ตอนที่ 764 ศัตรูรอบด้าน

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 764 ศัตรูรอบด้าน
เคิร์ทเคยลักลอบดูดเลือดของคนเชื้อสายจีนที่ยุโรปมาแล้ว แต่เขาพบว่า เลือดของคนเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเลือดของคนยุโรปเลย

หลังจากที่เขาไปสอบถามแดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านาย เคิร์ทถึงเพิ่งจะรู้ว่า ไม่ใช่ชาวตะวันออกทุกคนที่จะมีเลือดที่เปี่ยมด้วยพลังวิเศษ แต่ต้องเป็นเลือดของผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้น จึงจะสามารถช่วยให้พวกเขาเลื่อนขั้นได้

เคิร์ทก็รู้ด้วยว่า ดยุกของตระกูลแดร็กคูล่าท่านนั้นก็ได้ตกตายไปพร้อมกับบุคคลร้ายกาจผู้หนึ่งที่ประเทศทางตะวันออกแห่งนั้นเช่นกัน

แดร็กคูล่าผู้เป็นเจ้านายของเขานั้นก็ไม่ได้มีผลงานอะไรในสงครามสะเทือนฟ้าดินครั้งนี้เลย เพียงแต่ท่านค่อนข้างจะโชคดีเท่านั้นเอง หลังจากที่ทั้งสองคนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ท่านก็ดูดรับพลังวิเศษจากเลือดของชาวตะวันออกผู้นั้น ถึงได้สามารถเลื่อนขึ้นไปถึงระดับชั้นดยุกได้ในทันที

แต่แดร็กคูล่าก็ได้เตือนบริวารของตัวเองไว้ด้วยว่า อย่าได้ทดลองเดินทางไปยังประเทศแห่งนั้น แล้วทำเรื่องอะไรเกินเลยไปเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องประสบกับความทรมานยิ่งกว่าตาย แม้แต่แก่นหัวใจก็จะถูกพวกชาวตะวันออกควักออกไปด้วย

หัวใจของพวกแวมไพร์นั้นไม่เหมือนกับของคนธรรมดา ที่ศูนย์กลางภายในหัวใจของคนเหล่านี้จะมีแก่นขนาดเท่าลูกวอลนัทอยู่หนึ่งดวง ซึ่งก็คือแก่นหัวใจนั่นเอง ขอเพียงแก่นหัวใจไม่ได้รับอันตรายอะไร ต่อให้หัวใจถูกทำลายจนแหลกเหลวไป คนเหล่านี้ก็จะไม่เสียชีวิต

กล่าวได้ว่า แก่นหัวใจก็คือจุดอ่อนของพวกแวมไพร์นั่นเอง นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่เคิร์ทสามารถข่มกลั้นความเย้ายวนของการที่จะได้เลื่อนขั้น ตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยเหยียบเข้าประเทศจีนเลยแม้แต่ก้าวเดียว

แม้จะไม่เคยพบปะกับผู้บำเพ็ญพรตจากประเทศจีนเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เคิร์ทจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาของคนเหล่านี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อรอบกายเกิดสายลมเย็นเยียบพร้อมกับเสียงภูตผีร่ำร้อง เคิร์ทจึงเข้าใจในทันทีว่า ชายที่มีหน้าตาเหมือนชาวตะวันตกผู้นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นผู้บำเพ็ญพรตจากทางตะวันออก

“แกน่ะไปตายได้แล้ว!”

เมื่อเห็นว่าชาวตะวันตกร่างผอมแห้งคนนี้กลับสามารถดูที่มาของเขาออก เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ มือขวาวาดเป็นเส้นโค้ง แล้วกะโหลกศีรษะที่ก่อขึ้นจากพลังพิฆาตนั้นก็เปล่งแสงสีเขียวเรืองออกมาจากดวงตา ขณะที่เคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของเคิร์ท มันก็แปลงสภาพเป็นไอหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง แล้วปกคลุมร่างของเขาไว้ทั้งหมดในชั่วพริบตา

“ฮ่า ๆ พลังวิเศษมากมายขนาดนี้จะไปหาได้จากที่ไหนอีก รู้สึกดีจริงๆ !”

ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังนึกว่า พลังพิฆาตที่เขาปล่อยออกไปคงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บสาหัสได้แล้วนั้น กลับมีเสียงหัวเราะเพี้ยนๆ ดังออกมาจากหมอกดำกลุ่มนั้น พลังพิฆาตที่เยี่ยเทียนรวบรวมขึ้นมาได้กลับสลายหายไปด้วยความรวดเร็วชนิดที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื่องจากถูกเคิร์ทดูดรับเข้าสู่ร่างกายไปจนหมด

หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาที ไอหมอกกลุ่มนั้นก็อันตรธานไปจนหมดแล้ว เผยให้เห็นร่างของเคิร์ทซึ่งดูอวบอิ่มขึ้นมามาก ใบหน้าฉายความอิ่มเอิบพึงพอใจราวกับว่าเพิ่งได้เพลิดเพลินกับอาหารรสเลิศมื้อใหญ่ไปเมื่อครู่

“เอ๊ะ? แกดูดรับพลังพิฆาตเข้าสู่ร่างได้ด้วยรึ?”

เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยเทียนก็ตาเบิกโพลงอย่างไม่อาจข่มกลั้น ตั้งแต่เขาเข้าสู่วงการนี้มา เวลาใช้พลังพิฆาตทำร้ายศัตรูก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะไม่สำเร็จ เหตุการณ์แบบนี้เขาก็เพิ่งจะเคยพบเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครสลายการโจมตีด้วยกระแสพลังพิฆาตเช่นนี้มาก่อนเลย

“พลังพิฆาต? ฉันไม่รู้หรอกนะว่าแกพูดถึงอะไร? นี่มันพลังวิเศษที่อุดมคุณค่าต่างหากล่ะ!”

เคิร์ทเลียริมฝีปากอันแดงฉาน ใบหน้าที่ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไรนั้นมีอารมณ์ตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย

พลังวิเศษที่ดูดรับไปเมื่อครู่ทำให้เคิร์ทรู้สึกว่า แก่นหัวใจของเขาเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก และร่างกายก็เปี่ยมด้วยพลังงาน ความรู้สึกเช่นนี้ เคิร์ทเคยสัมผัสมาแล้วในตอนที่เขาได้เลื่อนขั้นเป็นเคานต์เมื่อหลายสิบปีก่อน เขาจึงเริ่มจะมองเห็นความหวังที่จะได้เลื่อนชั้นเป็นมาร์ควิสอยู่รำไรแล้ว

ระบบการแบ่งลำดับศักดิ์ในหมู่แวมไพร์นั้นเคร่งครัดอย่างยิ่ง โดยทั้งหมดแบ่งเป็นหกระดับ ได้แก่ บารอน ไวเคานต์ เคานต์ มาร์ควิส ดยุก และเจ้าชาย ส่วนเหนือขึ้นไปจากทั้งหกระดับนี้ ก็ยังมีระดับในตำนานอีกซึ่งก็คือระดับราชา แต่แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงตำนานเท่านั้น เพราะในโลกยุคปัจจุบันนี้ แม้แต่ระดับเจ้าชายก็ยังไม่เคยมีปรากฏขึ้น

ในหมู่แวมไพร์โดยปกติ ดยุกก็ถือว่าเป็นชนชั้นที่มีสถานะสูงที่สุดในตระกูลหนึ่งๆ แล้ว หลังจากที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นเป็นมาร์ควิส เคิร์ทก็จะมีโอกาสได้ลบสถานะการเป็นบริวารรับใช้ และตั้งตนขึ้นเป็นประมุขของตระกูล ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้บัญชาของแดร็กคูล่าอีกต่อไปแล้ว

“เจ้าคนตะวันออก ไม่ต้องปกปิดอำพรางอีกแล้วล่ะ ฉันยังไม่มีบริวารรับใช้ที่เป็นชาวตะวันออกเลย ให้แกมาเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ!”

ถึงเคิร์ทจะไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียกว่าเนื้อพระถังซัมจั๋งนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่สายตาของเขาที่กำลังมองดูเยี่ยเทียนอยู่นั้นก็เต็มไปด้วยความโลภอย่างที่ไม่ได้พยายามจะปกปิด เขานึกอยากจะดูดเลือดของเยี่ยเทียนจนเกลี้ยง เพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนชั้นขึ้นถึงระดับเคานต์

“บริวารรับใช้? อย่างแกน่ะคู่ควรรึ?”

สายตาของเยี่ยเทียนเย็นชาลง แม้ว่าการโจมตีที่ไม่ได้ผลนั้นจะทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง และเคิร์ทก็เป็นคนที่พิสดารนัก หลายปีมานี้เยี่ยเทียนเคยผ่านคลื่นลมมรสุมมาไม่น้อย ยิ่งตอนนี้ปราณแท้ก็ฟื้นฟูกลับมาแล้ว ต่อให้สู้ไม่ชนะ อย่างน้อยก็ต้องหนีรอดได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวคู่ต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้

“ได้เป็นบริวารรับใช้ของฉัน ก็ถือว่าเป็นเกียรติของแกแล้วละนะ!”

การพูดจาของเคิร์ทเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง สำหรับชาวตะวันตกแล้ว การได้เป็นแวมไพร์นั้นถือว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่ผู้คนปรารถนา เพราะนั่นหมายความว่าจะได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่งและมีชีวิตที่เป็นอมตะ ดังนั้นตามท้องถิ่นทางตะวันตกจึงมีผู้คนมากมายที่ศรัทธาแวมไพร์ กระทั่งยังมีองค์กรที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอีกด้วย

“พูดอะไรน่าขำ!”

เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เคลื่อนร่างไปข้างหน้า มือขวากางเป็นกรงเล็บ ตะปบลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของเคิร์ท

ภาพยนตร์เกี่ยวกับแวมไพร์ได้สร้างอิทธิพลต่อความเข้าใจของผู้คนอย่างมาก ถึงเยี่ยเทียนจะไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องเล่าลือเหล่านั้นเท่าไรนัก แต่ก็รู้เกี่ยวกับจุดอ่อนของแวมไพร์อยู่ กระบวนท่าพยัคฆ์ดำควักหัวใจนี้หากตะปบลงไปตรงจุด ก็จะสามารถควักหัวใจของฝ่ายตรงข้ามออกมาได้ในทันที

เป็นไปตามคาด เมื่อเห็นท่าโจมตีของเยี่ยเทียน เคิร์ทก็มีสีหน้าลนลานขึ้นมาทันที สองมือปัดป้องไว้ข้างหน้า ตามคำบอกเล่าของนายท่าน ชาวตะวันออกแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นถึงปากเขาจะพูดจาอวดเบ่งไว้อย่างนั้น แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ได้ประมาทเยี่ยเทียนเลยแม้แต่น้อย

เกิดเสียงดัง “ปัง!” ราวกับเสียงฟาดลงบนกลองหนัง มือขวาของเยี่ยเทียนปะทะกับแขนอันผอมแห้งของ เคิร์ทเข้าอย่างจัง แขนเสื้อทั้งสองข้างของเคิร์ทก็ถูกเยี่ยเทียนฉีกขาดจนเกิดเสียงดัง “แควก”

แต่กรงเล็บของเยี่ยเทียนที่มีความรุนแรงถึงขั้นบดหินให้แตกได้นี้ กลับถูกเคิร์ทต้านทานไว้ได้ บนแขนที่ขาวราวกับแขนของผู้หญิงนั้น ก็ปรากฏเพียงรอยกรงเล็บห้ารอย ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาก็จางหายไปแล้ว

“ช่างเป็นกายเนื้อที่แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้?”

หลังจากที่กรงเล็บของเขาถูกเคิร์ทต้านไว้ได้ เยี่ยเทียนก็ลอบตื่นตระหนกในใจ อาศัยพลังฝีมือของเขาในปัจจุบัน ต่อให้เบื้องหน้าเป็นแผ่นเหล็กกล้า เขาก็สามารถตะปบจนกลายเป็นผุยผงได้ แต่ชาวตะวันตกผู้นี้กลับต้านรับไว้ได้ซึ่งๆ หน้า โดยที่ไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ

ถึงแม้เยี่ยเทียนจะตกตะลึง แต่ความเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้ชักช้าเลยสักนิด หลังจากโจมตีแล้วไม่เป็นผล เท้าซ้ายก็ก้าวไปด้านข้าง ขณะที่สองมือของเคิร์ทยังคงตั้งท่าป้องกันไว้ข้างหน้า เท้าขวาของเขาก็พลันเตะเสยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ ฟาดลูกเตะใส่ขมับซ้ายของฝ่ายตรงข้ามทันที

หากจะกล่าวถึงเทคนิคในการโจมตี ไม่ว่าชาติใดก็ไม่อาจเทียบชั้นกับศิลปะการต่อสู้ของจีนได้ทั้งนั้น ลูกเตะของเยี่ยเทียนนี้ยังผสมผสานกับวิธีการใช้ขาของมวยใต้ดินอีกด้วย ระหว่างที่ยกขาขึ้นมานั้น ช่วงไหล่ไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีพลังรุนแรงชนิดที่สามารถเตะวัวตัวหนึ่งให้ตายคาที่ได้เลยทีเดียว

กายเนื้อของเคิร์ทนั้นแม้จะทรงพลังมาก แต่เมื่อถูกเตะอย่างรุนแรงเช่นนี้ ก็ถึงกับลอยกระเด็นขึ้นไปสูงลิ่ว

เกิดเสียงดัง “กรอบ” ระหว่างที่เคิร์ทลอยอยู่กลางอากาศ ศีรษะถูกเตะหันไปข้างหลัง ลำคอบิดเบี้ยวไปทั้งคอ จนดวงตาทั้งคู่สามารถมองเห็นแผ่นหลังและบั้นท้ายของตัวเองได้

“ยังไม่ตายอีกเรอะ?”

เมื่อร่างของเคิร์ทร่วงลงไปบนพื้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ชาวตะวันตกผู้นี้ไม่กลัวการโจมตีของกระแสพลังพิฆาตเลย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ลูกเตะเมื่อครู่นี้ก็ได้รวบรวมปราณแท้ทั้งหมดในร่างไว้แล้ว

“หือ? หรือว่าโลกนี้จะมีแวมไพร์อยู่จริงๆ?”

เมื่อเยี่ยเทียนเดินเข้าไปใกล้จุดที่เคิร์ทตกลงไปก็กลับพบว่า เคิร์ทลุกขึ้นมาอีกแล้ว ทั้งทั้งที่ศีรษะของเขายังคงบิดหันไปข้างหลัง ดูประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง จนแม้แต่เยี่ยเทียนเองยังใจหายเฮือก

“กรอบ…กรอบแกรบ…”

หลังจากลุกขึ้นมาแล้ว เคิร์ทใช้มือทั้งสองข้างบิดศีรษะให้หันกลับมาข้างหน้า เกิดเสียงดัง “กรอบแกรบ” ออกมาจากลำคอ จนเยี่ยเทียนได้ยินแล้วรู้สึกขนลุก

“เจ้าคนตะวันออก ฉันยอมรับนะ…ว่าแกแกร่งมาก แต่แวมไพร์อย่างพวกฉันน่ะมีร่างเป็นอมตะ แกฆ่าฉันไม่ตายหรอก!”

เคิร์ทเปิดปากอันแดงฉานฉีกยิ้มออกมา ฟันสีขาวราวหิมะนั้นดูจ้าตาเหลือเกิน แม้ว่าการโจมตีของเยี่ยเทียนจะรุนแรงมาก แต่สำหรับพวกแวมไพร์แล้ว กายเนื้อล้วนไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เลย

ลักษณะข้อนี้นับว่าคล้ายคลึงกับผีกองกอยของจีนอยู่เหมือนกัน คือไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกายเลย

“ฆ่าไม่ตาย? ฉันจะเด็ดหัวแกลงมาเลยก็แล้วกัน ทีนี้ดูซิว่าแกจะตายหรือเปล่า!”

เยี่ยเทียนก็เริ่มจะโมโหขึ้นมาแล้ว เท้าขวากระทืบลงบนพื้น ขณะที่กำลังจะปล่อยการโจมตีออกไปอีก ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น จึงส่งจิตออกสำรวจรอบด้าน ร่างหยุดนิ่งไปทันที ขณะเดียวกันบนท้องฟ้าห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตร เฮลิคอปเตอร์ทหารหลายลำก็ส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา

“โอ้โฮ มันไม่ได้ประมาทเราเลยจริงๆ”

ที่เชิงเขามีกองทหารนับหมื่นปักหลักคุมอยู่ บนฟ้าก็มีเฮลิคอปเตอร์ทหารคอยล้อมจับ ส่วนเคิร์ทที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่เยี่ยเทียนยังไม่เคยพบมาก่อน ถึงเยี่ยเทียนจะทะนงตนแค่ไหน แต่เขาก็รู้ดีว่า หากอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

“ศึกระหว่างแกกับฉัน ไว้วันหลังค่อยตัดสินกันก็แล้วกันนะ!”

หลังจากเยี่ยเทียนพูดประโยคนี้ออกไปแล้ว ร่างก็ขยับถอยวูบ แต่ขณะที่เขากำลังจะถอยเข้าไปถึงป่าทึบ หนังศีรษะก็พลันชาขึ้นมาวาบหนึ่ง กระดูกสันหลังสั่นระริกไปตลอดแนว ความรู้สึกถึงอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแล่นเข้าสู่หัวใจ

เมื่อมองขึ้นไปข้างบน เฮลิคอปเตอร์ที่ตอนแรกอยู่ห่างออกไปหนึ่งพันกว่าเมตรนั้น ตอนนี้ใกล้เข้ามาจนเกือบจะอยู่ตรงหน้าแล้ว แสงสีแดงจุดหนึ่งสว่างวาบที่ใต้เฮลิคอปเตอร์ เยี่ยเทียนยังไม่ทันได้ขบคิดอะไร ปราณแท้ก็แผ่ออกจากร่างในชั่วอึดใจ และปกคลุมร่างของเยี่ยเทียนไว้ พาเขาเหาะเหินขึ้นสู่ฟ้า

“ตูม!”

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ใต้ร่างของเยี่ยเทียน พื้นดินปรากฏหลุมลึกขึ้นหนึ่งหลุม คลื่นพลังอันมหาศาลทำให้ร่างของเยี่ยเทียนปลิวกระเด็นสูงขึ้นไปบนฟ้าอีกหลายสิบเมตร

การโจมตีโดยจรวดครั้งนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกมึนไปวูบหนึ่ง ทำให้ปราณแท้ที่ปกป้องร่างกายอยู่ถูกกระเทือนจนเกือบจะสลายตัวไป

เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์สิบกว่าลำบนท้องฟ้าที่แทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับตน เยี่ยเทียนก็รู้สึกใจหายวาบ รีบกระตุ้นปราณแท้ อาศัยจังหวะที่เหตุการณ์กำลังวุ่นวาย มุ่งหน้าเหาะสู่ภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวยาวออกไป