ตอนที่ 1401

Alchemy Emperor of the Divine Dao

“ท่านอาจารย์ ให้ข้าจัดการเอง!” ติงผิงร้องขอเป็นคนสู้

“ไม่ ให้เป็นหน้าที่ข้า!” จิ่วเยากล่าว หลังจากที่แพ้ติงผิงเขาก็พยายามจะพัฒนาตนเองให้อยู่เหนือติงผิงมาตลอด

หลิงฮันไม่สนใจทั้งสองและสะบัดฝ่ามือเข้าใส่อากาศที่ว่างเปล่า ‘ปัง’ รุ่นเยาว์ตระกูลหลู่คนนั้นถูกกระแทกลงพื้นทันที ร่างของเขาทะลุพื้นดินลงไปอย่างง่ายดายราวกับถนนไม่ได้สร้างจากอิฐแข็งแต่เป็นเต้าหู้

“ช่างกล้า!” สีหน้าของหลู่เฉิงเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“หลิงฮัน ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิ!” เซียงเฉิงหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม การที่ถูกทุบตีจนร่วงพื้นต่อหน้าสาธารณะชนทำให้เขาอยากสังหารหลิงฮันเป็นอย่างมาก

แต่ด้วยกฎหมายที่ห้ามมีการสังหารในเมืองจักรพรรดิทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสซ้ายขวาหรือแม้แต่แม่ทัพทั้งเจ็ดก็ไม่มีข้อยกเว้น มีเพียงราชินีทั้งเก้าเท่านั้นที่อยู่เหนือกฎหมาย

เขาต้องการยั่วยุให้หลิงฮันลงมือสังหารคนของตระกูลหลู่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาก็จะหาข้ออ้างเพื่อสังหารหลิงฮันได้

“แล้วมันอย่างไร?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส ไม่ต้องกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินี เพียงแค่พลังของเขาในปัจจุบันแม้แต่ปรมาจารย์มากมายของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ก็ยังถูกเขาเข่นฆ่า เขาไม่จำเป็นต้องสนใจกฎหมายใดๆ

น่าเสียดายที่ข่าวจากทางฝั่งของจักรวรรดิราชวงศ์สวรรค์นิรันดร์ยังไม่ส่งมาถึงที่นี่ ไม่เช่นนั้นเซียงเฉิงหยินไม่มีทางกล้ายั่วยุหลิงฮันแน่นอน

“เหอๆ เช่นนั้นเจ้ากล้าสังหารคนรึเปล่า?” เซียงเฉิงหยินกล่าวอย่างโหดเหี้ยม แต่แน่นอนว่าเขากล่าวทั้งๆที่ตัวเองหลบซ่อนอยู่ด้านหลังหลู่เฉิงเฟิง

บุตรสาวแห่งตระกูลหลู่มองไปยังเซียงเฉิงหยินด้วยสายตาเหยียดหยาม

ปากดีแต่ไร้ความกล้า นี่เจ้ายังเรียกว่าเป็นบุรุษอยู่อีกรึ?

ที่ผ่านมานางเคยเห็นแต่ด้านอันหยิ่งยโสของเซียงเฉิงหยินที่มีแต่คนเข้าหาเขาเพื่อประจบประแจง แต่ตอนนี้ความประทับใจที่นางมีต่อเขาได้ลดลงฮวบทันที

หลิงฮันไม่กล่าวตอบ เขาจำเป็นต้องต่อล้อต่อเถียงกับจอมยุทธระดับภูผาวารีตัวจ้อยด้วย? เขากดฝ่ามือลงไป ‘ตุบ’ เซียงเฉิงหยินไม่อาจต่อต้านคลื่นพลังที่ถ่าโถมเข้าใส่ได้ ขาของเขาอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น ‘ครืนนน’ คลื่นพลังจากฝ่ามือนั้นทรงพลังจนทำให้ทั่วทั้งถนนสั่นสะเทือนไปและส่งผลให้กระดูกในร่างของเซียงเฉิงหยินค่อยๆแตกหัก

“อ้ากกก” ’ เซียงเฉิงหยินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

หลู่เฉิงเฟิงมีสีหน้าเย็นชา รุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างอวดดีนัก ขนาดตัวเขาอยู่ตรงนี้ก็ยังกล้าลงมือ!

“รนหาที่ตาย!” เขายกหมัดขึ้นและโจมตีไปยังทิศทางของร้านอาหาร

“ข้าเอง!” ติงผิงลงมือ

“ข้าเอง!” จิ่วเยาก็ไม่น้อยหน้า

ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน ‘ตูม ตูม’ แต่ติงผิงนั้นเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับสุริยันจันทรา ส่วนจิ่วเยาเองก็มีพลังบ่มเพาะระดับภูผาวารีขั้นสมบูรณ์ชั้นสูงสุด เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะสามารถต้านทานการโจมตีของตัวตนระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด พริบตาเดียวร่างของทั้งสองก็ถูกส่งลอยกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับกระอักโลหิตออกมากลางอากาศ

โชคดีที่ทั้งสองฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราช แม้พวกเขาจะไม่มีกายหยาบที่ไร้เทียมทานเหมือนหลิงฮันแต่ก็ยังถือว่ามีกายหยาบที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธทั่วไป ไม่เช่นนั้นด้วยระดับพลังที่ห่างกันหลายขั้นเกรงว่าร่างของพวกเขาคงกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว

“โง่เขลา!” หลู่เฉิงเฟิงเยาะเย้ย ระดับพลังของพระเจ้านั้นแม้จะห่างกันเพียงขั้นย่อยพลังต่อสู้ก็ต่างกันมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นภายในใจของเขาก็รู้สึกหวาดกลัว ทั้งสองคนยังเยาว์วัยยิ่งนัก อายุของทั้งสองยังไม่เกินแม้กระทั่งห้าร้อยปี!

ยังไม่อายุไม่ถึงห้าร้อยปีก็สามารถทะลวงผ่านภูผาวารีได้ ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ อัจฉริยะเช่นนี้ไม่ไม่เกินสิบคน แม้ในยุคสมัยนี้จะมีจ้าวหลุนที่นับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ แต่อีกฝ่ายก็ยังทะลวงผ่านระดับภูผาวารีในขณะที่มีอายุราวๆเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยปี

หลิงฮันเอื้อมมือไปยังอากาศที่ว่างเปล่าและคว้าร่างของติงผิงกับจิ่วเยาเอาไว้ เขารู้ว่าทั้งสองไม่ได้บาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต ไม่เช่นนั้นเขาก็คงลงมือแทรกแซงไปแล้ว

“ถึงคราวเจ้ารับหมัดของข้าบ้าง” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแสพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป

หมัดที่ปล่อยออกไปเชื่องช้าเป็นอย่างมาก แต่ทันทีที่คลื่นพลังทำลายไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าหลู่เฉิงเฟิง อีกฝ่ายก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวและรีบปล่อยหมัดตอบโต้ทันใด

ปัง!

หมัดสองหมัดเข้าปะทะกัน หลู่เฉิงเฟิงไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบและกล่าวอย่างอวดดี “ของแค่นี้…” ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวเสร็จ ใบหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนสี คลื่นหมัดของหลิงฮันยังไม่สลายไปและทำให้เขาต้องล่าถอยไปสามก้าวก่อนจะตั้งหลักได้ แต่เหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง พลังของคลื่นหมัดยังอยู่ทำให้เขาล่าถอยไปอีกสามก้าว

เหตุการณ์ที่หลู่เฉิงเฟิงค่อยๆล่าถอยเกิดขึ้นวนซ้ำไปมา เหมือนเขาอยากจะถูกอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้

ในตอนแรกผู้คนรอบข้างก็รู้สึกขบขัน แต่พอเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำไปมาหลายสิบครั้งก็ไม่มีหัวเราะออกและแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาแทน

เพียงแต่หมัดเดียว เหตุใดคลื่นพลังของหมัดถึงคงสภาพอยู่ได้นานขนาดนี้? ยิ่งกว่านั้นหลู่เฉิงเฟิงก็ยังเป็นถึงปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดด้วย!

เซียงเฉิงหยินจ้องมองด้วยท่าทางมืดมน หลิงฮันบรรลุระดับพลังใดแล้วกันแน่?

ตั้งแต่แรกหลิงฮันก็ได้แสดงพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดออกมาให้เห็นแล้ว พลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายๆค่อยยกระดับขึ้นจนเหนือกว่าเขา ตอนนี้ตัวเขายังไม่แม้แต่จะก้าวสู้ระดับสุริยันจันทราแต่เกรงว่าหลิงฮันคงต้องบรรลุระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดแล้วแน่นอน บางทีอาจจะเป็นระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นเซียงเฉิงหยินจะถูกต้อนจนมุมเพียงเพราะหนึ่งหมัดได้อย่างไร?

แน่นอนว่าเซียงเฉิงหยินไม่มีทางคิดว่าหลิงฮันกลายเป็นตัวตนระดับดาราแล้วเนื่องจากมันไร้สาระสิ้นดี เขาเป็นคนเห็นด้วยตาตัวเองว่าไม่กี่ปีก่อนหลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับทลายมิติที่เขาสามารถเอาชนะได้ด้วยมือข้างเดียว

เมื่อเห็นสภาพของหลู่เฉิงเฟิง คนของตระกูลหลู่ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ พวกเขาไปช่วยพยุงแขนของหลู่เฉิงเฟิงคนละข้าง

บุตรสาวตระกูลหลู่แววตาส่องประกาย นางเคยได้ยินตำนานของหลิงฮันมาก่อนและไม่คาดคิดว่าตำนานที่ว่าจะมาปรากฏอยู่ต่อหน้านาง หลิงฮันตัวจริงแข็งแกร่งกว่าตำนานที่เล่าขานกันเสียอีก

เมื่อล่าถอยไปถึงสิบไมล์ หลู่เฉิงเฟิงก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ปากของเขากระตุกไม่หยุดพร้อมกับเหงื่อไหลท่วมตัวและผมตั้งกระเซอะกระเซิง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

“ไปเรียกผู้นำตระกูลมา!” หลู่เฉิงเฟิงคำราม พลังของหลิงฮันแข็งแกร่งเกินไป จำเป็นที่จะต้องให้จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดเป็นคนจัดการ ไม่สิ บางทีต่อให้เป็นจอมยุทธระดับนั้นก็อาจจะทำได้เพียงแต่เสมอไม่อาจเอาชนะได้

คนของตระกูลหลู่รีบรุดหน้ากลับไปยังตระกูลหลู่ หลังจากรับรู้สถานการณ์ของหลู่เฉิงเฟิง ผู้นำตระกูลหลู่ก็เริ่มลังเลเล็กน้อย

จะคุ้มค่าจริงๆรึที่ต้องไปขัดแย้งกับปรมาจารย์ระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด?

แต่เซียงเฉิงหยินได้กล่าวยั่วยุสร้างแรงกดดันส่งผลให้ผู้นำตระกูลหลู่ทำได้เพียงกัดฟันยอมทำตาม

เพื่อที่จะสร้างสายสัมพันธ์กับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจำเป็นต้องพึ่งพาเซียงเฉิงหยิน!

ผู้นำตระกูลหลู่ตัดสินใจลงมือด้วยตัวเองและนำคนของตระกูลหลู่กว่าครึ่งมุ่งหน้าไปยังร้านอาหาร