แต่ก็ไม่อยากสร้างก่อเรื่องในตอนนี้

ที่เขาปลอมตัวก็เพื่อไม่ให้คนจำได้ หลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น

“ช้าก่อน!”

แต่หนานกงสุ่ยกลับตื๊อไม่ยอมลดละ เดินเข้ามาพร้อมพูดว่า “ในเมื่อภิกษุชอบประเมินหิน งั้นให้ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อยดีหรือไม่”

“เล่นหรือ” หลินสวินพูด

“ไม่ผิด ก็เป็นการพนันอย่างหนึ่ง”

สายตาของหนานกงสุ่ยบีบบังคับข่มขู่ “ข้ากับเจ้าเลือกศิลาอุกกาบาตในราคาเดียวกัน เปรียบเทียบสมบัติที่ผ่าออกมา มูลค่าของสมบัติที่ผ่าออกมาของใครมากกว่า อีกฝ่ายจะต้องชดใช้ด้วยจำนวนแกนวิญญาณเท่ากับสมบัติชิ้นนั้นเป็นอย่างไร”

เขาย่ามใจและเย่อหยิ่งอย่างมาก

สำหรับการประเมินศิลาอุกกาบาต เขาถือว่ามีประสบการณ์มาก ทั้งยังครอบครองวิชาลับ มั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถผ่าสมบัติชั้นดีออกมาได้

มองหนานกงสุ่ยที่มั่นใจเต็มเปี่ยมเพียงนี้แล้ว ในใจหลินสวินพลันเกิดความแปลกประหลาดขึ้นมา บ่นพึมพำในใจ เจ้าหมอนี่หาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวแท้ๆ

หากเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะลังเล แต่พอค้นพบความมหัศจรรย์ของนัยน์ตาเฉาเฟิง เขาก็ไม่กลัวที่จะพนันกับใครอีก!

ตอนนี้ในสายตาของเขา หนานกงสุ่ยเหมือนแกะอ้วนที่มาให้เชือดถึงที่ หากไม่เชือดเขาอย่างเจ็บแสบสักดาบ คงรู้สึกผิดต่อความจริงใจของเขา!

ทว่าแม้ในใจจะคิดเช่นนี้ ในปากหลินสวินกลับเอ่ยเสียงทอดถอนใจ “ช่างเถอะ อาตมาเป็นนักบวช พุทธะท่านว่า หมั่นฝึกฝนคุณธรรมและปัญญา ดับความโลภความเกลียดชังและความหลง หากพนันกับเจ้า อาตมาก็จะเกิดความโลภและความโกรธ”

หนานกงสุ่ยเอือมระอาขึ้นมาทันที ภิกษุคนนี้ดื้อด้านจริงๆ ไม่ได้ใจเลยสักนิด

“ภิกษุ เจ้าคงไม่ได้กลัวหรอกนะ หากเป็นเช่นนี้จริงเจ้าก็ก้มหัวยอมแพ้ ขอขมาพี่หนานกง พวกข้าก็คร้านจะถือสาเจ้าอีก”

มีคนดูถูก

“เหอะๆ ภิกษุคนนี้ช่างลวงโลกจริงๆ หากเจ้าไม่ได้เกิดความโลภจะมาร่วมงานประเมินหินได้อย่างไร ลาหัวโล้นอย่างพวกเจ้าช่างเสแสร้งจริงๆ”

และมีคนเย้ยหยัน

“ภิกษุ เจ้ายังเป็นลูกผู้ชายอยู่หรือไม่ เป็นลูกผู้ชายก็เด็ดขาดหน่อย ชักช้ายืดยาดเช่นนี้ แม้แต่ผู้หญิงยังสู้ไม่ได้ ยังจะบำเพ็ญธรรมหยั่งธรรมอะไรอีก” เด็กสาวในชุดแดงที่ดูเผ็ดร้อนคนหนึ่งพูด

หลินสวินสีหน้าจนปัญญาเต็มประดา ถอนหายใจยาวพูด “เอาเถอะ พุทธะท่านว่า ช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยเหลือตัวเอง วันนี้อาตมาจะช่วยสหายยุทธ์หนานกงสักครั้ง”

ได้ยินคำพูดนี้ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ ยังจะบอกว่าช่วยหนานกงสุ่ย ภิกษุนี่อวดอ้างจริงๆ!

ส่วนหนานกงสุ่ยเองก็ปรากฏเส้นสีดำที่ขมับ คำพูดนี้ฟังอย่างไรก็รู้สึกไม่ถูกต้อง ทำเหมือนตนเป็นมารปีศาจประหลาดที่ต้องถูกชี้แนะให้พ้นทุกข์อย่างไรอย่างนั้น…

“บอกไว้ก่อนว่า อาตมามีเพียงสี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง หากแพ้หมดแล้วก็จะไม่พนันต่อ” หลินสวินทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่มีความมั่นใจ

สี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูงหรือ

เหล่าชายหญิงที่ติดตามหนานกงสุ่ยมาตาเป็นประกายทันที คิดไม่ถึงว่าภิกษุที่ดูไม่ได้มีความสามารถอะไรคนนี้ ฐานะกลับมั่งคั่งจนน่าตกใจ!

สี่หมื่นแกนวิญญาณขั้นสูง แม้แต่ลูกหลานครอบครัวร่ำรวย ยังน้อยนักที่จะมีได้

หนานกงสุ่ยเองก็อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญจับแกะอ้วนตัวหนึ่งได้ อีกทั้งยังเป็นนักบวช!

พวกภิกษุร่ำรวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ทันใดนั้นในสายตาของพวกเขา หลินสวินก็เหมือนกลายเป็นแกนวิญญาณขนาดใหญ่ที่เดินได้ เป็นประกายระยิบระยับเต็มไปด้วยความยั่วยวน

“ภิกษุ พวกเราร่วมพนันด้วยเป็นอย่างไร” มีคนอดพูดไม่ได้

“นี่…” หลินสวินท่าทางลำบากใจ “อาตมามีแกนวิญญาณเพียงเท่านี้ เกรงว่าจะรับความพ่ายแพ้ไม่ไหว”

“ไม่เป็นไร ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะดวงขึ้น ยังไม่แพ้ก็ได้!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดล่อหลอก

คนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสริม

สุดท้ายหลินสวินถอนหายใจ พยักหน้ารับ “พุทธะท่านเมตตา ทุกท่านจริงใจเพียงนี้ อาตมาจะปฏิเสธได้อย่างไร”

แกะอ้วนติดกับแล้ว!

ในใจชายหญิงเหล่านี้ตื่นเต้นมาก ต่างทนรอเชือดหลินสวินอย่างเจ็บแสบไม่ไหวแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ในใจหลินสวินก็ยิ้มอย่างสดใสมาก คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่เพียงสามารถเชือดหนานกงสุ่ยดาบหนึ่ง ยังมีแกะอ้วนอีกฝูงกระโดดออกมาร้องขอให้เชือด

นี่ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่า หรือผู้บำเพ็ญธรรมล้วนมีโชคดีติดตัว

ความเคลื่อนไหวฝั่งพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณมากมายตั้งนานแล้ว เมื่อได้รู้ว่าหนานกงสุ่ยจะพนันกับผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่งต่างก็ตื่นเต้นกันขึ้นมา ล้อมกันเข้ามาจากสี่ด้าน หมายจะดูความครื้นเครง

“เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ก็เริ่มจากศิลาอุกกาบาตราคาห้าร้อยแกนวิญญาณขั้นสูงเป็นอย่างไร” หนานกงสุ่ยเองก็รอไม่ไหวแล้ว

“ได้” หลินสวินหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางดูประนีประนอมด้วยความจนใจ

นี่ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่มุงดูต่างถอนหายใจ ผู้บำเพ็ญธรรมคนนี้ช่างเมตตาเหลือเกิน ไม่มั่นใจแท้ๆ ยังจะพนัน นี่เท่ากับถวายตัวให้อีกฝ่ายเชือดมิใช่หรือ

หากไม่ใช่เพราะอำนาจของหนานกงสุ่ยขวางไว้ พวกเขาคงอดไม่ไหวอยากร่วมเชือดภิกษุรูปนี้หนึ่งดาบด้วย

“ชิ้นนี้”

หนานกงสุ่ยหมายตาศิลาอุกกาบาตชิ้นนี้มาตั้งนานแล้ว พลันตัดสินอย่างไม่ลังเล “เอาชิ้นนี้แหละ”

ในเวลาเดียวเขามุมปากของเขาเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย หันมองหลินสวินพร้อมพูด “ภิกษุ ตาเจ้าแล้ว”

หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าจริงจัง แต่กลับไม่ตัดสินใจเสียที ท่าทางลังเล

นี่ทำให้ทุกคนยิ่งมั่นใจว่าภิกษุรูปนี้จะต้องถูกเชือดแน่ เห็นได้ชัดว่าเป็นมือใหม่ นานขนาดนี้แล้วยังไม่สามารถเลือกศิลาอุกกาบาตได้

“ภิกษุ เจ้าเร็วหน่อย!” มีคนรอไม่ไหวแล้วจึงเร่ง

“ภิกษุ เจ้าไหวหรือเปล่า ให้ข้าช่วยเจ้าเลือกศิลาอุกกาบาตหรือไม่” มีคนเสริมขึ้นด้วยความเย้ยหยันเต็มประดา

“ฮ่าๆ ภิกษุลนจนเหงื่อตกแล้ว!” มีคนสังเกตเห็นว่าบนศีรษะเกลี้ยงเกลาของหลินสวินมีเหงื่อซึมออกมาชั้นหนึ่ง จึงกลั้นหัวเราะกันไม่อยู่

พวกหนานกงสุ่ยกลับมั่นใจเต็มเปี่ยม วันนี้แกะอ้วนตัวนี้หนีไม่รอดแล้ว!

“ชิ้นนี้แล้วกัน!” หลินสวินกัดฟัน เลือกศิลาอุกกาบาตชิ้นหนึ่งแล้วยังแสร้งถอนหายใจ สีหน้าวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตน

และตอนที่เห็นศิลาอุกกาบาตที่เขาเลือก สีหน้าของหลายคนอดแปลกประหลาดขึ้นมาไม่ได้

ศิลาอุกกาบาตนั่นดูเหมือนจะเป็นประกายสะดุดตา ดูไม่ธรรมดามาก แต่ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ นั่นเป็นของที่ด้อยคุณภาพ!

ลวดลายพื้นผิวแตกระแหงและมีหลุมบ่อมากมาย

ของนี่อย่าว่าแต่ผ่าสมบัติที่มีราคาออกมาเลย มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่มีสมบัติอะไรเลย!

ภิกษุนี่โชคร้ายจริงๆ

ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองหลินสวินอดแฝงความเวทนาไม่ได้ คงหนีไม่พ้นที่จะโดนเชือดอย่างเจ็บแสบแล้ว

——